ความหลงใหลในศิลปะการแสดงตั้งแต่ยังเด็ก ไม่ว่าจะเป็นการร้องเพลง การเต้น หรือการแสดง ความรักในสิ่งเหล่านี้ผลักดันให้ มายด์-อาทิตยา ตรีบุดารักษ์ เดินหน้าตามหาตัวตน จนกระทั่งได้รับโอกาสสำคัญ เข้าร่วมประกวดรายการ 4EVE Girl Group Star ซึ่งกลายเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางอาชีพไอดอลที่เธอทุ่มเทเพื่อสร้างผลงานคุณภาพและแรงบันดาลใจให้กับผู้ชม ในนามของ ‘มายด์ 4EVE’ หนึ่งในเกิร์ลกรุ๊ปที่ได้รับความนิยมที่สุดในประเทศไทยจากค่าย XOXO Entertainment
แม้จะประสบความสำเร็จในฐานะสมาชิกวง 4EVE แต่มายด์ก็ยังไม่หยุดสำรวจเส้นทางใหม่ๆ ในวงการบันเทิง อย่างการแสดงที่มีผลงานออกมาให้ติดตามมากมายไม่แพ้กัน โดยหากจะพูดถึงบทอันเป็นที่จดจำคงหนีไม่พ้น ‘นางนาค’ ที่เธอได้รับบทนำเป็นครั้งแรกจากละครเรื่อง นางนาคสะใภ้พระโขนง (2566) รวมทั้งบทนำจากภาพยนตร์เรื่อง Bangkok Breaking: ฝ่านรกเมืองเทวดา (2567) รวมถึงคุณชายน์ (The Cliche) ที่กำลังเข้าฉายในโรงภาพยนตร์
วันนี้เธอมองตัวเองในฐานะไอดอลอย่างไร วางเป้าหมายไว้แบบไหน รวมถึงเส้นทางอาชีพของเธอหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร The Momentum ชวนไอดอลคนนี้มาย้อนความฝันวัยเด็กทั้งในฐานะศิลปินไอดอลและนักแสดง
คุณรู้ตัวเองตั้งแต่เมื่อไรว่า ตัวเองมีความสนใจงานด้านวงการบันเทิง
เราเริ่มเข้าวงการบันเทิงมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ตอนนั้นมีโอกาสไปแคสต์ละครเวทีกับทางรัชดาลัยเธียเตอร์ ซึ่งช่วงที่เล่นละครเวทีก็ได้เจอนักแสดงหลายท่าน ก็รู้สึกประทับใจและเป็นแรงบันดาลใจให้เราพอสมควร จนกระทั่งมีทีมงานรายการ ‘4EVE Girl Group Star’ ติดต่อให้มาออดิชัน (Audition) หลังจากนั้นก็เป็นเรื่องเป็นราวยาวนานมาจนถึงทุกวันนี้
สิ่งนี้ถือเป็นความฝันตั้งแต่เด็กของคุณเลยไหม
คิดว่าเป็นสิ่งที่อยากทำตั้งแต่เด็กและไม่ได้เปลี่ยนไปจากสิ่งที่อยากทำตั้งแต่เด็กเลย ตอนเด็กเราชอบแสดงออกมาก ทั้งรำ เต้น ร้องเพลง กิจกรรมโรงเรียน เราเป็นคนที่จะอยู่ในนั้นเสมอ พอโตมาก็คิดว่ามาถูกทางแล้ว
นอกจากนักแสดงและศิลปินเคยมองภาพตัวเองทำอาชีพอื่นบ้างไหม
ไม่เลยจริงๆ เราเป็นเด็กที่รู้จักตัวเองตั้งแต่เด็ก ถ้ารู้ตัวว่าชอบสิ่งนี้เราจะตั้งใจกับมันมาก แต่มันจะมีช่วงมัธยมปลายที่เราค้นหาตัวตนและรู้สึกว่า การอยู่ในวงการบันเทิงอาจจะไม่ประสบความสำเร็จเลยเบนเข็มชีวิตไปทางสถาปัตย์ เพราะที่บ้านขายอุปกรณ์ก่อสร้าง แล้วเราก็ชอบวาดรูป ชอบบ้าน คิดว่าสถาปัตย์น่าสนุกจะสนุก
ซึ่งก็จริงจังกับมันอยู่พักหนึ่ง สอบทุกอย่างที่มันต้องสอบ ในขณะเดียวกันสายนิเทศศาสตร์ เราก็อยากเรียนภาพยนตร์ เลยมองไปที่นวัตกรรมสื่อสารสังคม มศว สาขาภาพยนตร์เป็นอีกตัวเลือกหนึ่ง แต่สุดท้ายจนแล้วจนรอดก็เลือกนวัตฯ ภาพยนตร์อยู่ดี
จำได้ว่าตอนนั้นเราบ่นกับเพื่อนว่า “ทำไมเราตั้งใจกับสถาปัตย์มาก แต่มันถึงไม่ติดง่ายเท่ากับนิเทศเลย” จนเพื่อนก็พูดมาประโยคหนึ่ง ทำให้เราเข้าใจว่าตัวเองเหมาะจะเรียนคณะนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว คือเขาบอกว่า “เพราะมันเป็นสิ่งที่เราเป็นหรือเปล่า มันเลยดูง่าย” เหมือนเขาพยายามสื่อใจเรามันพร้อม มันอยากไปทางนี้อยู่แล้ว เพียงแต่ช่วงนั้นเราไม่มั่นใจในตัวเองเฉยๆ ซึ่งวันนี้ก็ยืนยันแล้วว่ามัน ‘ถูกต้อง’ พอย้อนกลับไปคิดก็รู้สึกว่าดีแล้วที่ตอนนั้นเลือกทางนี้
ภาพจำคำว่า ‘ไอดอล’ สำหรับคุณก่อนหน้านี้เป็นอย่างไร มีคนที่ชื่นชอบหรือยกให้เป็นไอดอลบ้างไหม
เรามองว่าไอดอลมันคือ ตัวตนที่สามารถให้แรงบันดาลใจคนได้ ไม่ว่าเราจะอยู่ในตำแหน่งไหน แสดงแบบไหน สไตล์ไหนก็ตาม ไอดอลมีความหมายเดียวกันคือ คนคนหนึ่งที่ถูกรักและสามารถให้กำลังใจผู้คนได้ คนที่เราชื่นชอบมีอยู่ 2 คนคือ เตนล์-ชิตพล ลี้ชัยพรกุล ไอดอลวง NCT, WayV และลิซ่า-ลลิษา มโนบาล ไอดอลวง BLACKPINK เป็น 2 คนที่รู้สึกว่าเขาเก่งมาก
วันที่ตัดสินใจเข้าร่วมรายการ 4EVE Girl Group Star คาดหวังผลงานเอาไว้ขนาดไหน
แน่นอนว่า คาดหวังว่าจะได้เดบิวต์เป็นศิลปิน แต่เราก็พยายามทำเต็มที่ในทุกๆ EP ทุกๆ Stage คาดหวังว่าเราจะได้ผลลัพธ์จากความทุ่มเทที่เราทำไป
ในตอนนั้นจังหวะที่ได้มาเป็นสมาชิกวง 4EVE คุณเองก็ได้รับโอกาสให้ไปเทรนกับค่ายดนตรีที่เกาหลีใต้ ตอนนั้นมีการตัดสินใจอย่างไรบ้าง
ตอนนั้นที่ต้องเลือกระหว่าง 4EVE ที่เดบิวต์แล้ว กับการไปเป็นเด็กฝึกที่เกาหลี สำหรับเรามันเลือก ‘ยากมาก’ เพราะวงการนี้ในประเทศไทยไม่มีอะไรการันตีว่า การทำวงแบบนี้จะสามารถประสบความสำเร็จและไปต่อได้ ถ้าเราเลือกการเป็น 4EVE มันคือการที่เราเริ่มต้นเป็นศิลปินและต้องไปต่อสู้กับวงการบันเทิงไทย ต้องลุ้นว่าเขาจะฟังเพลงไหม ในขณะเดียวกันวงการ K-Pop มันประสบความสำเร็จอยู่แล้วแต่การแข่งขันสูง ถ้าต้องไปเกาหลีเราก็ต้องเริ่มใหม่ทั้งหมดเหมือนกัน ต้องเรียนภาษา ต้องอยู่ไกลบ้าน ทุกอย่างมันดูหนักหนา แต่ถ้าเราทำได้ มันจะประสบความสำเร็จมาก
สุดท้ายตอนนั้นที่เลือกจะอยู่กับ 4EVE เพราะ “เราชอบการรวมตัวของทุกคนในนาม 4EVE” เรารู้สึกว่าสมาชิกอีก 6 คน รวมเราอีก 1 คน ทุกคนมีความสามารถที่แตกต่างกันเป็นส่วนผสมที่ดีกับวงนี้ วันนั้นความรู้สึกมันบอกว่ามันพอจะไปได้อยู่นะ ก็เลยลองดู เรารู้สึกว่าเราฝ่าฟันกับการประกวดในรายการมาเยอะกว่าจะได้เดบิวต์ และเราค่อนข้างจะพอใจในผลลัพธ์ของมันแล้ว เลยไม่อยากเริ่มต้นใหม่อีก
ตัวแปรสำคัญในการตัดสินใจทุกอย่างในชีวิตของคุณคืออะไร เคยมีเหตุการณ์ที่ตัดสินใจพลาดบ้างไหม
สำหรับเราคือ ‘ความรู้สึก’ เราเป็นคนเชื่อเซนส์ตัวเองมาก เราสามารถรู้สึกได้เลยว่าสิ่งนี้ใช่ สิ่งนี้ไม่ใช่ สำหรับในตอนนี้คิดว่าไม่มีครั้งไหนที่ตัดสินใจผิดพลาด อาจจะเป็นเพราะเราเป็นคนที่ยอมรับกับทุกอย่างได้ เราเชื่อว่า Everything happens for a reason ถึงแม้อีกทางเลือกมันจะดีกว่า แต่ไม่ใช่ว่าสิ่งที่เราเลือกจะแย่ที่สุด เราคิดว่าการ Manifest สำคัญมาก เราเป็นคนไม่ค่อยพูดหรือมีความคิดว่า ‘ทำไม่ได้’
ความท้าทายของการเป็นไอดอลวง 4EVE คือเรื่องอะไร
ด้วยความที่ 4EVE ทำงานเยอะมาก ความท้าทายอย่างแรกคือ ต้องทำงานหนักให้ไหว ซึ่งต้องคอยดูแลร่างกาย เพื่อรักษามาตรฐานคุณภาพงานให้ดีเสมอ ความท้าทายอีกอย่างคือ 4EVE ทำงานหลากหลาย เราอาจจะไปเจองานใหม่ๆ สไตล์ใหม่ๆ ที่เราไม่คุ้นวันไหนก็ได้ มันก็เป็นความท้าทายในแต่ละวัน เราทำงานหลากหลายแบบในนาม 4EVE หมายความว่า ยังมีชื่อ 4EVE อยู่ ทำอะไรก็ต้องทำให้ดี
มีงานแบบไหนที่รู้สึกว่าคาดไม่ถึงไหม เวลาเจองานใหม่ๆ เรามีวิธีเตรียมตัวกับมันอย่างไร
มีงานเดินแบบที่ตอนนั้นมีคิวไปพอดี ก็เป็นความตื่นเต้นเหมือนกัน อะไรใหม่ๆ ที่เราไม่คุ้น ต่อให้เป็นการ On Stage เหมือนกัน แต่ Energy มันต่างกัน วิธีเตรียมตัวอย่างแรกคือ ตั้งสติให้ดีและมีสมาธิกับมัน ถ้าทำการบ้านได้เราก็จะทำ
ความแตกต่างของงานแสดงและการเป็นไอดอลคืออะไร ในฐานะที่เคยแสดงมาหลายเรื่องมีมุมมองด้านการแสดงอย่างไรบ้าง
การเป็นศิลปินไอดอลมันคือการที่เราเป็นตัวเอง แต่การแสดงมันคือการที่เราเป็นคนอื่น มันเลยเป็นสองสิ่งที่ต่างกันมาก ตอนที่เราเป็นไอดอลแล้วเป็นตัวเอง เรา Enjoy the stage เราจอยกับทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนเวทีได้ แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเราต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ในขณะที่การแสดงมันคือการที่เราเป็นคนอื่น มันต้องทำ Pre-production ในหัวตัวเองเยอะพอสมควร เราต้องตั้งคำถามแล้วว่า เราจะวางตัวละครเป็นอย่างไร เพื่อให้เข้าใจตัวละครมากที่สุดก่อนที่จะไปแสดง ซึ่งตอนที่เราแสดงก็ไม่รู้อีกว่าระหว่างทางเราจะเจออะไรบ้าง แต่การเป็นคนอื่นถือเป็นความท้าทายที่สนุกอย่างหนึ่ง ในการเจอเรื่องราวและประสบการณ์ที่เราคงจะไม่ได้เจอในชีวิตจริง
เรามองว่าการแสดงเป็นเรื่องของ ‘ความเชื่อและจินตนาการ’ การจะเชื่อในการแสดงคือ เราต้องเชื่อว่าเราเป็นคนนั้นได้จริง หรือเราเชื่อสถานการณ์ว่ามันเกิดขึ้นจริง เพื่อให้มันนำไปสู่การแสดงที่สามารถสื่อสารออกมาได้ดี ส่วนจินตนาการ ไม่ใช่ว่าในทุกฉากทุกฉากเราจะเคยมีประสบการณ์มาก่อน จึงต้องจินตนาการว่ามันจะต้องเป็นแบบไหน อะไรพวกนี้ก็เป็นความท้าทายในการแสดงและเรารู้สึกตื่นเต้นกับมันเสมอ
ในการเลือกหนังหรือซีรีส์สักเรื่องมีวิธีการคัดเลือกอย่างไรบ้าง รวมถึงมีวิธีการออกแบบตัวละครที่ได้รับบทบาทอย่างไร
มันจะรู้สึกได้ตั้งแต่ตอนเห็นบท ถ้าอันไหนรู้สึกว่าท้าทายเราจะเลือก บางอันที่ยังไม่เข้าตาก็จะเก็บไว้ก่อน ส่วนการเตรียมตัวอย่างแรกคืออ่านบทคร่าวๆ ให้พอเข้าใจลักษณะตัวละครแล้วพยายามคิดในหัวว่า เรื่องราวมันจะเป็นแบบไหน อ่านแบบไม่ต้องคิดมาก หลังจากนั้นก็ทบทวนว่าเรารู้สึกอย่างไรกับมันบ้างแล้วค่อยมาอ่านลงรายละเอียดอีกที ถ้ามีคำถามเรามักจะพูดกับผู้กำกับเสมอว่า “ฉากนี้หนูมีคำถาม”
มองเป้าหมายและอนาคตด้านวงการบันเทิงอย่างไร มีอะไรที่อยากลองทำไหม
อยากแต่งเพลงและเขียนบท แต่เขียนบทอาจจะอีกไกลเพราะต้องเรียนรู้อีกเยอะ ถ้ามีโอกาสก็อยากลองทำดู ส่วนเขียนเพลงอาจจะได้ทำก่อน อยากเขียนเพลงเล่าเรื่องราวของเราเอง ส่วนตัวเป็นคนชอบเพลงช้ามาก ก็อาจจะทำเพลงช้า
สำหรับไอดอล ยังมองหาความท้าทายตรงไหนกับหน้าที่ตรงนี้อยู่
ในการเป็นไอดอลมันมีอายุของมันอยู่แล้ว ถ้าถามว่าเราจะเป็น 4EVE อีกนานไหม คิดว่าคำตอบมันไม่ได้อยู่ที่เรา มันอยู่ที่ผู้ฟังและผู้ชมมากกว่า ตราบใดที่ยังมีคนฟังเพลงเรา ยังมีคนดูเรา พวกเราก็จะยังอยู่
ทั้งนักแสดงและไอดอลที่เป็นอยู่ตอนนี้ คิดว่าความสุขของคุณคืออะไร
ทั้งสองเป็นความสุขของเรา มันคือสิ่งที่ทำให้รู้สึกว่าเราตัดสินใจไม่ผิดในการเลือกทางนี้ มันยังมีอะไรที่เราอยากทำอีกเยอะมาก มันยังมีหลากหลายความท้าทายรอเราอยู่ ก็เลยยังคงสนุกกับมันเสมอทั้งในบทบาท 4EVE และการแสดง
Fact Box
คุณชายน์ (The Cliche) ภาพยนตร์โรแมนติกคอเมดีเรื่องใหม่จาก ‘คาร์แมนไลน์ สตูดิโอ’ และ ‘จังก้า สตูดิโอ’ นำแสดงโดย จ๋าย-อิชณน์กร พึ่งเกียรติรัศมี, มายด์-อาทิตยา ตรีบุดารักษ์, จั๊มพ์-พิสิฐพล เอกพงศ์พิสิฐ, อ๊ะอาย-กรณิศ เล้าสุบินประเสริฐ, ดู๋-สัญญา คุณากร, แฮนน่า โรเซ็นบรูม, ตั๊ก-บริบูรณ์ จันทร์เรือง และรัดเกล้า อามระดิษ ร่วมกับ โจริญ คัมภีรพันธุ์, ตาออม-เบญญาภา อุ่นจิตร, ฝ้าย-ณัฐธยาน์ บุตรธุระ และพั้นช์-ทิพานัน นิลสยาม มีกำหนดเข้าฉายวันที่ 26 ธันวาคม 2567 ในโรงภาพยนตร์