‘จักรยานยนต์’ นับเป็นหนึ่งในวิธีการเดินทางยอดฮิตของคนไทย เพราะเป็นรูปแบบการเดินทางที่ราคาไม่สูง เข้าถึงง่าย และช่วยประหยัดเวลาการเดินทางบนท้องถนนอันแสนวุ่นวายในกรุงเทพฯ ที่ขึ้นว่าติดขัดสุดๆ
ในยุคที่ ‘เทรนด์รักษ์โลก’ บีบบังคับให้หลายธุรกิจต้องปรับตัวเพื่อความยั่งยืน ประกอบกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันไปใช้สินค้าที่ลดการปล่อยคาร์บอนมากขึ้น เห็นได้การที่ผู้คนเลือกใช้รถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle: EV) มากขึ้น จากเดิมที่ใช้แค่รถยนต์สันดาป ทำให้ในเวลานี้รถยนต์ไฟฟ้ากลายเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
ด้วยกระแสความร้อนแรงของยานยนต์ไฟฟ้า ได้ขับเคลื่อนให้จักรยานยนต์สันดาปเริ่มหันมาใช้พลังงานไฟฟ้ามากขึ้นตามไปด้วย
แม้ประเทศไทยจะมียอดขายจักรยานยนต์สูงเฉลี่ยราว 1.8 ล้านคันต่อปี แต่กลับเป็นเรื่องน่าเสียดาย ที่ไม่มีแบรนด์สัญชาติไทยติดอยู่ในกลุ่มผู้นำตลาดเลย อีกทั้งจักรยานยนต์ส่วนใหญ่ที่จำหน่ายยังคงเป็นรุ่นที่ขับเคลื่อนด้วยน้ำมันเชื้อเพลิงแบบเดิม ไม่ใช่เทคโนโลยีใหม่ที่ก้าวไปข้างหน้า
วันนี้ The Momentum ได้พูดคุยกับ เบน-กันตินันท์ ตันวีนุกูล Co-Founder ของ SLEEK EV ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายจักรยานยนต์ไฟฟ้าสัญชาติไทย ที่มองเห็นโอกาสว่า จักรยานยนต์ไฟฟ้าจะกลายเป็นอนาคตของรูปแบบการเดินทางที่สะดวกสบายและมีราคาถูก
ปัจจุบัน SLEEK EV มีโมเดลจักรยานไฟฟ้าให้ผู้บริโภคเลือกใช้ตามไลฟ์สไตล์ของแต่ละคนมากถึง 4 รุ่นด้วยกัน ได้แก่ Type-S, Type-E, Type-X และ SLEEK-PLAY
จุดเริ่มต้นของ SLEEK EV
ผมเริ่มทำในปี 2018 ซึ่งตอนนั้นผมเป็นพนักงานบริษัทแห่งหนึ่ง และเห็นว่ารถยนต์ไฟฟ้าเริ่มเข้ามาในตลาดทั้ง BYD หรือ Tesla แต่ตัดภาพมาที่ ‘มอเตอร์ไซค์’ มันไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงมา 30 กว่าปีแล้ว ทั้งๆ ที่โลกมีเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาตลอดเวลา แต่เทคโนโลยีของมอเตอร์ไซค์ถึงยังอยู่ที่เดิม
ผมได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งของ บิล เกตส์ (ฺBill Gates) แล้วรู้สึกว่า ถ้าไม่มีอะไรมาแก้ไขปัญหานี้ ในปี 2030 ทุกอย่างก็จะสายเกินไป แต่ถึงอย่างไรเราเองก็ทำความเข้าใจกลุ่มคนที่ใช้มอเตอร์ไซค์ด้วย เพราะพวกเขาเป็นกลุ่ม Middle Lower Class เหตุผลที่เลือกมอเตอร์ไซค์ในการเดินทาง เพราะเป็นรูปแบบการขนส่งที่ราคาไม่สูง และอาจถูกกว่าขนส่งมวลชนด้วยซ้ำไป
จึงเป็นที่มาของ SLEEK EV ที่ต้องการแก้ไข 2 ปัญหาคือ Sustainability และ ‘ความประหยัด’ ดังนั้นถ้าไม่มีใครทำมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า เราก็จะทำเอง
ความต้องการมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้ามีมากน้อยแค่ไหน
แม้ว่าตอนนี้มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าอาจจะยังไม่ได้เป็นที่ต้องการมากขนาดนั้น แต่สิ่งที่ผมมองคือ ผู้คนยังต้องการ ‘วิธีการเดินทางที่ประหยัด’ ซึ่งเป็น Value ที่มีแต่มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าเท่านั้นที่ทำได้ เพราะมีราคาไฟฟ้าถูกกว่าราคาน้ำมัน
ผมเลยคิดว่า มันยังมีช่องว่างของตลาดตรงนี้อยู่ หากเราทำแต่มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า แต่ไม่สามารถประหยัดได้จริงหรือไม่ได้สะดวกสบายจริง คนก็อาจกลับไปเลือกใช้มอเตอร์ไซค์น้ำมันเหมือนเดิม เช่น สถานีชาร์จไฟฟ้าตอนนี้ต้องบอกว่ายังไม่พร้อม ขณะที่สถานีชาร์จของภาครัฐก็ยังงงๆ ว่าต้องทำอะไร อย่างไร
ปัจจุบันโครงสร้างพื้นฐานหรือจุดชาร์จของจักรยานยนต์ไฟฟ้า ยังแตกต่างจากของรถยนต์ไฟฟ้าที่มีความพร้อมมากกว่า มีจุดชาร์จไฟฟ้าทั่วประเทศกว่า 5,000 จุด เมื่อโครงสร้างพื้นฐานมีความพร้อม Adoption Rate ของรถยนต์ไฟฟ้าก็ขึ้นตามมาอยู่ที่ราว 10% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมด
แต่ตัดภาพมาที่มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้ามีเพียง 1% เศษๆ เท่านั้นเอง จากตลาดที่ค่อนข้างใหญ่ที่มียอดขายต่อปีที่ 1.8 ล้านคัน สิ่งนี้จึงเป็นความท้าทายของ SLEEK EV เหมือนกันว่า ถ้าคนอื่นไม่พร้อม ไม่ทำหรือภาครัฐไม่ขยับ เราก็ทำขึ้นเอง
เราทำวิจัยและพัฒนา (Research and Development: R&D) สถานีชาร์จ โดยค้นหาว่าอะไรจะเป็น ‘The Next Standard’ ของสถานีชาร์จมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า โดยศึกษามาตรฐานจากต่างประเทศ เช่น ยุโรป อินเดีย หรือไต้หวัน และเห็นว่ามาตรฐานของมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าน่าจะเป็น Type 6 เรารู้สึกว่าเป็นเทคโนโลยีที่ใหม่มากและประเทศไทยยังไม่มีใครทำตัวนี้
ด้วยความที่บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จํากัด (มหาชน) หรือ OR เป็นนักลงทุนของ SLEEK EV จึงเกิดความร่วมมือกัน เราได้เริ่มปล่อยตัวสถานีชาร์จไฟฟ้าและพบว่า มีคนมาชาร์จเยอะขึ้นมาก เราช่วยแก้ไขปัญหาของลูกค้าที่คิดว่า มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าชาร์จได้แค่ที่บ้านอย่างเดียว แต่สามารถชาร์จข้างนอกได้ ลูกค้าก็มีความมั่นใจในการซื้อสินค้าของเรามากขึ้น
เข้าใจว่าการทำ R&D ต้องใช้เงินเยอะ ประกอบกับความต้องการในตลาดของมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าที่ยังมีไม่มาก SLEEK EV รับมือกับปัญหานี้อย่างไร
ผมรู้ว่า Pain Point ของลูกค้าคืออะไร รู้ว่าสิ่งนี้ (จักรยานยนต์ไฟฟ้า) ทำให้ลูกค้าประหยัดได้เยอะมาก ผมเห็นคนขับแกร็บ (Grab) ต้องเติมน้ำมันเฉลี่ยวันละ 100 บาท หรือ 1 เดือนก็คิดเป็น 3,000 บาท
แต่โซลูชันของเรา สามารถทำให้เขาประหยัดจากเดิมที่ต้องจ่ายเดือนละ 3,000 บาท เหลือเพียง 300 บาทได้ ซึ่งผมคิดว่า พวกเขายังไม่รู้ เพราะว่ามันยังไม่เกิดขึ้นอย่างแพร่หลาย แต่ผมรู้ในเชิงเทคนิคมันเกิดขึ้นได้จริง
ถามว่า R&D ใช้งบสูงหรือไม่ แน่นอนสูงอยู่แล้ว เพราะการสร้างสิ่งใดขึ้นมาจากศูนย์มันยากอยู่แล้ว ถ้ามันเป็นสิ่งที่เราต้องทำ มิเช่นนั้นตลาดก็จะไม่เกิด แต่โชคดีที่วิศวกรชาวไทยมีความสามารถ เก่ง สามารถผลิตอุปกรณ์เองได้ ทำให้จากเดิมที่ต้องเสียเงินนำเข้าอุปกรณ์หลักหมื่นบาท ก็เหลือเพียงหลักพันบาทได้
SLEEK EV นำเข้าชิ้นส่วนมาจากที่ใดบ้าง
SLEEK EV มีโรงงานประกอบเองในไทย แต่ชิ้นส่วนต่างๆ ยังมีใช้จากไทยและจีน เพราะการแข่งผลิต Hardware ของเราอาจยังไม่ถึงขั้นจีน และเราไม่จำเป็นต้องเอาชนะ เพียงแต่ต้องคุมคุณภาพให้ได้ อย่าง Apple ของก็ผลิตสินค้าที่ประเทศจีน ผมมองว่า มันขึ้นอยู่กับการควบคุมคุณภาพสินค้ามากกว่า
สิ่งที่เราโฟกัสคือ การให้ความสำคัญกับโลกใบใหม่อย่างซอฟต์แวร์, Powertrain (ระบบการขับเคลื่อน), Core Technology, Data Infrastructure หรือ Digital Infrastructure มากกว่า เพราะ SLEEK EV ไม่ได้ขายแค่มอเตอร์ไซค์อย่างเดียว แต่ Powertrain ของเราก็มีความฉลาดเหมือน Tesla คือระบบสามารถคุยกันได้ มีแอปพลิเคชันวินิจฉัย มีระบบสั่งเปิด-ปิดได้
ผมว่าตรงนี้มี Value มากกว่าพวก Hard Manufacturing เช่น การผลิตเหล็กหรือพลาสติก ซึ่งเป็นสินค้าโลกเก่า
บางคนอาจจะมองว่า SLEEK EV เป็นโรงงานเล็กกว่าเจ้าใหญ่ๆ แต่ผมมองว่า ขนาดสิงคโปร์ยังเจริญได้ ทั้งๆ ที่ประเทศเล็กนิดเดียว นั่นเพราะว่าเขาไม่ทำ Hard Manufacturing แต่เขาทำสิ่งที่มันมีมูลค่ามากกว่า
SLEEK EV วาง Position ตัวเองอย่างไร
จริงๆ เราไม่ได้วางตัวเองเป็นพรีเมียม แต่ว่า Positioning จากราคาของเรามันแพงกว่าเจ้าอื่นประมาณ 20-25% แต่สิ่งที่เราเสนอให้มันมากกว่า 20-25% คือเราไม่ได้อยากจะพรีเมียม แต่ด้วยโครงสร้างของคุณภาพอุปกรณ์ที่เลือกใช้ เช่น การใช้แบตเตอรีของ CATL ซึ่งผู้ผลิตแบตเตอรีให้กับ Tesla
พอเราเลือกใช้ของที่มีคุณภาพ ย่อมต้องมาพร้อมกับราคาที่สูงกว่าตลาดคือประมาณ 5 หมื่น-1แสนบาท บางแบรนด์อาจจะขายอยู่ที่ 3-4 หมื่นบาท แต่เขารับประกันอยู่ที่ 3 หมื่นกิโลเมตรเท่านั้น กลับกันเรารับประกันคือ 1.5 แสนกิโลเมตร มากกว่า 5 เท่า เรามองว่า เราขายความคุ้มค่าระยะยาว สิ่งนี้เราจะต้องทำให้ลูกค้ามีความเข้าใจ
SLEEK EV มองตัวเองเป็นสตาร์ทอัพหรือไม่
ผมคงเรียกตัวเองว่า สตาร์ทอัพแล้วกัน เพราะเรากำลัง Scale up อยู่เรื่อยๆ ตอนนี้ก็มีนักลงทุนเข้ามา ทั้ง PTT OR, หมู-ณัฐวุฒิ พึงเจริญพงศ์ แห่ง Ookbee, Krungsri Finnovate หรือ Thai Summit
ในฐานะสตาร์ทอัพ ผมมองว่า ณ วันที่พวกเขามาลงทุน ตอนนั้นเรายังไม่ได้มีของที่เราสร้างขึ้นมา ผมมองว่า 70% ขึ้นอยู่กับผู้ก่อตั้งล้วนๆ ว่า เรามีความเป็นผู้นำ มีความพร้อมมากแค่ไหน เข้าใจทุกๆ องค์ประกอบของอุตสาหกรรมนี้ดีหรือไม่ เขาถึงไว้ใจที่จะโยนเงินให้เราไปชนะในอุตสาหกรรมนี้ได้
ตอนนี้ SLEEK EV ก็ผ่านเฟสที่เราทดสอบไปแล้ว เรามีลูกค้า เรามีดีลเลอร์ เรามีรายได้ที่เข้ามาอย่างมั่นคง ถึงคราวที่เราต้อง Scale up อีกขั้น เพราะปัจจุบัน Infrastructure ของเรายังมีไม่มากพอ เหมือนมีลูกค้าอยู่ 1,000 คน แต่ว่าเรามีสถานีชาร์จแค่ 5 จุดกลายเป็นว่ารองรับไม่ได้ ทำให้เราต้อง Scale up โครงสร้างพื้นฐานของเรา ซึ่งเป็นชาเลนจ์สำคัญเหมือนกัน
ดังนั้นเราต้องหา Real Estate และทำให้พวกเขาเข้าใจว่า สิ่งที่เราจะทำ ‘The Next PTT’ มันคือธุรกิจพลังงานรูปแบบใหม่ ตอนนี้อยู่ในช่วงที่เรากำลังขยายสถานีชาร์จ เป็นธุรกิจใหม่ที่สามารถสร้างรายได้เป็น Cash cow ได้ค่อนข้างดี
แต่ถ้ามองเฉพาะตัวมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ผมตั้งเป้าหมายว่า อยากจะเป็น Top 3 ผมอยากไปเปลี่ยนอุตสาหกรรมนี้ ยอดขายเฉลี่ย 1.8 ล้านคันต่อปี ผมตั้งเป้าไว้ว่าอยากขายได้มากกว่า 6 แสนคันต่อปี และในอนาคต SLEEK EV เองก็อยากเป็น Top National Player เพื่อพิสูจน์ว่า ผลิตภัณฑ์ของเราสามารถแก้ไขปัญหา ‘ความยั่งยืน’ และ ‘ความประหยัด’ ได้จริง หลังจากนั้นเราก็ค่อยไปตีตลาดต่างประเทศต่อไป
การที่จะไปถึงเป้าหมายนั้นได้ ผมมองว่า ผลิตภัณฑ์ของเราต้องพัฒนาเรื่อยๆ มีเทคโนโลยีใหม่ๆ ออกมาสู่ตลาด ในส่วนของโครงสร้างพื้นฐานก็ต้องทำให้มีความพร้อมมากขึ้น
ผมว่า 2 สิ่งนี้มันไปควบคู่กัน เมื่อผลิตภัณฑ์ของเราพัฒนาแล้ว ประกอบกับมีโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมก็จะทำให้มีลูกค้าที่เข้ามาอยู่ใน Ecosystem ของเรามากขึ้น
ในฐานะผู้ก่อต้ัง SLEEK EV ตั้งเป้าหมายความสำเร็จไว้อย่างไร
ความสำเร็จตอนนี้ของ SLEEK EV ผมมองว่ายังไม่ถึง 1% เพราะคิดว่าเราต้องเทียบความสำเร็จกับผู้บริโภคสุดท้าย (End consumer) มากกว่า ไม่ใช่จำนวนที่เราระดมทุนได้หรือเปิดดีลเลอร์ได้ เพราะสุดท้ายแล้ว ตัวที่กำหนดว่า ผลิตภัณฑ์ของเรามีความสำเร็จมันขึ้นอยู่กับว่าลูกค้าใช้เท่าไร ซึ่งจากที่ผมได้บอกไปคือ Market Share ของมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าทั้งหมดยังอยู่แค่ 1% กว่าๆ นั้นจึงแปลว่า เส้นทางนี้มันยังคงอีกยาวไกลที่เราจะเรียกว่ามันสำเร็จ อย่างน้อยผมมองว่า มันจะต้องถึง 30% ของ Market Share
จากหน้าข่าวที่เห็นว่า SLEEK EV จับมือเป็นพาร์ตเนอร์กับ LINE MAN อยากทราบจุดเริ่มต้นของความร่วมมือครั้งนี้
จริงๆ ผมมองว่า แพลตฟอร์ม Ride Hailing เขาแข่งกันที่สงครามราคา (Price War) กลายเป็นว่ารายได้ของคนขับต่ำลงด้วยการแข่งขันของแพลตฟอร์ม
พอมีโซลูชันที่ทำให้คนขับสามารถลดต้นทุนได้ในการขับขี่ได้ ผมมองว่า สิ่งนี้จึงเป็นช่องว่างที่ SLEEK EV เข้าไปช่วยได้ ทำให้แพลตฟอร์มบริการเรียกรถ (Ride Hailing) ยังทำกำไรและคนขับก็มีภาระน้อยลง กลายเป็น Win-Win ทั้ง 2 ฝ่าย
2 ปี ในอุตสาหกรรมจักรยานยนต์ไฟฟ้ามา เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างไร
ผมมองว่า มันเป็นการเปลี่ยนแปลงแบบ One Way คือหมายความว่า มัน ‘ไม่มีทาง’ หันกลับไปเป็นสันดาปได้ เราเห็นแล้วว่า ประเทศจีนตอนนี้แทบจะใช้จักรยานยนต์ไฟฟ้า 100% แต่ที่ประเทศไทยยังไม่พร้อมกับการเปลี่ยนแปลง ทั้ง Supply Chain ของผู้ผลิต โครงการพื้นฐาน หรือการยอมรับจากผู้บริโภค
เรามองว่า นี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น ในวันที่โครงสร้างพื้นฐานพร้อมมากกว่านี้ แล้วคนยอมรับสินค้ามากกว่านี้ ผมว่ามันจะเติบโตไปอย่างก้าวกระโดด Supply Chain เองก็จะถูกลง ตั้งแต่ผมก้าวขึ้นมาทำธุรกิจจนถึงปัจจุบัน ราคาแบตเตอรี่ลดลงไปแล้ว 70% ซึ่งผมมองว่า พอทำไปเรื่อยๆ มันจะยิ่งถูกลงกว่านี้อีก
SLEEK EV ในฐานะผู้ผลิตจักรยานยนต์ไฟฟ้าหน้าใหม่ กังวลหรือไม่ว่าเจ้าตลาดเดิมที่ทำมอเตอร์ไซค์สันดาปจะหันมาทำมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้ามากขึ้น
เท่าที่ผมดู ผมว่าเขายังช้าและยังไม่รู้ว่าต้องทำอะไร เหตุผลคือ Supply Chain ของเขาใหญ่มาก ผมเลยยังไม่มองเขาขนาดนั้น ถึงแม้ว่าจะเริ่มขยับแล้ว แต่ผมก็ค่อนข้างมั่นใจว่าเขายังไม่พร้อม
แต่สิ่งที่เราต้องทำคือ SLEEK EV ต้องแข่งกับ ‘เวลา’ และ ‘ตัวเอง’ ทำให้ตัวเองมีความพร้อมมากที่สุด แก้ไขปัญหาให้กับลูกค้าได้มากที่สุด และค่อยมาดูกันว่า Solution ของใครจะตอบโจทย์กับลูกค้ามากกว่ากัน
แต่มันก็ยังหนีไม่ได้ที่จะมีลูกค้าที่บอกว่า SLEEK EV เป็นแบรนด์ไทยแต่ราคายุโรป ทำไมถึงไม่ใช่ของราคาคนไทย แต่สิ่งที่ผมคิดก็คือ ราคาคนไทยไม่ได้แปลว่าถูก แต่ราคาคนไทยก็แปลว่าคุณภาพดีก็ได้ ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับการรับรู้ของผู้คน เพียงแต่เราต้องแสดงให้เห็นว่า แบรนด์ไทยก็สามารถกลายเป็น International Player ได้