วันที่ 4 กันยายน 2563 อินสตาแกรมวง 25hours วงดนตรีขวัญใจแฟนเพลง โพสต์คลิปวีดิโอสั้นๆ ของเอ็มวีซิงเกิลสุดท้าย ‘Before Sunset (หมดเวลาแล้ว)’ หลังจากต้นสังกัด Genie Records ประกาศข่าวสำคัญเรื่องการยุบวงไปก่อนหน้านั้นไม่นาน ยุติการเดินทางในฐานะ 25hours ที่อยู่เคียงข้างแฟนเพลงมายาวนานกว่า 10 ปี ด้วยสาเหตุ ‘ความคิดและความรู้สึกของวงไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน’

นั่นเป็นโพสต์ความเคลื่อนไหวสุดท้ายของวง จนกระทั่งเวลานี้

ภายหลังการยุบวง ทั้งแฟนเพลงและสื่อต่างให้ความสนใจว่า สมาชิกแต่ละคนจะเดินไปทางไหนต่อ ขณะที่นักดนตรีของวงทั้ง 4 คน ปู๋, โฟร์, บัง และจ๊อบ เลือกเดินหน้าในฐานะวง HENS นักร้องนำซึ่งถูกจับตามองเป็นพิเศษอย่าง แหลม – สมพล รุ่งพาณิชย์ กลับเลือกจะไม่เคลื่อนไหวสิ่งใด ท่ามกลางกระแสข่าวมากมายที่เข้ามา

ในช่วงเวลานั้น แฟนเพลงจึงได้เห็นการ ‘หยุดพัก’ เพื่อกลับสู่ชีวิตที่เรียบง่ายของแหลม ทั้งการเปิดร้านกาแฟภายในบ้าน ซึ่งเป็นร้านขายก๋วยเตี๋ยวของคุณพ่อ (ก๋วยเตี๋ยวโกรุ่ง) เพื่อต้อนรับแฟนเพลงที่คิดถึง และการอัพเดตชีวิตที่ห่างหายจากเวทีรวมถึงงานเพลง ผ่านเฉพาะในโซเชียลส่วนตัวของแหลม

กระทั่งช่วงกลางปีที่ผ่านมา แหลมตัดสินใจกลับสู่ชีวิตการทำเพลงอีกครั้งอย่างเป็นทางการ ในฐานะศิลปินเดี่ยว ‘LHAM’ พร้อมซิงเกิล ‘ตะวันฉาย’ กับการทำเพลงที่เป็นอิสระมากขึ้น แต่ขณะเดียวกัน ตัวเขาก็ยอมรับว่า ‘เงียบเหงา’ ไม่ใช่น้อย เพราะต้องทำแทบทุกอย่างด้วยตัวคนเดียว 

แต่มันคือ ‘ชีวิตใหม่’ ที่เขาเลือก เพราะว่ายังมี ‘ฝัน’ ในการทำเพลงยังที่หลงเหลืออยู่

“เราก็ไม่เคยหยุดนิ่งในการสร้างสรรค์นะ เรายังแต่งเพลงอยู่ ยังมีฝัน ยังมีปรารถนาที่อยากเห็นอะไรบางอย่าง และไม่อยากจะจบมันด้วยเรื่องแค่นี้ ชีวิตต้องเดินต่อไป”

The Momentum มีโอกาสไปเยือนบ้านของแหลม ในบ่ายวันหนึ่งที่แสงแดดแผดจ้า พร้อมคำถามมากมายที่เราสงสัยและอยากพูดคุย ทั้งเรื่องราวความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น สิ่งที่เขาได้เรียนรู้ และการกลับมาทำเพลงอีกครั้ง ในฐานะศิลปินเดี่ยว

กับชีวิตใหม่ที่เขาอยากให้ทุกคนได้รับรู้

ขอเริ่มต้นด้วยการย้อนไป 2 ปีก่อน ที่วง 25hours ตัดสินใจยุติการเดินทาง ถือเป็นการตัดสินใจที่ยากสุดในชีวิตไหม

ยากนะ เพราะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ 

ต้องเล่าย้อนไปว่า สมัยเด็ก เราเป็นคนชอบทำนู่นทำนี่ และเรียนรู้ได้เร็ว แต่ไม่เคยมีเป้าหมายที่มากกว่าการเรียน หรือกับชีวิต ว่าเรียนจบไปจะทำอะไร ถึงแม้ว่าเรียนทางด้านศิลปะมา ก็ไม่ได้คิดว่าจบแล้วจะไปเป็นศิลปิน

แต่หลังเรียนจบ ชีวิตเราก็มีแต่การทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มีเพลง มีอัลบั้ม เราใช้เวลาทั้งหมดเพื่อไปถึงเป้าหมายนั้น มันทำให้รู้ว่าตื่นมาแต่ละวันต้องทำอะไร การทำอัลบั้มหมายถึงเราต้องหาเงินให้ได้ก่อน ตอนนั้นพี่บัง (เอกศิริ กำบังภัย – มือเบสวง 25hours) เขาสอนดนตรี และเห็นว่าเราเรียนจบศิลปะมา เลยชวนเราไปเปิดโรงเรียนสอนศิลปะเด็ก เพราะเขามีห้องว่างอยู่ เราก็ไปทำและใช้เวลานั้นในการหาเงิน เพื่อเอาเงินเป็นค่ารถไปทำเพลงบ้านโฟร์ (ประทีป สิริอิสสระนันท์ – มือกีตาร์วง 25hours) เพราะบ้านเขาอยู่ไกลมาก ต้องนั่งรถตู้แล้วนั่งแท็กซีต่อ แถมยังต้องนั่งกลับบ้านอีก

ตอนนั้น เราใช้เวลาบนรถตู้ระหว่างไปสอนเด็กในการแต่งเพลง แต่งทำนอง หรือไม่ก็ขับรถออกไปฟังเพลงในยูทูบที่ร้านอินเทอร์เน็ตใกล้บ้าน เราได้ฟังเพลงมากขึ้น ได้แรงบันดาลใจมากขึ้น มันทำให้รู้ว่า ถ้าเรามีเป้าหมาย ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันมีความหมายทั้งหมด

ฉะนั้น เรากำลังสะท้อนว่า ชีวิตเราตั้งแต่เริ่มต้น มีเพลงฮิต มีทุกอย่าง ได้ถูกเปลี่ยน มันเลยเป็นสิ่งที่ยากสำหรับเราเหมือนกัน

สิ่งที่คนมักจับตามองเมื่อวงดนตรีแยกย้ายคือนักร้อง คุณเองก็น่าจะได้รับข้อความโจมตีบนอินเทอร์เน็ตไม่น้อย คุณเจ็บปวดกับข้อความเหล่านั้นขนาดไหน

โลกอินเทอร์เน็ตเป็นโลกกว้างที่พูดอะไรง่ายเกินไป แล้วมันบั่นทอนใจของคนคนหนึ่ง ซึ่งมันยังบั่นทอนเราอยู่เรื่อย แต่เราพยายามเลือกที่จะไม่คิด เพราะคิดว่าความจริงมีหนึ่งเดียวในใจเรา โลกไม่ต้องรู้ก็ได้ เรารู้ใจตัวเองก็พอไหม แล้วก็มุ่งไปวันข้างหน้าว่าเรายังอยากทำอะไรอยู่ 

ถามว่าทำไมเราถึงกล้าเดินออกจากพื้นที่ที่เป็นเซฟโซนอย่างบ้าน หรือร้านกาแฟ เพื่อกลับมาทำเพลง ทั้งที่เรามีความสุข รู้สึกปลอดภัย ไม่ต้องออกไปหาใคร แต่มีคนเข้ามาหาทุกวัน เพราะความรัก ความหวังดีที่เขายังมีให้ แต่เราคิดว่าเราอายุแค่ 37 เอง ยังมีเวลาเหลืออีกตั้งเยอะในการใช้ชีวิต แล้วยังมีเพลงที่เขียนไว้ มีความฝันที่อยากทำอยู่ ความฝันนั้นอาจจะเป็นสิ่งหลงเหลือจากสิ่งที่เราเคยอยากทำในวงก็ได้ เราอยากจะทำตรงนั้นให้สำเร็จ อยากได้ยินเพลงแบบที่อยากฟัง อยากเห็นตัวเองเล่นกีตาร์ไฟฟ้าบนเวที อยากเห็นตัวเองพัฒนาขึ้นไป 

เราอยากทำมันกับเวลาที่เหลืออยู่ และคนที่พึงพอใจ เราเรียนรู้ว่าไม่สามารถให้ใครมารักเราได้ทุกคน แต่เมื่อไม่รู้ คุณอย่าเพิ่งพูดดีกว่า เพราะมันเจ็บปวด ทุกวันนี้เราอยู่บนโลกสองใบ คือโลกความเป็นจริงและโลกโซเชียล เราทำงานผ่านโซเชียลเยอะ เพราะต้องใช้เป็นพื้นที่สื่อสารว่าไปเล่นดนตรีที่ไหน ทำอะไร ถ้าไม่ได้ทำอาชีพนักร้องหรือเป็นศิลปิน เราอาจจะไม่เล่นโซเชียลเลย เพราะไม่มีความจำเป็น แต่ถ้าเป็นการคอมเมนต์หรือคุยกันเรื่องเพลง เรื่องงาน เราว่าสนุกนะ เชื่อว่าศิลปินทุกคนยอมรับ แต่เรื่องที่ไม่ใช่กรอบนี้ มันเป็นเรื่องไร้สาระ คุณไม่ต้องรู้หรอก เพราะเราก็ไม่ต้องการจะบอก

แล้วคุณรับมือกับสิ่งเหล่านั้นอย่างไร

อดทน (ตอบทันที) เข้าใจว่ามันเกิดแน่ๆ แต่เรารู้ว่ามันเกิดขึ้นจากอะไร อย่างไร และจบลงอย่างไร เราทำดีที่สุดแล้วอย่างไร ในขณะเดียวกัน มันผ่านความรู้สึกเสียดาย เสียใจ มาแล้ว คนเราพอจบมันจบเลยนะ เราไม่รู้สึกว่าติดค้างอะไร หรือได้ทำอะไรหลงเหลืออยู่ไหม อยากทำอะไรให้ดีพอหรือเปล่า ไม่มี เรารู้ตัวเอง ที่สำคัญ เรามาเปิดร้านกาแฟ มันทำให้เวลาว่างที่ควรจะเกิดขึ้นก็ไม่เกิด เราไม่ไปนั่งจมอยู่กับความคิดแล้วนั่งอ่านอะไรแย่ๆ แต่เริ่มทำในสิ่งที่ทำได้ใหม่อีกครั้ง เราคิดว่าได้ทำเรื่องราวของวงดนตรีวงหนึ่งเสร็จสิ้นแล้ว แต่ก็ยอมรับว่ายังคิดถึงวันที่กลับไปเล่นดนตรีอยู่เสมอ เพราะเรายังแต่งเพลงอยู่เหมือนเป็นหน้าที่โดยอัตโนมัติ 

บทเรียนที่คุณได้เรียนรู้จากการทำวงที่ผ่านมาคืออะไร

เราได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างจากการทำงาน ทั้งการแต่งเพลง แต่งทำนอง เขียนเนื้อเพลง เราได้เรียนรู้ที่จะอยู่กับคนที่แตกต่าง ทั้งนิสัยและไลฟ์สไตล์ เราเรียนศิลปะ แต่เพื่อนๆ ในวงเรียนดนตรีหมด เราสนใจอย่างหนึ่ง เขาก็อาจจะสนใจอีกอย่างหนึ่ง ชั่วโมงของการทำดนตรีเป็นชั่วโมงที่เราคุยกันได้ 

ในสังคมที่เราเรียนศิลปะมา ก็จะเป็นคนประเภทเรา ทอดอารมณ์ ใช้เวลา ใช้ความรู้สึก เข้าใจยาก แต่เราเข้าใจกัน แต่พอเป็นการทำงานก็ต้องเข้าใจคนอื่น ว่าเขามีชีวิตอย่างไร ต้องฟังเขา เข้าใจเขา เราจะเป็นตัวเองทั้งหมดก็ไม่ได้ เขาก็คงเรียนรู้เช่นกัน เพราะวงดนตรีเป็นสังคมแบบหนึ่ง ที่คนจำนวนหนึ่งมาอยู่ด้วยกัน ด้วยความที่เราไม่ได้เรียนมาด้วยกัน ก็ต้องเรียนรู้มากกว่าเดิม

วงดนตรีมีขึ้น มีลง มีเพลงที่ฮิต มีเพลงไม่ฮิต เราก็ต้องรับมือกับการเรียนรู้ที่จะอยู่กับความสำเร็จ และไม่สำเร็จ เพราะเราทำสิ่งใหม่ตลอด ซึ่งสิ่งใหม่นั้นมันไม่เคยมีอยู่ เราต้องสร้างมันขึ้นมาจากความว่างเปล่า ฉะนั้นเราต้องพยายามที่จะทำให้มันเป็นรูปธรรมและต้องพิสูจน์อยู่ตลอดเวลา แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่ศิลปินก็ต้องยอมรับ 

ช่วงที่คุณหยุดพักจากการเล่นดนตรี ชีวิตที่ต้องเปลี่ยนจากการทัวร์มาอยู่บ้านเป็นหลัก เป็นอย่างไรบ้าง

เปลี่ยนไปเยอะนะ ความจริงมันเปลี่ยนตั้งแต่ตอนโควิด ก่อนจะแยกวงอีก เพราะทุกคนถูกชะงัก เราไม่ได้ไปทัวร์ ทุกคนพยายามจะหาวิธีว่าทำอย่างไรดี มันถูกปรับตัวตั้งแต่ตอนนั้น พอมาทำร้าน บทบาทเปลี่ยนไป เราไม่ได้เป็นนักร้อง เราขายของ เราทำร้านเอง ขายเอง ขับรถไปซื้อของเอง สต็อกของเอง แต่กลับรู้สึกว่าเป็นชีวิตที่โคตรดีเลย มันกลับมาเป็นปกติ หมายถึงเป็นเวลาที่ได้กินอิ่มนอนหลับ ไม่ได้เจออะไรที่มันเหวี่ยงขึ้นลงมาก มีเวลาออกกำลังกาย โยคะ นอนเร็ว หน้าตาสดใส ได้อยู่กับครอบครัว มีเวลากับต้นไม้ มีเวลากับการทำอาหาร กินแล้วดื่ม ได้ละเมียดกับมัน 

การเป็นนักร้องคือการคิดเร็ว ทั้งที่จริงๆ เราควรเอื่อยมาก ตอนเด็กๆ เราเป็นคนช้ามากนะ แต่พอเป็นนักร้องเหมือนเราต้องสู้รบตลอดเวลา ชีวิตนักร้องมันชวนให้เราไม่ปกติ อาจด้วยหัวโขน ด้วยบทบาท แต่ก็เป็นสิ่งที่พระเจ้าอาจไม่ได้สร้างมาให้กับทุกคน เราอาจยังต้องเป็นวิถีนักร้องอยู่ ไม่อย่างนั้นเราคงไม่กลับมาทำเพลง 

คุณกลัวความรู้สึกอยากทำเพลงหายไปไหม

บางครั้งก็กลัวจิตวิญญาณของศิลปินมันหายไป ซึ่งมันหายไปได้จริงนะ เหมือนพระเจ้าบอกว่า คุณไม่เอาแล้วใช่ไหม จะเอาไปให้คนอื่นแล้วนะ แต่ถ้าใช้อยู่ พระเจ้าอาจจะให้หน้าที่คุณในการนำศิลปะไปสื่อสารบางอย่าง หรือให้คุณนำสิ่งนี้ไปบอกต่อ ถ้าโลกเราไม่มีศิลปะ ไม่มีภาพเขียน ไม่มีเสียงเพลง มันคงแห้งเหี่ยวใช่ไหม 

แสดงว่าแม้ช่วงหยุดพักจะเป็นเวลาที่ดี แต่ในมุมหนึ่ง ภายในใจคุณก็คิดถึงการทำดนตรีอยู่

ใช่ เราก็ไม่เคยหยุดนิ่งในการสร้างสรรค์นะ เรายังแต่งเพลงอยู่ ยังมีฝัน ยังมีปรารถนาว่า อยากเห็นอะไร และไม่อยากจะจบมันด้วยเรื่องแค่นี้ ชีวิตต้องเดินต่อไป บางคนเชียร์ให้เรากลับมา มีคนรออยู่เต็มเลย เขาเชื่อว่าเราทำได้ เราก็คิดว่าเราทำได้ ร้านกาแฟเดี๋ยวเกษียณแล้วค่อยมาทำก็ได้ ขอไปสู้รบก่อน (ยิ้ม) 

ก่อนหน้านี้ สิ่งที่เราในฐานะแฟนเพลงสังเกตคุณผ่านโซเชียลส่วนตัว คือ คุณดูมีความสุขกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่น การอยู่กับธรรมชาติ การอยู่กับครอบครัว สิ่งนี้มันสำคัญกับชีวิตของคุณอย่างไร

เราเข้าใจพ่อที่เป็นคนค้าขายมากขึ้น เข้าใจว่าทำไมพ่อประหยัด กว่าจะได้เงินแต่ละบาท ทุกอย่างเป็นเงินเป็นทองหมด เข้าใจว่าเขาขายของอย่างไร พอได้ไปนั่งเก้าอี้แบบที่เขานั่ง คุณจะเข้าใจว่าทำไมเขาเป็นอย่างนั้น ทุกอย่างต้องเรียนรู้เอง เห็นเอง ส่วนเรื่องการใช้เวลากับครอบครัวก็สำคัญ เพราะปกติเราเดินทางตลอด ได้เจอผู้คนที่ผ่านมาผ่านไป ไม่รู้ว่าจะไว้ใจวางใจกับใครได้บ้าง เราใช้เวลากับคนที่รักนิดหน่อยก็ต้องเดินทางอีกแล้ว ช่องว่างก็เกิดขึ้น ทำให้เราจัดการเรื่องของชีวิตส่วนตัวได้ไม่ดี แต่ช่วงเวลาที่เราได้กลับมาอยู่บ้าน เราได้อยู่กับหลานมากขึ้น เพราะเราไม่มีลูก ครอบครัวเรามีกันแค่นี้ ญาติพี่น้องไม่ได้เยอะ ดังนั้น ครอบครัวสำคัญจริงๆ

ช่วงเวลาที่ได้หยุดพักน่าจะทำให้คุณได้คิดหลายอย่าง เคยมีวันที่คิดถึงช่วงเวลาเก่าๆ บ้างไหม

มีนะ เราเป็นคนที่มีความคิดที่เร็วและไปข้างหน้า แต่บางทีก็ไปข้างหลัง บางเรื่องก็เจ็บปวด บางเรื่องก็มีความสุข บางคืนเรารู้สึกว่า หน้าที่ของเรายังไม่จบสิ้น พอนอนไม่หลับ เราก็เขียนกลอน เมื่อเขียนตัวสุดท้ายจบแล้วโพสต์ลงไป มันเหมือนว่าได้เอาเรื่องราวเหล่านั้นออกมาแล้ว แต่มันไม่ได้ทำร้ายใคร เราเอามันมาปรุง เอามาแปรรูป จากความเกลียดเป็นความงาม จากความทุกข์เป็นความงาม ศิลปะดีตรงนี้ มันเป็นพื้นที่ให้เราได้ใช้เวลาในการกลั่นกรอง ก่อนที่จะไปทำอะไร และก็เกิดเป็นความงาม ซึ่งพอได้เขียนบทกลอน มันก็เกิดความภาคภูมิใจ เราก็ได้ของใหม่ให้ชื่นชมและรู้สึกว่าตัวเองยังมีปัญญาอยู่ ยังเขียนอะไรแบบนี้ได้ ยังลับคมในสมองได้ 

ท้ายที่สุดคุณก็กลับมาอีกครั้งในฐานะศิลปิน อะไรคือสิ่งที่ทำให้คุณตัดสินใจว่าถึงเวลาแล้ว

ตอนแรกรู้สึกว่าวิญญาณเริ่มหายไป ถ้าเราไม่กล้ากระโดดขึ้นไปตอนนี้ ใจเราจะฝ่อไปเรื่อยๆ และอาจทำให้เราจบ เรามีเพลงที่เขียนไว้แล้ว แต่ด้วยกระบวนการ เราอาจจะแค่โพสต์เพลงในยูทูปได้ก็จริง แต่เรารู้สึกว่าเคยทำได้มากกว่านั้น เราเคยทำมันจริงจัง เป็นเรื่องเป็นราว เป็นอาชีพ ไม่ใช่โพสต์เพลงเล่นๆ เพราะฉะนั้น เราปรารถนาจะเห็นงานที่เป็นกระบวนการอย่างสมบูรณ์ ไม่ใช่ลูกผีลูกคน เราอยากพาตัวเองเข้าไปสู่แสง สู่การเดินทางแบบที่ศิลปินนักดนตรีคนหนึ่งต้องเจอ 

คำถามคือเราจะกลับมาแบบไหน? ถ้าทำเพลงโฟล์ก คุณอาจจะเล่นอยู่ในพื้นที่หนึ่ง แต่คุณอาจไม่ได้ใช้พลังนะ ภาพที่คุณเล่นกีตาร์ไฟฟ้าจะไม่เกิดขึ้นนะ เพราะฉะนั้น มันจึงเกิดเป็นเพลงแรก ‘ตะวันฉาย’ ในฐานะ แหลม สมพล รวมถึงเพลงที่กำลังจะปล่อย ก็จะมีทั้งกลอง กีตาร์ไฟฟ้า เบส เราต้องใช้กำลังมากกว่าเดิม เพราะต้องทำเอง หาไลน์กีตาร์เอง ไปซื้อเบสมาอัดเอง ไม่มีคนจะมาช่วยคุณได้มากขนาดนั้น ฝันเป็นเรื่องของคุณ แต่ทุกคนก็มีเวลาของเขา เราหมดเวลาอยู่ในห้องเป็นวันๆ ทำทุกอย่างจนกระทั่งได้เพลงออกมา 

ในฐานะศิลปินเดี่ยว คุณอยากส่งข้อความอะไรผ่านเพลงที่จะทำต่อจากนี้

เพลงที่จะส่งต่อไป ก็เป็นเพลงที่เกิดจากช่วงเวลาที่เราต้องการกำลังใจ หรือคนอื่นต้องการกำลังใจ ซึ่งความจริงคนเราต้องการความรัก ความปรารถนาดีต่อกันตลอดเวลา ซึ่งเราก็ยังทำหน้าที่นั้น เรารู้สึกว่าเวลาที่โตขึ้น มีมากขึ้น ก็จะอยากให้มากขึ้น เพราะได้รับมามากแล้ว 

อย่างเรื่องบทเพลง มันเป็นการให้ที่เราลงทุนโดยแค่เอาหัวใจและความปรารถนาดีใส่ลงไป เป็นการเอาความรัก เอาพลังที่มี ส่งให้กับคนที่รักหรือสังคม เราคิดว่ามันสำคัญที่จะหยิบยื่นอะไรลงไป ในวันที่สังคมเป็นแบบนี้ ทั้งเรื่องความรัก สันติภาพ ความเป็นหนึ่งเดียวกัน ซึ่งก็เป็นความปรารถนาหลักที่อยู่ในเพลงเราต่อจากนี้

ในแง่หนึ่ง การทำงานที่เป็นอิสระมากขึ้น ถือเป็นความโดดเดี่ยวด้วยไหม

ยอมรับว่ามีความรู้สึกนั้น แม้ว่าเราหันซ้ายหันขวาจะไม่มีใครมาคอยบล็อกเรา แต่ในขณะเดียวกัน เราก็ดูเงียบเหงาเหมือนกัน ต้องรับมือทั้งได้และเสียด้วยตัวเราเอง จะแชร์หรือโยนไปให้ใครก็ไม่ได้แล้ว แต่ก็เป็นการเรียนรู้ที่จะทำให้แข็งแรงขึ้น เราคิดถึงเพื่อนเราอย่าง สิงโต นำโชค หรือ แอมมี่ (เดอะ บอททอม บลูส์) หรืออีกหลายๆ คนที่เป็นศิลปินเดี่ยว เขาเก่งนะ กับการที่จะรับมือหลายๆ อย่าง เราก็เป็นน้องใหม่ มันยาก แต่ก็อยากเรียนรู้ และโชคดีที่มีทีมที่ดี มีค่ายเพลง มีคนที่ยังซัพพอร์ท ทำให้รู้สึกเรายังไม่ได้โดดเดี่ยวขนาดนั้น 

ในฐานะที่ผ่านความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในชีวิตมา คุณอยากแนะนำคนที่กลัวหรือกังวลความเปลี่ยนแปลงอย่างไร

เราคิดว่าไม่มีใครที่อยากอยู่ในความเปลี่ยนแปลงนัก แต่ทุกอย่างจะบอกด้วยตัวของมันเอง ว่าทำไมเราถึงต้องเปลี่ยนแปลง เราก็กลัวเหมือนกัน เพราะไม่รู้ว่าจะต้องเจออะไรบ้าง แต่จากเวลาที่ได้ใช้ มันมีอีกฉากหนึ่งรออยู่ แค่คุณเดินไปกับมัน และยอมรับการเปลี่ยนแปลง ชีวิตมีขึ้นมีลง ไม่มีอะไรเสียทั้งหมด มีแค่จากไปและก็มา 

อยู่กับปัจจุบันให้ได้ เรียนรู้ไปกับมัน และมองหามุมดีๆ ให้กับชีวิต แต่ก่อนที่จะเปลี่ยนแปลง ต้องคิดว่าคุณถ้วนถี่แล้วหรือยัง สำหรับเรา เราคิดถ้วนถี่แล้วนะ ไม่ติดค้างอะไร เราภาคภูมิใจทุกครั้งที่มองตัวเองกับสิ่งที่ได้ทำไป 

ทุกคนเปลี่ยนแปลงตลอด ร่างกายก็เปลี่ยนแปลง อายุก็เปลี่ยนแปลงทุกวัน บางคนบอกชีวิตคนเราอยู่ไม่ถึงร้อยปี หากมีโอกาสได้เรียนรู้อะไรเยอะๆ ได้ท่องเที่ยวไปกับหลายๆ ฉากของชีวิตก็เป็นเรื่องดีออก

หลังจากกลับมาเล่นดนตรี ทัวร์คอนเสิร์ตอีกครั้ง ทุกวันนี้คุณขึ้นไปบนเวทีด้วยความคิดแบบไหน

มองว่ามันเป็นชีวิต หน้าที่ของเรา คือ ทำวันนี้ให้หมดจด ทำอย่างไรก็ได้แต่ต้องเล่นหยดสุดท้ายแล้วทุกคนลุกขึ้นมาเต้นรำกัน นั่นคือความสุขของเรา คือความรู้สึกว่าวันนี้มีความหมาย เราได้ทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์และไม่ติดค้างอะไรแล้ว

Tags: , , , , , , , ,