ในโลกของแฟชั่นผู้ชาย ‘สูท’ ไม่ได้เป็นเพียงเสื้อผ้าชิ้นสำคัญในโอกาสพิเศษเท่านั้น แต่ยังสะท้อนบุคลิก ความมั่นใจ และรสนิยมของผู้สวมใส่อย่างชัดเจน นี่คือเหตุผลที่แบรนด์สูทสัญชาติไทยอย่าง Suitcube ก่อตัวขึ้น เพื่อพลิกภาพลักษณ์การตัดสูทให้เข้าถึงง่ายขึ้น ตอบโจทย์ทั้งคุณภาพ การออกแบบ และประสบการณ์ที่แตกต่างจากร้านสูทแบบดั้งเดิม
ในโอกาสนี้เราได้คุยกับ สน จันทร์ศุภฤกษ์ ผู้ก่อตั้งและผู้บริหาร Suitcube ถึงเส้นทางการสร้างแบรนด์ตลอดกว่า 10 ปีที่ผ่านมา มุมมองการทำธุรกิจและการบริหารทีม รวมถึงเคล็ดลับการเลือกสูทที่เหมาะกับแต่ละคน ซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้ใส่แล้วดูดี แต่ยังช่วยสะท้อนตัวตนอย่างมั่นใจ
สนเล่าย้อนกลับไปว่า แรงบันดาลใจของ Suitcube เกิดขึ้นเมื่อราว 10 ปีก่อน จากประสบการณ์ส่วนตัวในวันที่เขากำลังหาสูทสำหรับงานแต่งงานของตัวเองในปี 2014 ตอนนั้นตลาดสูทเต็มไปด้วยโปรโมชันที่ดูเกินจริง เช่น เสื้อ 3 ตัว กางเกง 2 ตัว ราคา 5,000 บาท เป็นเสื้อผ้าที่คุณภาพไม่สูงนัก จากที่เคยตั้งงบไว้ 5,000 บาท กลับต้องจ่ายเกือบ 2 หมื่นบาทเพื่อได้สูทที่เหมาะสม ประสบการณ์ครั้งนั้นทำให้เขาเห็น Pain Point สำคัญของลูกค้าว่า สูทราคาจับต้องได้มักคุณภาพไม่ดี ขณะที่สูทคุณภาพดีกลับมีราคาสูงเกินเอื้อม
จากจุดนั้นเอง เขาจึงมองเห็นช่องว่างทางการตลาด และเริ่มคิดว่าน่าจะมีคนอีกมากที่ต้องการสูทดีในราคาที่สมเหตุสมผล Suitcube จึงถือกำเนิดขึ้นด้วยแนวคิดผสานคุณภาพและบริการให้ไปด้วยกัน โดยเริ่มจากการขายออนไลน์ในปี 2015 ใช้คอนเซปต์ ‘Suit in the Box’ ส่งตรงถึงลูกค้าทั่วประเทศ ไอเดียนี้ได้แรงบันดาลใจจากช่วงที่เขาไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งอีคอมเมิร์ซกำลังเติบโตอย่างมาก และเขาเชื่อว่าในไทยก็น่าจะเกิดขึ้นเช่นกัน
แม้ช่วงแรกลูกค้าจะยังไม่มั่นใจและปฏิเสธหลายครั้ง แต่สนก็ใช้โอกาสนั้นปรับตัว จนตัดสินใจเปิดห้องเล็กๆ ขนาด 3×3 เมตร เป็นโชว์รูมแรก เพื่อให้ลูกค้าได้ลองจริง ความพยายามครั้งนั้นทำให้เขาได้ออเดอร์แรกๆ ที่ยังคงเป็นความทรงจำสำคัญ และเป็นก้าวเริ่มต้นที่พา Suitcube เติบโตมาจนถึงวันที่มีมากกว่า 14 สาขาทั่วประเทศ และเตรียมขยายไปสู่จังหวัดขอนแก่นเป็นสาขาที่ 15 ในเร็วๆ นี้
จากสูทสำเร็จรูป สู่เทเลอร์เมด
ในช่วงเริ่มต้น Suitcube เลือกทำสูทแบบสำเร็จรูป (Ready-to-Wear) เป็นหลัก เพราะต้องการให้ลูกค้าสามารถเลือกซื้อได้ง่ายและสะดวก แต่สิ่งที่ทำให้แบรนด์แตกต่างจากร้านสูททั่วไปคือ “เรายอมปรับแก้ให้ลูกค้า ปกติถ้าเป็นแบรนด์สูทสำเร็จรูป เวลาไม่พอดีคือจบ แต่ของเราอยากให้ลูกค้าใส่แล้วมั่นใจที่สุด ถ้าต้องแก้ก็แก้ให้” สนอธิบาย
อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 2 ปี เสียงสะท้อนจากลูกค้าเริ่มเปลี่ยน หลายคนบอกว่า สูทสั่งตัดให้ความรู้สึกพิเศษและตอบโจทย์ได้ดีกว่า Suitcube จึงต่อยอดจาก Ready-to-Wear ไปสู่บริการเทเลอร์เมด พร้อมลงทุนสร้างโรงงานของตัวเอง เพื่อรองรับการผลิตสูทตามสั่งที่มีคุณภาพและมาตรฐานเดียวกันทั่วทุกสาขา
คนใส่สูทน้อยลง ความท้าทายของคนขายสูท
สนเล่าถึงภาพรวมธุรกิจเสื้อผ้าผู้ชาย ที่แม้ตลาดจะไม่ได้เติบโตอย่างหวือหวา แต่ก็ยังคงมีความต้องการตามจำนวนประชากรอยู่ เพียงแต่ธุรกิจสูทต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่หลังโควิด-19 “เสื้อผ้าผู้ชายยังทรงๆ อยู่ ไม่ได้โตเยอะ ตลาดมันโตตามจำนวนประชากร แต่ความยากของธุรกิจสูททุกวันนี้คือ หลังโควิดคนประชุมน้อยลง ไม่ค่อยมีมีตติงเหมือนก่อน โอกาสที่คนจะมาซื้อสูทก็ลดลงด้วย”
และเมื่อถามต่อว่า สูทยังถูกมองว่าเป็นชุดที่ใส่ได้แค่ในงานสำคัญหรือไม่ เขายอมรับว่า มีทั้งด้านบวกและด้านลบ “โชคร้ายก็คือ เรามองเห็นชัดเจนว่าคนใส่สูทน้อยลงจริงๆ ไม่ว่าจะจากงานแต่งที่ลดจำนวนลง หรือการทำงานแบบ Work From Home ที่ทำให้คนไม่จำเป็นต้องใส่สูทบ่อยเหมือนเดิม แต่ในอีกมุมก็มีความโชคดี เพราะโซเชียลมีเดียทำให้คนเข้าใจการใส่สูทมากขึ้น ลูกค้าจะเลือกไปร้านที่ไว้ใจได้ มีคุณภาพ และให้คำแนะนำจริงใจ”
Suitcube พัฒนา AI ของตัวเอง
ปฏิเสธไม่ได้ว่าเมื่อธุรกิจมาพร้อมกับออนไลน์ การตัดสูทให้พอดีตัวจึงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะไม่ใช่ว่าลูกค้าทุกคนจะใช้เทคโนโลยีได้ชำนาญ “จริงๆ แล้วเรามีการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยหลายด้าน ถึงหน้าร้านของเราจะยังคงบรรยากาศแบบดั้งเดิมเหมือนร้านสูททั่วไป แต่ระบบหลังบ้านถือว่าค่อนข้างแน่นมาก เราเก็บข้อมูลของลูกค้าไว้หมด ตั้งแต่การวัดตัว โดยให้คำแนะนำอย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นสัดส่วน สีหรือเนื้อผ้าที่เคยเลือก รวมถึงช่างที่เป็นคนตัดและประกอบแต่ละส่วน เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นลูกค้าใหม่ก็จะได้ความสะดวกมากขึ้น ส่วนลูกค้าเก่าก็สามารถกลับมาสั่งซ้ำได้ง่าย โดยไม่ต้องเริ่มกระบวนการใหม่ทั้งหมด ยกตัวอย่าง เช่น ลูกค้าที่ทำงานอยู่ย่านสีลมหรืออโศกฯ เวลาจำเป็นต้องมาฟิตติง 1-2 ครั้ง ก็สามารถเลือกไปฟิตติงที่สาขาอื่นใกล้ตัวได้เลย ระบบหลังบ้านที่เราออกแบบมาช่วยให้การทำงานรวดเร็วและยืดหยุ่นขึ้น
“สำหรับฝั่งออนไลน์ เราพัฒนาเทคโนโลยี SuticubeAI มาตั้งแต่ช่วงโควิด ซึ่งจริงๆ ตอนนั้นธุรกิจเกือบจะสะดุด แต่โชคดีที่เราเริ่มทำตรงนี้ไว้ก่อน เพราะข้อมูลลูกค้าเกือบ 2 แสนรายที่เรามี ทำให้เรารู้ว่า สรีระของคนไทยต่างจากต่างชาติอย่างไร เช่น หากมีรอบอกเท่านี้ ส่วนรอบเอวหรือต้นขามักจะสัมพันธ์กันอย่างไร เราจึงสามารถคาดเดาสัดส่วนที่ยังไม่รู้ได้แม่นยำมากขึ้น”
ทั้งหมดนี้ทำให้แบรนด์เข้าใจลูกค้าได้ดีขึ้น เพราะสรีระและพฤติกรรมของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เทคโนโลยีและข้อมูลจึงกลายเป็นจุดแข็งที่ช่วยให้ Suticube สามารถผลิตสูทที่พอดีตัวได้รวดเร็วและตอบโจทย์ลูกค้า
ถ้ามีเทคโนโลยีแล้ว ลูกค้ายังต้องมาที่หน้าร้านไหม
สนอธิบายว่า “จริงๆ แล้วเราก็ยังแนะนำให้ลูกค้าเข้ามาที่หน้าร้าน เพราะเรามองว่า คุณค่าของเราอยู่ที่พนักงาน ที่มีความรู้และสามารถให้คำแนะนำได้อย่างจริงใจ ตรงนี้เป็น Pain Point ที่เราสัมผัสมาเองว่า หลายๆ ร้านสูทไม่ได้ให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ โดยเฉพาะลูกค้าผู้ชาย ที่อาจไม่ได้สนใจรายละเอียดเรื่องแฟชั่นมากนัก ไม่รู้ว่าควรเลือกสีไหน ผ้าแบบไหน แต่พอเข้ามาหาเรา เขาจะได้เจอทีมงานที่พร้อมแนะนำครบทุกเรื่องเหมือน One Stop Service
“เราพยายามทำให้บรรยากาศการเลือกสูทไม่กดดัน ลูกค้าไม่จำเป็นต้องรู้ทุกอย่างหรือจ่ายแพงๆ ตั้งแต่แรก แต่จะได้คำแนะนำที่เหมาะกับตัวเอง ไลฟ์สไตล์ และงบประมาณที่ตั้งไว้ เหมือนคุยกับเพื่อนมากกว่าคุยกับเซลส์ ซึ่งสิ่งนี้เองที่ทำให้ลูกค้าหลายคนอยู่กับเรายาวนาน 5-10 ปี แถมยังแนะนำเพื่อนต่อ ทำให้ธุรกิจเราเติบโตอย่างต่อเนื่อง”
Service Excellence เบื้องหลังการสร้างมาตรฐานของ Suitcube
ในส่วนของงานบริการที่เป็นมาตรฐานของ Suitcube สนอธิบายว่า “แม้จะไม่ได้จบแฟชั่น อาศัยว่าเราชอบแต่งตัว ชอบใส่สูท แล้วรู้ว่า Pain Point ของลูกค้าเป็นยังไง จากประสบการณ์ตรงเลย เช่น เมื่อก่อนผมก็เป็นเด็กอ้วน เวลาไปซื้อสูทแล้วไม่มีไซซ์ที่ใส่ได้ รู้สึกว่า ‘ถ้าเป็นเรา เราจะไม่กล้าก้าวเข้าร้านเลย’ นั่นคือสิ่งที่ทำให้เราเข้าใจว่า ลูกค้าคนอื่นก็คงเจอความรู้สึกเดียวกัน
“จากตรงนี้เราก็เอามาปรับกับงานบริการ เราเชื่อว่า ถ้าจะทำร้านสูทให้ต่างจากคนอื่นจริงๆ มันไม่ได้อยู่ที่ราคา แต่มันอยู่ที่การบริการ และสำหรับเรามีแก่นไม่กี่ข้อเท่านั้น ข้อสำคัญคือ พนักงานต้องบริการให้เหมือนเป็นเจ้าของ เป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะ Mindset มันสำคัญ ถ้าคนทำงานคิดแค่ว่าเป็นลูกจ้าง เขาจะไม่พยายามเรียนรู้เพิ่ม แต่ถ้าคิดเหมือนเจ้าของ เขาจะอยากให้ลูกค้าได้รับสิ่งที่ดีที่สุดเหมือนกันกับที่เราอยากให้
“ช่วงแรกๆ เราดูแลลูกค้าเอง พนักงานที่อยู่ใกล้เราก็เรียนรู้โดยตรง แต่พอสาขามีมากขึ้นจาก 3 เป็น 4 สาขา เราเริ่มดูแลไม่ไหว จึงใช้วิธีให้รุ่นพี่สอนรุ่นน้อง ปรากฏว่ามาตรฐานมันหาย จาก 10 อาจเหลือ 9 จาก 9 เหลือ 5 จาก 5 เหลือ 3 สุดท้ายลูกค้าได้รับการบริการไม่เหมือนกัน เราเห็นแล้วก็เลยเปลี่ยนระบบใหม่ทั้งหมด ลงทุนทำ Training อย่างจริงจัง มี SOP ชัดเจน ตั้งแต่การเปิดร้าน การจัดของ การต้อนรับลูกค้า ไปจนถึงวิธีการให้คำแนะนำที่ตรงกับความต้องการจริงๆ ของลูกค้า”
“เราจัด Monthly Training ทุกเดือน บางเดือนอัปเดตเทรนด์แฟชั่น บางเดือนทำเวิร์กช็อปเรื่องการวัดตัว บางเดือนคุยกันเรื่องปัญหาที่เจอ ณ เวลานั้น ซึ่งตรงนี้ช่วยให้โมเมนตัมดีขึ้นมาก เรารู้ว่างานบริการมันไม่มีทางเพอร์เฟกต์ 100% ยังไงก็มี Error บ้าง แต่สิ่งสำคัญคือเราปรับปรุงอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้บริการของเรา Excellent ไปเรื่อยๆ”
สูทไม่ใช่แค่เสื้อผ้า แต่คือการลงทุนระยะยาว
ช่วงหนึ่งตลาดแฟชั่นเต็มไปด้วยกระแสสตรีทแวร์ เสื้อโอเวอร์ไซซ์ กางเกงคาร์โก้ และสนีกเกอร์ที่มาแรงจนหลายคนตั้งคำถามว่า “แล้วสูทจะอยู่ตรงไหน”
ผู้บริหาร Suitcube เล่าว่า ตอนนั้นเองที่ทีมงานเริ่มกลับไปมองหาทางรอดของธุรกิจ และพบว่าจริงๆ แล้วคุณค่าของสูทสอดคล้องกับ Global Trend เรื่อง ESG (Environment, Social, Governance) โดยไม่ต้องฝืนหรือสร้างอะไรใหม่ “เสื้อสูทมันไม่ใช่ฟาสต์แฟชั่นที่ใช้แค่ช่วงเดียวแล้วทิ้ง มันอยู่ได้นาน ใส่ได้หลายโอกาส และสำคัญที่สุดคือแก้ทรงได้ ลูกค้าหุ่นเปลี่ยน เราก็ขยายหรือหดให้ได้ เสื้อ 1 ตัวเลยอยู่กับเขาได้เป็นปีๆ”
สนเสริมว่า หลายครั้งลูกค้าไม่อยากตัดใหม่เพราะผูกพันกับสูทตัวเดิมมาก แม้มันจะขาดหรือชำรุดจากการใช้งาน ก็ยังเลือกที่จะนำกลับมาซ่อม “บางตัวใส่ไปงานแต่งครั้งแรกของตัวเอง บางตัวใส่ไปทุกปีจนผ้าเริ่มพัง เราก็ช่วยซ่อมให้ เพราะนั่นไม่ใช่แค่เสื้อ แต่เป็นความทรงจำ”
แนวคิดนี้จึงทำให้สูทกลายเป็นเสื้อผ้าที่ไม่ได้ตอบโจทย์เพียงด้านแฟชั่น แต่ยังมีคุณค่าในมุมของความยั่งยืนและ ESG โดยธรรมชาติไปพร้อมกัน
ฟังเสียงลูกค้า จุดเริ่มต้นของการแตกไลน์
การขยายจากสูทไปสู่สินค้าอื่นๆ ของ Suitcube ไม่ได้เกิดจากการวางแผนการตลาดใหญ่โต แต่เริ่มจากเสียงของลูกค้าที่บอกเล่าความต้องการจริงๆ
“เราใกล้ชิดกับลูกค้าเหมือนเพื่อนคนหนึ่งในแบบ Professional Way เขาก็มาบอกเราตรงๆ เลยว่า อยากได้รองเท้า อยากได้ของเสริมอย่างเนกไท โบไท เราก็เลยลองทำดู ราคาหลักร้อยเท่านั้น เพื่อให้เขาซื้อได้ง่ายโดยไม่ต้องวิ่งหาร้านอื่น” สนเล่า
จากรองเท้า ของเสริม จนถึงเสื้อเชิ้ตและกางเกงสแล็ก วันนี้ Suitcube มีทุกอย่างครบตั้งแต่หัวจรดเท้า ล่าสุดยังเปิดตัว ถุงเท้านวัตกรรม ที่นำใยผ้าแบบ Wool ซึ่งมักพบในสินค้าราคาเกือบ 2,000 บาทมาผสม และขายในราคาหลักร้อย ทำให้ใส่สบายกว่าแบบทั่วไป
“เราอยากให้ลูกค้าเข้ามาแค่ตัวเปล่า แล้วกลับออกไปพร้อมลุคที่พร้อมตั้งแต่หัวจรดเท้า” สนกล่าว
แตกไลน์สู่ 2 แบรนด์ใหม่ สู่การ Grooming และ Casual Wear
หลังจากสร้างชื่อในฐานะแบรนด์สูทที่ตอบโจทย์ผู้ชายรุ่นใหม่ Suitcube ขยายภาพลักษณ์และโอกาสทางธุรกิจด้วยการแตกไลน์สู่ 2 แบรนด์ใหม่ที่สะท้อนมุมมองเรื่องการดูดีของผู้ชายในแบบครบวงจร ทั้ง Gent & Tonic สปาสำหรับผู้ชายโดยเฉพาะ ที่หยิบยกการ Grooming มาเป็นส่วนหนึ่งของสไตล์ และ Off Duty Suitcube เสื้อผ้าแคชชวลที่ยังคง DNA ความเนี้ยบ แต่สวมใส่ได้ง่ายขึ้นในทุกวัน
“เราเชื่อว่าการที่ผู้ชายจะดูดี มันไม่ใช่แค่ใส่สูทหรือเสื้อผ้าเนี้ยบๆ อย่างเดียว แต่คือการ Grooming ตั้งแต่ภายในสู่ภายนอก”
จากความเชื่อนี้จึงเกิด Gent & Tonic-Grooming Space ร้านสปาสำหรับผู้ชายโดยเฉพาะในจังหวัดภูเก็ต ให้บริการตั้งแต่ทำเล็บมือ เล็บเท้า ไปจนถึงดูแลรูปลักษณ์ในรายละเอียดเล็กๆ ที่มักถูกมองข้าม บรรยากาศร้านออกแบบมาให้ดูเข้มขรึม ไม่หวานฟรุ้งฟริ้งแบบสปาสำหรับผู้หญิงทั่วไป แต่ให้ฟีลชิลๆ แบบโอลด์สคูลผสมความหรูสไตล์รีสอร์ต พร้อมเสิร์ฟเครื่องดื่มในบรรยากาศสบายๆ
สนเล่าว่า “แม้จะตั้งใจจับกลุ่มผู้ชาย แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นว่าผู้หญิงเข้ามาใช้บริการถึง 70% เราพึ่งรู้เลยว่าผู้หญิงจำนวนมากก็ไม่ได้อยากได้ความหวานๆ เสมอไป เขาอยากได้ที่ที่บรรยากาศเท่ๆ ชิลๆ เหมือนกัน”
อีกหนึ่งแบรนด์ที่เตรียมเปิดตัวคือ Off Duty Suitcube แบรนด์เสื้อผ้าผู้ชายสไตล์แคชชวล ที่ยังคงจับคู่กับสูทได้ แต่ไม่ดูเป็นทางการจนเกินไป “จริงๆ ลูกค้าขอเรามาเกิน 5 ปีแล้วว่า ถ้าวันที่เขาไม่ได้ใส่สูท เขาจะใส่อะไรดี เราโฟกัสสูทมาตลอดจนไม่มีเวลา แต่ตอนนี้เราพร้อมแล้ว”
สูทดีๆ สักตัว ช่วยให้ไม่พลาดโอกาสสำคัญในชีวิต
ทุกวันนี้หลายคนอาจมองว่า การใส่สูทไม่ใช่เรื่องจำเป็น ด้วยเทรนด์การแต่งตัวที่หันมาให้ความสำคัญกับความสะดวกสบายมากขึ้น เสื้อยืด กางเกงยีน หรือชุดแคชชวลกลายเป็นเครื่องแบบประจำวันไปแล้ว แต่สำหรับสนมองว่า สูทไม่ได้เป็นเพียงแค่เสื้อผ้า แต่คือ ‘โอกาส’
“ผมเชื่อว่า การใส่สูทคือการให้เกียรติตัวเอง และเกียรติคนที่เราพบ สำหรับตัวเอง สูทที่เหมาะสมสะท้อนว่า เรากำลังก้าวสู่บทบาทใหม่ในชีวิต จากวัยเรียนสู่โลกการทำงาน จากจุดเริ่มต้นเล็กๆ ไปสู่ความรับผิดชอบที่ใหญ่ขึ้น ช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ให้ดูภูมิฐานและน่าเชื่อถือมากขึ้น แต่การเลือกสูทที่ใช่ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเต็มไปด้วยรายละเอียดที่ต้องการผู้เชี่ยวชาญคอยแนะนำ เพื่อให้เราดูดีที่สุดในแบบที่เป็นตัวเราเอง” สนอธิบาย
“ขณะเดียวกัน สูทยังช่วยสร้าง First Impression ที่บอกได้ทันทีว่าเราคือใคร และพร้อมแค่ไหนต่อโอกาสตรงหน้า เพราะความจริงคือเราไม่รู้ว่าโอกาสสำคัญจะเข้ามาเมื่อไร แต่เราเลือกที่จะพร้อมเสมอได้ ผมก็เคยเจอสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดอยู่หลายครั้ง โชคดีที่วันนั้นผมแต่งตัวพร้อม ทำให้ผู้ใหญ่ที่เคารพเห็นภาพของความภูมิฐานและความน่าเชื่อถือ ตรงกันข้ามกับบางครั้งที่ผมไม่ได้เตรียมตัว ภาพที่ออกไปมันไม่ใช่เลย และสิ่งที่รู้สึกคืออยากวิ่งหนีด้วยซ้ำ”
เติบโตอย่างมีคุณค่า โดยไม่ทิ้งคุณค่าของตัวเอง
“สำหรับเราที่ Suitcube สิ่งที่วางแผนไว้ไม่ได้อยู่ที่การมุ่งไปสู่แบรนด์พันล้านหรือการเติบโตเชิงตัวเลขเพียงอย่างเดียว เพราะเรารู้ดีว่าถ้าต้องแลกด้วยการทิ้ง Core Value ของเรา คือการทำให้ลูกค้าแต่งตัวได้ดีในราคาที่เหมาะสม เราจะไม่ทำ ถึงแม้ว่ายอดขายหรือกำไรจะสูงมาก แต่ถ้าลูกค้าต้องซัฟเฟอร์ หรือรู้สึกว่าต้องจ่ายเกินความพอดี นั่นไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ
“เป้าหมายจริงๆ ของเราคือการเป็น Top of Mind ของลูกค้า การที่ใครได้ยินชื่อ Suitcube แล้วนึกถึงความทรงจำดีๆ หรือประสบการณ์ที่ประทับใจกับแบรนด์ นั่นคือความสำเร็จที่ทำให้เราภูมิใจที่สุด เป็นเหมือน Life Achievement ของเรา
“จากจุดนั้น เป้าหมายถัดไปคือการขยายความสำเร็จนี้ให้ครอบคลุมมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการมีหน้าร้านในเมืองสำคัญต่างๆ เช่น เชียงใหม่ โคราช ภูเก็ต และล่าสุดที่ขอนแก่น รวมถึงในหัวเมืองอื่นๆ ที่มีศักยภาพ กลยุทธ์อาจแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ แต่สิ่งสำคัญคือต้องมั่นใจว่า สามารถส่งมอบทั้งคุณภาพสินค้าและประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้า” สนกล่าว
ทริกเลือกสูทให้พอดีตัวแบบง่ายๆ
สุดท้ายนี้ใครที่กำลังมองหาสูทดีๆ สักตัว หรืออยากได้เทคนิคการเลือกสูทที่เหมาะกับตัวเอง สนได้แชร์ 4 เทคนิคง่ายๆ ในการเลือกสูท ดังนี้
1. ช่วงไหล่ ต้องเสมอกับไหล่จริงของเรา พอใส่แล้วจะเห็นระนาบที่พอดี ไม่ลู่ลงหรือยกขึ้นเกินไป
2. ลำตัว ต้องพอดี ไม่รัดแน่นหรือหลวมเกินไป ทดสอบง่ายๆ ด้วยการสอดฝ่ามือเข้าไประหว่างตัวกับเสื้อ จะต้องพอดี มีสเปซเล็กน้อย แต่ไม่สามารถกำมือได้
3. ความยาวเสื้อ ควรคลุมสะโพกประมาณครึ่งลำตัว ไม่สั้นเกินไปจนอัตราส่วนตัวดูไม่สวย หรือยาวเกินไปจนดูรุ่มร่าม
4. ความยาวแขน ดูที่ข้อมือ แขนเสื้อควรเลยกระดูกข้อมือประมาณ 2 เซนติเมตร เป็นความยาวที่เหมาะสมที่สุด
“สูทสำเร็จรูปส่วนใหญ่มักไม่พอดีกับทุกคน เพราะแม้แต่คนสูงเท่ากัน แขนหรือช่วงตัวก็ไม่เท่ากัน ดังนั้นการปรับไซซ์คือเรื่องสำคัญ สูทที่ดีสามารถปรับได้ตามสัดส่วนร่างกาย ทำให้คุณใส่แล้วพอดีและดูดีที่สุด” สนกล่าวทิ้งท้าย
Tags: สูท, ธุรกิจเสื้อผ้า, ชุดสูท, เสือ, The Chair, Suitcube, สูทคิวบ์, เสื้อผ้าผู้ชาย, สน จันทร์ศุภฤกษ์, ธุรกิจ, ร้านสูท, แบรนด์, ร้านชุดสูท