ทุกวันนี้หากพูดถึงแนวเพลงอินดี้ป็อป ดรีมป็อป และซินธิไซเซอร์ ในประเทศไทย วง Dept คงเป็นชื่อแรกๆ ที่คอดนตรีนึกถึง หลัง 2 หนุ่มทั้ง เบนซ์-ภวัต โอภาสสิริโชติ (ร้องนำ, กีตาร์) และลุค ทาวน์เซน (คีย์บอร์ด, ซินธิไซเซอร์) สร้างความโดดเด่นทั้งในแง่ของเพลง คาแรกเตอร์ รวมถึงตัวตนของพวกเขา จนทำให้ Dept กลายเป็นวงโปรดในใจของใครหลายคน
ไม่นานมานี้ Dept เพิ่งปล่อยซิงเกิลใหม่อย่าง ต้องห้ามน้ำตาแบบไหน เพลงเศร้าที่เรียกน้ำตาให้ไหลออกมาโดยไม่ต้องกลั้นเอาไว้ โดยเพลงนี้ยังคงไว้ซึ่งตัวตนของ Dept อย่างครบถ้วน ในฐานะวงดนตรีที่เชี่ยวชาญด้านความเศร้า
The Momentum ขอพาไปทำความรู้จักกับ Dept ในอีกมุมหนึ่งที่ไม่ได้มีแค่ความเศร้าผ่านตัวตนของเบนซ์และลุค 2 สมาชิกวง เพื่อสำรวจเส้นทางการเติบโตของวง Dept ตลอด 6 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของการเป็นนักศึกษาดนตรี จนถึงวันที่ได้เป็นศิลปินดูโอ้แห่งค่ายสมอลล์รูม (Smallroom) รวมถึงเป้าหมายต่อไปในการทำเพลง
แล้วเธอจะรู้บ้างไหม
วันนี้อายุของวง Dept คือ 6 ปีเต็ม นับเป็นระยะเวลาไม่น้อยที่เบนซ์และลุคได้ทำงานร่วมงานกัน
“เหมือนคนเป็นแฟนกันเหมือนกันนะ” เบนซ์กล่าวถึงความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมวง ก่อนเล่าต่อว่า วิธีที่ทำให้อยู่กันยืดคือ หากมีปัญหาอะไรต้องปรับความเข้าใจกันทันที เพื่อให้บรรยากาศการทำงานราบรื่น
แม้หนึ่งในสมาชิกวงออกตัวว่า Dept คือวงดนตรีดูโอ้ที่มีนิสัยเป็นขั้วตรงข้ามกัน โดยเบนซ์มักเป็นผู้สั่งการ ส่วนลุคเป็นผู้ฟังและทำตาม แต่นิสัย 2 ขั้วนี้ก็เป็นสิ่งที่ช่วยเติมเต็มกัน และทำให้สามารถทำงานร่วมกันได้
หากย้อนกลับไปตอนที่ยังเป็นนักศึกษาดนตรี ในรั้วมหาวิทยาลัยมหิดล สิ่งที่ทำให้ทั้งคู่กลายมาเป็นวง Dept คือ ความชื่นชอบเพลงแนวเดียวกัน
“เราเข้าเรียนมหาวิทยาลัยตอนปี 2559 ลุคเข้าปี 2560 ตอนนั้นอินดี้ในไทยยังไม่ค่อยบูมมาก ซึ่งจินตนาการของเราตอนเข้าไปเรียนมหาวิทยาลัยคือ คิดว่าทุกคนจะฟังเพลงอินดี้ เพราะว่า ยุคก่อนเราเข้าไปเรียน จะมีพี่ๆ วงสมเกียรติ (SOMKIAT) แต่พอเข้าไป เขาก็ฟังเพลงป็อปทั่วไปกัน เราก็เลยหาเพื่อนที่ทำงานเหมือนกันได้ยาก จำได้ว่า เจอลุคครั้งแรกที่คอนเสิร์ตหนึ่ง มีวง POLYCAT วง JELLY ROCKET” เบนซ์เล่าย้อน
เมื่อถามต่อว่า แล้วการเรียนจบด้านดนตรีโดยตรงทำให้ Dept มีข้อได้เปรียบกว่าศิลปินอื่นไหม เบนซ์ตอบว่า เป็นทั้งเรื่องของทฤษฎี ภาคปฏิบัติ รวมถึงคอนเนกชัน
“แน่นอนว่า อาจารย์ที่สอนเรา เขามีประสบการณ์จริง มีคอนเนกชันในด้านดนตรีอะไรอย่างนี้ เหมือนเราก็มีเพื่อน เพื่อนเราในอนาคตก็อาจจะทำงานอยู่ในองค์กรอะไรสักอย่างด้วยก็ได้ แล้วมหาวิทยาลัยก็มีหลักสูตรที่แน่นอน
“แต่ในอีกแง่หนึ่งมองว่า มหาวิทยาลัยก็ไม่ได้ให้เราทั้งหมดอยู่ดี บางทีถ้าหากเราจะเรียน Sound Engineer เราเรียนในมหาลัย 4 ปี อาจจะได้ไม่ทั้งหมดของที่เราไปลงเรียนคอร์สสอน 3 เดือนก็ได้”
ประกาศให้โลกรู้
ถึงแม้ผลงานส่วนใหญ่ของ Dept เป็นเพลงช้าและเพลงเศร้า แต่ความจริงแล้ว ลุคกับเบนซ์เป็นคนตลก และยังมีความเข้าใจผิดอื่นๆ อีกหลายเรื่อง เช่น คิดว่าลุคพูดไทยไม่ได้ หรือคิดว่าทั้งคู่อายุ 30 ปี รวมถึงเรื่องการแต่งเพลงที่พวกเขายังคงทำกันเอง แม้สังกัดในค่ายใหญ่อย่างสมอลล์รูม
“ทุกวันนี้เราว่า คนยังไม่รู้เลยว่า พวกเราทำเพลงกันเอง ส่วนมากเราว่าไม่รู้นะ เพราะเวลาไปเจอคนข้างนอก เขาก็จะชอบถามว่า ทำเพลงกันเองหมดเลยเหรอ ผมเอาหมาไปฝึก ครูฝึกหมายังถามเลย (หัวเราะ) อยู่ค่ายแล้วใครแต่งเพลงให้อะไรอย่างนี้” เบนซ์เล่า
“จริงๆ ความเข้าใจของคนทั่วไป เขาเข้าใจว่า มีคนแต่งเพลงให้อยู่ เหมือนสมัยก่อนที่นักร้องมีคนแต่งเพลงให้ แล้วเขาก็ร้องเพลงแค่นั้น” ลุคช่วยเสริม “บางทีคนยังเข้าใจว่า ผมเป็นนักร้อง บางทีก็บอกว่า ผมเป็นมือกลอง บางทีก็บอกว่า ผมเป็นมือกีตาร์”
นอกจากนี้ลุคยังยกตัวอย่างเหตุการณ์ตลกๆ ที่เคยเจอในคอนเสิร์ต เมื่อมีคนขอปิ๊กกีตาร์จากเขา ทั้งที่เขาเป็นมือคีย์บอร์ด จนมีความคิดอยากทำเสื้อสกรีนประโยค ‘กูไม่มีปิ๊ก’ เพื่อประกาศ
“มันก็ฮาดี เขาอาจจะให้ผมไปขอปิ๊กเบนซ์มาให้ แล้วให้ผมเอาไปให้เขาอีกที แต่เขาพูดห้วนๆ ว่า พี่ลุคขอปิ๊กหน่อย ผมเล่นเปียโน ผมไม่มีปิ๊ก”
ในคอนเสิร์ตที่แฟนเพลงมีโอกาสได้พบปะพูดคุยกับศิลปิน ทั้งก่อนและหลังการแสดง นอกจากการเข้ามาทักทาย หรือขอของที่ระลึกแล้ว เบนซ์มักเจอแฟนเพลงเข้ามาถามว่า ขึ้นแสดงกี่โมง ซึ่งเป็นเรื่องที่เบนซ์สารภาพและเขาคิดว่า แฟนเพลงอาจยังไม่เคยได้ยิน คือเขาไม่รู้ตารางงานของตนเองว่า ต้องขึ้นเล่นกี่โมง และแนะนำว่า หากแฟนเพลงอยากรู้เรื่องตารางของ Dept ให้ถามทีมงานแทนดีกว่า
“เราใช้ชีวิตแบบวันต่อวันมากเลย ตอนนี้เราไม่ค่อยได้เตรียมตัวกับชีวิตมากนัก เมื่อก่อนเราจะจำว่า วันเสาร์มีเล่น แต่ทุกวันนี้คือเปิดปฏิทินมา โอเค พรุ่งนี้มีเล่น มันเหมือนกับว่า ความรับผิดชอบมันเยอะขึ้น เลยวางแผนใหญ่แค่ว่า เดือนนี้จะปล่อยเพลง แล้วก็จะทำเพลงเสร็จวันนี้ อัดวันนี้ ไปส่งมาสเตอร์วันนี้ แล้วที่เหลือก็ใช้ชีวิตแบบวันต่อวันเลย” เบนซ์เล่าถึงชีวิตประจำวันของเขาที่แฟนเพลงอาจยังไม่รู้
ขณะที่บทบาทหลังลงจากเวที เชื่อว่า เรื่องที่คนสงสัยในตัวทั้งคู่ว่า การที่ทั้งคู่เรียนด้านดนตรีมาโดยตรงและเป็นศิลปินเต็มตัว พวกเขาใช้เวลาว่างไปกับอะไรบ้าง หรือมีชีวิตด้านอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับดนตรีเลยหรือไม่
ประเด็นนี้ลุคตอบว่า เมื่อว่างจากการทำงานหรือเล่นดนตรี เขาก็ใช้เวลาเหมือนคนปกติทั่วไป ทั้งการออกไปเที่ยวกับแฟน กินข้าว ดูหนัง หรือออกกำลังกาย และชอบดูคลิปความรู้รอบตัว เพื่อหาความรู้ที่สามารถนำมาต่อยอดด้านดนตรีได้
“เราชอบดูคลิป 10 เรื่องจริงของประเทศนี้ 10 เรื่องจริงของจักรวาลนี้ แล้วก็ดูคลิปของ IShowSpeed” ลุคเล่าอย่างเปิดอก ก่อนเบนซ์จะเล่าต่อว่า ตนใช้เวลาในวันหยุดไปกับการพาสุนัขคู่ใจไปเดินเล่น และดูคลิปวิดีโอคล้ายกับเพื่อนร่วมวง
“แล้วก็ชอบดู IShowSpeed เหมือนกัน ชอบดูอะไรที่ไม่เกี่ยวกับดนตรีเลย คลิปที่มันชอบเด้งขึ้นมา เช่น 10 สิ่งที่คุณจะรู้ถ้าคุณเปิดร้านอาหาร หรือ 10 เรื่องที่คุณต้องรู้ถ้าจะเปิดธุรกิจหม่าล่า ชอบดูอะไรแบบนี้”
ต้องห้ามน้ำตาแบบไหน
คำถามที่หลายคนอยากรู้ตอนฟังเพลงเศร้าจับใจ คงเป็นคำถามที่ว่า เนื้อเพลงเหล่านั้นกลั่นกรองออกมาจากประสบการณ์จริงของคนแต่งเพลงหรือไม่ เบนซ์ที่รับหน้าที่เป็นคนเขียนเพลงตอบว่า ที่มามีทั้งประสบการณ์ส่วนตัวและเรื่องราวรอบตัว
“มีทั้งประสบการณ์ส่วนตัว เรื่องของคนรอบข้าง แล้วก็เรื่องราวในหนังที่เราดู แล้วเราจินตนาการต่อ มีหมดเลย ซึ่งเพลงที่เป็นประสบการณ์ส่วนตัวจริงๆ ของเราคือ 3 เพลงแรกของอีพีแรก เป็นประสบการณ์ความผิดหวังในสมัยมัธยม” เบนซ์เล่า
ขณะที่ลุคพูดถึงเพลงเดียวที่เขาแต่งอย่าง 665 ว่า มีที่มาจากประสบการณ์ของตนเอง
“เพลง 655 เป็นเรื่องราวของเรา ตอนนั้นเรารู้สึกว่า เราอยู่ที่ที่ไม่ใช่ที่ของเรา แล้วเราอยากหนีออกไปจากตรงนั้น เลยนำเอาเรื่องนี้มาแต่งต่อเป็นเพลง” มือคีย์บอร์ดบอกอย่างอารมณ์ดี
เมื่อถามถึงที่มาที่ไปของเพลงใหม่อย่าง ต้องห้ามน้ำตาแบบไหน เบนซ์เล่าให้ฟังว่า เพลงนี้มีความพิเศษตรงที่มีต้นแบบจากเพลง ไม่เป็นอะไร ของ Jida ในด้านของเนื้อหาและดนตรีในช่วงยุค 2010s ที่เขาชื่นชอบ นอกจากนี้ยังเป็นเพลงที่มีจังหวะแตกต่างกับเพลงที่ผ่านมาของ Dept ซึ่งเบนซ์บอกว่า ไม่เคยมีเพลงจังหวะโยกตัวในลักษณะแบบนี้มาก่อน
“เพลงต้องห้ามน้ำตาแบบไหน เราเอาแนวทางดนตรีจากสมอลล์รูมในช่วงยุค 2010 ทั้งเมโลดี้ ทางคอร์ดมันมีสูตรความเป็นเพลงป็อปแบบสมอลล์รูม ซึ่งเนื้อหาในเพลงไม่เป็นอะไร ของพี่ๆ วง Jida เขาจะบอกคนอื่นว่า เขาพยายามเข้มแข็ง เหมือนกับไม่เป็นอะไร
“แต่สำหรับ Dept เราลองเปลี่ยนจากคนที่เข้มแข็งให้เป็นคนฟูมฟายไปเลย เพราะเรารู้ตัวอยู่แล้วว่า กำลังเสียใจ เราอาจจะหยุดร้องไห้ได้ แต่ความรู้สึกมันไม่ให้เราหยุดแม้จะพยายามแล้ว แต่มันทำไม่ไหว เลยออกมาเป็นต้องห้ามน้ำตาแบบไหน” นักร้องนำของวงเล่าถึงเพลงล่าสุด
ทำได้หรือเปล่า
ถึงตรงนี้หลายคนคงอยากรู้ว่า ตอนนี้วงดนตรีอายุ 6 ปี มีเป้าหมายอะไรในการเข้าสู่ปีที่ 7 และปีต่อๆ ไปอย่างไร ซึ่งทั้ง 2 คนต่างก็มีความคิดความฝันต่างกันออกไป
“เราอยากขี่มอเตอร์ไซค์ขึ้นคอนเสิร์ตมากเลย” เบนซ์พูดติดตลก ก่อนว่าต่อ “ถ้าเป็นเป้าหมายตอนนี้ อยากลองทำงานให้คนอื่นบ้าง เหมือนเราก็ยังโฟกัสวงอยู่ แต่ก็อยากลองทำงานให้คนอื่นเยอะขึ้น ที่ผ่านมาก็มีทำให้คนอื่นบ้าง แต่ว่าอาจจะไม่ได้ประกาศโดยทั่วไปว่า เรารับทำเพลงให้คนอื่นแล้ว
“บางอย่างถ้าเราเอามาลงกับ Dept คนก็จะมองว่ามันไม่ใช่ Dept เพราะ Dept มันคือคนคนหนึ่งที่จะต้องแต่งตัวแบบนี้ เราเคยแต่งตัวแบบอื่นแล้วคนมองเราไม่เหมือนเดิม ซึ่งจริงๆ แล้วเราฟังเพลงค่อนข้างกว้าง แล้วอันที่จริงทำเพลงได้มากกว่าที่คนเห็นว่าเราทำ แต่ว่ามันไม่ได้ทำ เพราะว่ามันทำกับ Dept ไม่ได้ เลยอยากจะเอาที่เราชอบตรงนี้ใส่ให้คนอื่นบ้าง” เบนซ์เผยเป้าหมาย
“ถ้าเป็นไปได้อยากลองแต่งเพลงไทย เพราะเราเพิ่งรู้ว่า แต่งเพลงไทยมันยาก” ลุคเล่าถึงสิ่งที่อยากทำ “การแต่งเพลงไทยมันมีข้อจำกัดด้านภาษาเยอะมาก ถ้าเทียบกับการแต่งเพลงภาษาอังกฤษ การเปรียบเปรยกับการเล่าเรื่องมันไม่เหมือนกัน สมมติเพลง 665 อย่างนี้เล่าเรื่อง เป็นภาษาอังกฤษมันไม่ประหลาด แต่พอมันมาเล่าเป็นภาษาไทยมันประหลาดเลย
“เรามีเรื่องที่จะเล่า แต่ยังไม่รู้จะเล่าอย่างไรให้มันออกมาเป็นภาษาไทยที่ชุดคำมันไปด้วยกัน ซึ่งรู้สึกว่า การแต่งเพลงไทยอาจจะเป็นเป้าหมายอีกจุดหนึ่งที่เราอยากจะพุ่งต่อไป”
ลา ลา ลา
สำหรับคนที่เพิ่งรู้จัก Dept จากบทความนี้ รวมถึงคนที่เคยได้ฟังเพลงบางเพลงมาบ้างแล้ว แต่ยังไม่ได้ประกาศตนเป็นแฟนเพลง ก่อนจะเปิดระบบสุ่มฟังเพลงทั้งหมดของ Dept ในส่วนสุดท้ายนี้ เราจึงขอให้เบนซ์กับลุคเลือกเพลงที่คิดว่า จะช่วยทำให้คนรู้จัก Dept หรือเข้าใจตัวตนของเขาทั้งคู่มากกว่านี้
เบนซ์: ถ้าอยากรู้จัก Dept มากขึ้นต้องเพลง 202X เพราะมันมีมุมมองของเราที่ไม่ใช่เรื่องความรัก เพราะความจริงเรามีความคิดอะไรแบบนี้เหมือนกัน ไม่ใช่แค่ความรัก เขิน หรืออินเลิฟทุกครั้ง
เพลงอยู่ตรงนี้แต่แสนไกล เป็นเพลงที่ไม่ได้ใช้ภาษาที่ฟังแล้วมันเข้าใจได้เลย เราลองแต่งเรื่องที่มันซับซ้อนมากขึ้น ไม่ได้มีเฉลย ไม่ได้มีคำอธิบายอะไร
เพลงอยากเจอจะทนไม่ไหว (Dear Me) เรื่องราวในเพลงนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับเรา แต่ในระหว่างที่เขียนเพลงนี้ เราได้ลองเขียนแบบเอาทัศนคติ ความเป็นตัวเองใส่ลงไปเต็มๆ ในท่อน ‘ไม่มีแม้วันให้นับรอ บางวันบางทีฉันเองก็แอบท้อ หรือฉันนั้นแค่ไม่คู่ควรกับใคร’
แล้วเราชอบอีกวรรคหนึ่งเป็นพิเศษคือ ‘หรือฉันควรไปขอพร แล้วฉันจะต้องไปอ้อนวอนที่ไหน แล้วฉันจะหวังพึ่งพาได้จริงไหม’ เรารู้สึกว่า เราเป็นคนที่ไม่ค่อยเชื่อเรื่องความเชื่อ เพลงก็จะทำให้รู้จักความเป็นตัวเราด้วย
ลุค: เราให้เพลง Gossip ส่วนตัวเราชอบเพลงนี้ มันเป็นเพลงที่กระโดดตามได้ สนุกไปกับมันโดยไม่จำเป็นต้องเข้าใจเนื้อเพลงก็ได้ เป็นอีกไวบ์หนึ่งของ Dept ที่ไม่ได้มีแค่ดนตรีช้าๆ ถ้ามาดูเราในคอนเสิร์ตก็อยากให้ดื่มด่ำกับโมเมนต์นั้น อยากให้ทุกคนซิ่งไปกับเรา
เพลง I Feel Something Like That เป็นเพลงที่พิเศษตรงที่มีพี่รัฐ Tattoo Colour (รัฐ พิฆาตไพรี) มาฟีเจอริงกับเรา ก็จะได้ภาษาที่ไม่ใช่ภาษาของ Dept แต่พอมาอยู่ในเพลงแล้วมันไปด้วยกันได้
สุดท้ายคือเพลง 665 นี่แหละ เรียกว่า เป็นเพลงที่เราได้ทำเป้าหมายของตัวเองสำเร็จได้อีกขั้นคือ การแต่งเพลงเอง แล้วเราก็ภูมิใจกับมัน
Fact Box
- เบนซ์และลุค จบการศึกษาจากวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล โดยเบนซ์เป็นรุ่นพี่ของลุค 1 ปี พร้อมกับปล่อยเพลงแล้วเธอจะรู้บ้างไหม เป็นเพลงแรก ซึ่งขณะนั้นมีเบนซ์เป็นสมาชิกวงคนเดียว ก่อนที่จะชวนลุคมาร่วมวง และทำเพลง Just All The Night ด้วยกัน
- เพลง คล้าย คือเพลงแรก ที่วง Dept ปล่อยออกมาภายใต้สังกัด Smallroom เมื่อปี 2562
- ทั้งคู่เริ่มฟอร์มวง Dept ด้วยกัน และปล่อยเพลง เพลง 665 ในอัลบั้ม Hey Mom, Did You See Me In The Newspaper? เป็นเพลงที่ลุคลงมือเขียนด้วยตนเอง และได้ร้องเพลงนี้ในงานคอนเสิร์ต DEPT SHOUT OUT TO THE WORLD CONCERT ปี 2566 ซึ่งเป็นการร้องเพลงครั้งแรกของเขาท่ามกลางแฟนเพลงกว่า 4,000 คน
- เพลงต้องห้ามน้ำตาแบบไหน ได้แรงบันดาลใจจากเพลงไม่เป็นอะไร ของ Jida ในด้านของเนื้อหาและดนตรียุค 2010s