“ตอนแรกเราตั้งใจทำคอนเทนต์แต่งตัวเพื่ออยากให้คนหันมาแต่งตัว เพราะในไทยผู้ชายไม่ค่อยแต่งตัวเลย น้อยมาก ซึ่งเราหงุดหงิดทุกครั้งว่า ทำไมถึงไม่ดูแลตัวเอง แต่มีวันที่เราต้องตื่นเช้าไปโรงพยาบาล รถติดมาก เราก็เข้าใจเลยว่า ทำไมคนไม่อยากลุกขึ้นมาแต่งตัว”
นี่คือแนวคิดของ ภวินท์ จรรยาไพศาล วัย 24 ปี อินฟลูเอนเซอร์ด้านแฟชั่น เจ้าของช่อง TikTok ‘Pawinyl’ ที่ทำคอนเทนต์เกี่ยวกับเสื้อผ้า การแต่งกาย ไลฟ์สไตล์ และให้แรงบันดาลใจ ซึ่งพลังใจที่ภวินท์มอบให้ใครหลายคนกล้าลุกขึ้นมาแต่งตัว เพราะชายผู้นี้มีส่วนสูงราว 130 เซนติเมตร จากภาวะกระดูกเปราะ ทำให้เขาไม่ได้มีรูปร่างสันทัดหรือสูงโปร่งอย่างชายไทยทั่วไป อย่างไรก็ตามสิ่งนี้มิใช่อุปสรรคที่ขัดขวางให้เขาทำตามแพสชันด้านแฟชั่นของตัวเอง
ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่มักเห็นภวินท์ทำคลิปสอนแต่งตัวในสไตล์ที่เขาหลงใหลอย่างแนว Classic Menswear ซึ่งเน้นไปที่ความประณีตของการตัดเย็บกับดีไซน์เหนือกาลเวลา แต่หากมองย้อนกลับไป ความสนใจในการแต่งตัวของชายคนนี้เริ่มต้นจากแนวสตรีทแฟชั่น เพราะชื่นชอบ K-Pop อย่าง จี-ดรากอน (G-Dragon) และแบล็กพิงก์ (BLACKPINK)
The Momentum จึงชวนภวินท์พูดคุยถึงจุดเริ่มต้นในการทำคอนเทนต์แฟชั่น และการส่งต่อแรงบันดาลใจ ผ่านเส้นทางการค้นหาตัวเองจนเจอสไตล์ที่ใช่ กับการแต่งตัวสไตล์คลาสสิกที่เรียบง่ายและทรงพลัง แม้จะต้องใช้ความกล้าหาญไม่น้อยที่จะหยิบมาใส่ในชีวิตประจำวัน พร้อมทั้งบอกเล่าถึงคุณค่าที่ซ่อนอยู่ในเสื้อผ้าสไตล์นี้
คนตัวเล็กที่มอบความมั่นใจแสนยิ่งใหญ่
ภวินท์เริ่มเล่าว่า ด้วยความชื่นชอบเรื่องการแต่งกาย จึงสร้างช่อง Pawinyl ตั้งใจถ่ายคลิปวิดีโอเป็นคอนเทนต์เน้นไปที่เรื่องเสื้อผ้าเพียงอย่างเดียว แต่เมื่อเขาทำคลิปไปเรื่อยๆ และเริ่มเป็นที่รู้จักด้วยคอนเทนต์ที่ให้แรงบันดาลใจ เขาจึงเติมการสร้างพลังใจเขามาในคอนเทนต์แต่งตัวของเขาด้วย
“เราแมสจากการให้แรงบันดาลใจมากกว่า พอเราเจอจุดนั้นเราก็เลยมองว่า ถ้าเราให้แรงบันดาลใจคน คนได้รับพลังบวก หรืออยากลุกขึ้นมาแต่งตัว เราเลยผสมระหว่างเรื่องเสื้อผ้ากับการให้แรงบันดาลใจเข้าด้วยกัน คอนเทนต์ตอนนี้ก็จะเป็นการแต่งตัว เสื้อผ้า ไลฟ์สไตล์ แล้วก็ให้แรงบันดาลใจ” ภวินท์พูดถึงแนวทางของคอนเทนต์
เขาเล่าต่อไปว่า การเป็นผู้ให้แรงบันดาลใจทั้งในแง่ของการลุกขึ้นมาดูแลตัวเอง และในด้านอื่นๆ เกิดจากร่างกายของเขาที่ตัวเล็ก แต่ยังคงชอบแต่งตัว ชอบดูแลตัวเอง รูปร่างจึงไม่ใช่สิ่งที่ขัดขวางแพสชันของเขา
จากสตรีทแฟชั่นสู่สไตล์คลาสสิกที่เป็นตัวเอง
ภวินท์ที่ทุกคนรู้จักมักแต่งตัวสุดเนี้ยบด้วยเสื้อเชิ้ต คลุมด้วยสูท กับกางเกงสแล็ก และรองเท้าโลฟเฟอร์ รวมถึงคลิปในช่อง Pawinyl จะเห็นภาพสไตล์นี้จนชินตา ทว่าก่อนจะเป็นภวินท์เวอร์ชันนี้ เขาผ่านการค้นหาตัวเองมาก่อน ซึ่งสไตล์การแต่งตัวที่เขาชอบในช่วงแรกคือสตรีทแฟชั่นที่เป็นคอนเซปต์ของศิลปิน K-Pop ยุคหนึ่ง
“เริ่มชอบการแต่งตัวตั้งแต่เด็ก ตอนยังเด็กแค่รู้ว่าอันนี้เท่ดี จนเริ่มชอบ K-Pop ตั้งแต่จี-ดรากอน แบล็กพิงก์ ก็รู้สึกว่าแต่งตัวแบบนี้เท่จังเลย”
แม้จะชอบสตรีทแฟชั่น แต่ด้วยสไตล์ที่มาพร้อมสีสันฉูดฉาดกับเสื้อตัวโคร่ง ภวินท์จึงได้รู้ว่าไม่เหมาะกับสรีระของตนเองนัก
“เราตัวเล็กมากๆ ขาลีบด้วย ถ้าเราไปใส่กางเกงยีนที่นิยมในยุคนั้น มันก็ใส่ไม่ได้ เพราะมันจะดูไม่สมส่วน”
จึงเป็นจุดเริ่มต้นให้เขาศึกษาเสื้อผ้าสไตล์อื่นนอกเหนือจากแนวสตรีท จนได้รู้จักการแต่งตัวสไตล์ Classic Menswear
“เสื้อผ้าถ้าแค่ชอบเฉยๆ มันคงไม่ได้ มันต้องเข้ากับตัวเองด้วย เราเลยเริ่มศึกษา พอค้นหามาเรื่อยๆ ก็เจอว่ามีกางเกงเอวสูง มีกางเกงที่จีบขาใหญ่ และเสื้อเชิ้ต พอเห็นแล้วเราก็คิดว่ามันน่าจะเข้าสรีระ พอมีโอกาสลองใส่ก็รู้สึกว่าอันนี้แหละเราชอบที่สุดแล้ว เราชอบความเรียบง่าย มีดีเทลของผ้า สีไม่ต้องฉูดฉาด ไม่ต้องตะโกน ซึ่งใส่แล้วเรารู้สึกมั่นใจด้วย” ภวินท์กล่าว
จากความชอบสู่การศึกษาค้นคว้าและลองสวมใส่ ทำให้ในที่สุดภวินท์เจอสไตล์การแต่งตัวที่เป็นตัวเองมากที่สุด ทำให้ได้เรียนรู้ว่าสุดท้ายแล้วขั้นตอนที่สำคัญที่สุดคือ การลองใส่ จะได้รู้ว่าแท้จริงเราชอบสไตล์แบบไหน แล้วเสื้อผ้าแบบไหนที่เข้ากับตัวเรา ใส่แล้วรู้สึกดีมากที่สุด
“ถ้าคนไม่มีเซนส์เรื่องการแต่งตัวเลย อยากให้ทดลองไปก่อน เราอาจจะดูใครสักคนเป็นตัวอย่าง คนที่เรารู้สึกว่าคนนี้น่าจะเป็นทางที่เราชอบที่สุด แล้วลองใส่ตาม มันไม่ผิดเลยที่เราจะลองตามคนอื่นก่อน เราลองเพื่อให้รู้ว่าอันนี้มันเข้ากับเราไหม มันเหมาะกับเราไหม แล้วสักวันหนึ่งเราก็จะหาสไตล์ที่เข้ากับเราได้เอง” ภวินท์แนะนำ
แม้ภวินท์จะเจอสไตล์ของตัวเองแล้ว แต่เนื่องจากเป็นผู้ชายร่างเล็กทำให้ภวินท์ใส่เสื้อผ้าไซซ์ผู้ชายไม่ได้ ในช่วงแรกก่อนเขาจะตัดสูทเป็นของตัวเอง เขาต้องสวมใส่เสื้อผ้าของผู้หญิงแทน อย่างไรก็ตาม แฟชั่นไม่ได้แบ่งแยกเพศชัดเจนขนาดนั้น สิ่งนี้จึงไม่ใช่ปัญหาในการแต่งตัว
“สไตล์โดยรวมคือ Classic Menswear แต่ถ้าให้นิยามการแต่งตัวของเรา เรารู้สึกว่ามันคือตัวตนของเรา เพราะตัวตนของเรามันก็สะท้อนออกมาผ่านเสื้อผ้าอีกที” ชายร่างเล็กกล่าว
คุณค่าของเสื้อผ้าคลาสสิก ที่คนไทยยังต้องใช้ความกล้าในการใส่
การแต่งกายแนว Classic Menswear เป็นรูปแบบที่คนไทยมองว่าเป็นทางการ มักใส่ในโอกาสสำคัญในชีวิต ซึ่งในเมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯ หลายคนมักได้เห็นคนแต่งกายเช่นนี้เดินขวักไขว่สวนไปมาอยู่ทุกวันจนชินตา แต่หากลองจินตนาการดูว่าเรามีเพื่อนหรือคนข้างบ้านที่แต่งกายแบบนี้ทุกวันไม่เว้นวันหยุด คงไม่พ้นโดนคนรอบตัวมองว่าแปลก นี่เป็นสถานการณ์ที่ภวินท์ยังเผชิญอยู่
“จริงๆ เราเข้าใจนะ เพราะประเทศไทยร้อน บางคนเขาไม่อยากใส่สูททุกวัน เราก็ยังเจอตลอดเหมือนกันที่คนถามว่า จะไปงานแต่งเหรอ ซึ่งเราพูดตรงๆ ว่า เราแต่งเต็มดีกว่าไม่แต่ง เพราะเราไม่รู้ว่าออกจากบ้านมาจะเจออะไรบ้าง โอกาสจะเข้ามาเมื่อไรก็ไม่รู้ ถ้าเราแต่งตัวดีแล้ว โอกาสจะมาเมื่อไรเราพร้อมรับ แต่เราก็คิดว่าเอาที่แต่ละคนถนัดแล้วกัน” เขาตอบ
แม้ภวินท์ไม่ได้หวังว่า ทุกคนต้องเข้าใจการแต่งตัวเป็นทางการ แต่เขาได้ชี้ให้เห็นถึงประโยชน์และข้อดีของ Classic Menswear
“เราไม่ได้หวังให้ใครมาใส่สูท แต่อยากให้คนลองมาสนใจแนวนี้ หรือสนใจของวินเทจมากขึ้น เพราะดีกว่าไปซื้อเสื้อผ้า Ultra-fast Fashion ซึ่งมันทำร้ายโลก และอุตสาหกรรมแฟชั่นมากๆ ด้วย”
เขากล่าวต่อไปว่า เสื้อผ้าที่เขาเลือกสวมใส่ทั้งหมดไม่ใช่ฟาสต์แฟชั่น และด้วยความคลาสสิกจึงสามารถใส่ได้หลายโอกาส ประกอบกับคุณภาพการตัดเย็บที่มีมาตรฐานช่วยให้ยืดอายุการใช้งานออกไปได้นาน
“เสื้อผ้าที่เราใส่มัน Timeless แต่ละชิ้นสามารถใส่ได้ 10-20 ปีเลย ถ้าเราดูแลรักษามันดีๆ อย่างสูทตัวหนึ่งที่เราตัดมาใส่ได้ 5 ปีขึ้นไปแน่นอน หรือเสื้อที่เราเลือกใส่มันก็เป็นเสื้อวินเทจ ซึ่งมีอายุยาวนานแล้ว”
ใช้การแต่งตัวเป็นพื้นที่เล็กๆ ของการเยียวยาและการแสดงความกล้าหาญ
“จริงๆ แล้วเราหาข้อดีในสิ่งที่เราเป็น จากการที่เราไม่ปกติ แม้จะตัวเล็กก็ยังแต่งตัวได้ อยากให้กำลังใจกับทุกคนอย่าไปเสียใจ หรือท้อกับสิ่งที่เราเผชิญอยู่ อยากให้มองว่า เราหาทางที่จะสนุกไปกับมันได้ เรียนรู้ที่จะอยู่กับมันดีกว่าจะมานั่งเสียใจหรือว่าเครียด” ภวินท์กล่าว
และสำหรับคนที่คิดอยากแต่งตัว ดูแลตัวเอง แต่ยังติดเงื่อนไขในชีวิตบางประการ ภวินท์เองที่เคยรู้สึกไม่ชอบใจกับสถานการณ์เช่นนี้ ในวันนี้เขาเข้าใจเหตุผลและหันมาให้กำลังใจ เพื่อสื่อสารว่า นั่นไม่ใช่ความผิดของคุณเลย
“เรารู้สึกว่าประเทศไทยคนยังแต่งตัวน้อยมากๆ เมื่อเทียบกับสากล แต่เราตกตะกอนได้ว่าในเมืองที่มันวุ่นวายมากๆ การลุกขึ้นมาแต่งตัวมันก็คงเป็นเรื่องที่เหนื่อย บางคนรีบตื่นเช้ามันก็คงไม่มีแรงมานั่งคิดเรื่องแต่งตัว ซึ่งมันย้อนแย้งนะ เพราะจริงๆ แล้วไม่ว่าจะทำอาชีพอะไร ถ้าเราแต่งตัวดูดีไว้ก่อน ก็อาจส่งผลดีต่อตัวเองไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง” ภวินท์กล่าว
สุดท้ายนี้ ชายร่างเล็กที่เริ่มทำคอนเทนต์เพราะรู้สึกแย่ที่ชายไทยไม่ชอบแต่งตัว เดินตามแพสชันของตัวเองจนได้กลายเป็นผู้มอบแรงบันดาลใจให้ใครหลายคน ในวันนี้เขาได้เน้นย้ำถึงจุดยืนของตัวเองว่า คือการรักษ์โลกไปพร้อมกับขับเคลื่อนอุตสาหกรรมแฟชั่น
“ถ้าวันหนึ่งเราแต่งตัวไม่ได้อีก เราคงเศร้า เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่เราชอบมากๆ เราคิดว่าอยากจะอยู่กับมัน อยากช่วยทำอะไรให้อุตสาหกรรมแฟชั่นได้” เขาทิ้งท้าย
Tags: Fashion, The Frame, Pawinyl, ภวินท์ จรรยาไพศาล, Classic Menswear