คุณคิดว่าองค์กรอายุ 100 ปี หน้าตาจะเป็นอย่างไร

เก่าแก่ โบราณ จับตลาดคนรุ่นเก่า เหล่านี้มักเป็นภาพจำของแบรนด์ระดับศตวรรษ แต่สำหรับ ‘สัมมากร’ บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่วันนี้ดำเนินกิจการมาแล้ว 55 ปี กำลังวางแผนการเดินทางไปอีกเกือบครึ่งทาง เป็นองค์กร 100 ปี ที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย เริ่มเจาะตลาดคนรุ่นใหม่ และที่สำคัญพัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพและใช้งานได้อย่างยั่งยืน 

ขณะเดียวกันการเป็นแบรนด์อายุ 100 ปี ย่อมหมายความว่า องค์กรมีเป้าหมายที่ชัดเจนถึงความยั่งยืน เป็นมิตร และเข้าถึงคนทุกกลุ่มทุกวัย 

ดังนั้นในวันนี้ที่สัมมากรเริ่มดูเป็นแบรนด์มีอายุแล้วในสายตาผู้คน จึงเป็นหน้าที่ของ ณพน เจนธรรมนุกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท สัมมากร จำกัด (มหาชน) และพันธิตร ทองสำราญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการตลาด (CMO) บริษัท สัมมากร จำกัด (มหาชน) กับภารกิจ ‘รีแบรนดิง’ กำหนดทิศทางให้ชัดเจนขึ้น 

เพื่อให้ทั้งลูกค้าและพนักงานในองค์กรมั่นใจว่า สัมมากรจะอยู่คู่คนไทยไปอีกจะครบ 100 ปีอย่างที่ตั้งใจ

เหตุใดสัมมากรจึงมีเป้าหมายในการเป็น ‘องค์กรยั่งยืน 100 ปี’

ณพน: ในวันนี้ที่สัมมากรเป็นองค์กรที่มีอายุถึง 55 ปีแล้ว เป็นองค์กรที่มีอายุ มีความเก่าแก่ประมาณหนึ่ง เลยตั้งธงกับทีมว่า อยากจะพาองค์กรไปให้ถึง 100 ปี 

ซึ่งในทุกปีเราจะหยิบเรื่องนี้มาคุยกันตลอดว่า จะมีแนวทางธุรกิจและการบริหารบริษัทอย่างไร ให้ไปถึงตัวเลข 100 ปี ได้จริงๆ ซึ่งงาน Bottom-Up Townhall ที่ผ่านมาก็เป็นส่วนหนึ่งเช่นกัน

ตัวเลข 100 ปี มีความสำคัญอย่างไร 

ณพน: ผมมองว่าธุรกิจที่อายุ 100 ปี ในประเทศไทยยังมีไม่เยอะ อีกทั้งยังมองธุรกิจในอสังหาริมทรัพย์ก็มีแนวโน้มที่จะทำได้ เนื่องจากลักษณะธุรกิจค่อนข้างใหญ่ อีกทั้งด้วยกลยุทธ์ ระบบองค์กร และคน พวกเราเห็นพ้องต้องกันว่า วันนี้มันเป็นไปได้ 

ส่วนทำไมต้องเป็นตัวเลข 100 จริงๆ แล้ว พวกเราไม่ได้ให้ความสำคัญกับตัวเลข 100 เสียทีเดียว จริงๆ เป้าหมายที่เราวางไว้คือคำว่า ‘ยั่งยืน’ มากกว่า เพียงแต่เอาตัวเลข 100 มาตั้งเป็นตุ๊กตาไว้ให้มันเห็นภาพ

ที่สัมมากรต้องยั่งยืน เพราะหากลองย้อนไปใน 55 ปีที่ผ่านมา ก็จะเห็นว่าบ้านของสัมมากรหลายหลัง ลูกค้าที่มาซื้อตั้งแต่วันแรก วันนี้เขาก็ยังอาศัยอยู่เลย แสดงว่ามุมมองของลูกค้าในวันนี้ เขาไมได้มองการซื้อสินค้าของเราเพื่ออยู่อาศัยเพียงแค่ 10-20 ปี แล้ว 

ดังนั้นสัมมากรเอง จึงต้องพัฒนาแบรนด์ทำให้ลูกค้ามั่นใจว่าในระดับ 50-60 ปี หลังจากนี้ ลูกค้าที่มาซื้อบ้านกับเรา ยังคงได้บ้านที่คุณภาพดี วัสดุแข็งแรง ดีไซน์ไม่ตกยุคสมัย มีความ Timeless อยู่ในนั้น 

แล้วในช่วง 55 ปีที่ผ่านมาของสัมมากร มีความเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง

ณพน: ที่ผ่านมา เราพยายามปรับตัวและพัฒนาอยู่ตลอด ตั้งแต่ตัวบ้านที่ก็ต้องปรับฟังก์ชันการใช้งานให้เข้ากับวิถีชีวิตของปัจจุบันมากยิ่งขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็ยังคงความเป็นเอกลักษณ์แบบไทยเอาไว้อยู่ เช่น คนไทยไม่ใส่รองเท้าเข้าในบ้าน จึงต้องมีตู้รองเท้า หรือครัวไทยต้องมีแพนทรี (Pantry) ที่เอาไว้สำหรับเตรียมอาหาร รวมไปถึงเรื่องฟ้า-ฝน ที่ต้องออกแบบให้รอบคอบ 

ส่วนองค์กร เราก็ปรับเปลี่ยนเยอะไม่แพ้กัน เวลามีพนักงานเป็นคนรุ่นใหม่เข้ามา ก็ต้องปรับตัวกับวิธีคิด วิธีการทำงาน วัฒนธรรมองค์กรให้สอดคล้องกับพวกเขามากขึ้น 

อะไรที่คุณมองว่า สัมมากรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากที่สุด 

ณพน: ผมมองว่าภาพลักษณ์ของแบรนด์ มันเป็นโจทย์ที่ท้าทายสำหรับพวกเรากับการเปลี่ยนมุมมองลูกค้า จากคำว่าแบรนด์เก่า แบรนด์แก่ ให้กลายเป็นองค์กรที่คงความคลาสสิก ยังคงไว้ซึ่งคุณภาพและสไตล์ ที่สำคัญคือเชื่อถือได้ 

พันธิตร: ส่วนผมในมุมการตลาด ผมมองว่าการตั้งเป้า 100 ปี ทำให้องค์กรเปลี่ยนแปลงเยอะมาก เป็นการตอกย้ำให้ลูกค้ามั่นใจกับลูกค้าและพนักงานว่าจะบริษัทจะไปในทิศทางไหน 

เพราะการพาองค์กรไปให้ถึง 100 ปี เราไม่ได้ดูแค่ปีที่ 100 แต่หลังจากนี้จนถึง 100 ปี ปีที่ 60-90 ก็ต้องมาวางแผนกันว่าจะไปในทิศทางไหน ซึ่งหลังจากนี้จะเห็นการเปลี่ยนแปลงของสัมมากรเยอะมาก เอาแค่ 8 ปีที่ผ่านมาก่อนหน้า ผมว่าแทบไม่มีอะไรเหมือนเดิมเลย ทั้งเรื่องยอดขาย รวมถึงทิศทางของแบรนด์ว่า จะทำอย่างไรให้เข้าไปอยู่ในใจลูกค้าและเข้าถึงกลุ่มคนใหม่ๆ 

8 ปีที่ผ่านมา เราพยายามสื่อสารกับทุกคนว่า บ้านสัมมากรเท่ากับบ้านที่หลับสบาย คือเราเชื่อการอยู่บ้านอย่างไร้กังวล วันนี้เราพยายามสร้างภาพจำแบบนี้ 

ในวันที่มีการปรับเปลี่ยน แล้วอะไรที่เป็น Core DNA ที่สัมมากรยังคงเป็นอยู่ตั้งแต่ในวันแรก 

ณพน: เรื่องคุณภาพคือการรักษามาตรฐานว่า บ้านสัมมากรต้องมีคุณภาพ และไม่เคยลดหย่อนในเรื่องนี้ 

ต่อมาคือ ความเข้าใจในคนไทย ที่สัมมากรมักจะเป็นแบรนด์ที่ปรับตัวให้เข้ากับวิถีชีวิตของคนไทยอยู่ตลอด 

พันธิตร: ผมมองว่าคือเรื่องความใส่ใจ ใส่ใจในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การดีไซน์ การดูแลบ้าน การทำการตลาด การทำงานร่วมกันของพนักงานในองค์กร

คำว่าบ้านในฝัน สำหรับพวกคุณควรเป็นแบบไหน

ณพน: ผมว่าบ้านในฝันคือบ้านของทุกคนที่กำลังอาศัยอยู่ มันอาจจะไม่ตรงตามฝันทุกอย่าง แต่พวกคุณก็พยายามจะปรับแต่งให้ใกล้เคียงที่สุด ให้ตรงกับความต้องการ ดังนั้นบ้านในฝันจะเป็นแบบไหนก็ได้ มันขึ้นอยู่กับว่า คุณสร้างพื้นที่ข้างในนั้นได้ตรงตามใจคุณแค่ไหน 

พันธิตร: สำหรับผม คำว่าบ้านในฝันคือบ้านที่เราสร้างเพื่ออยากอยู่กับใคร อย่างผมคือการได้อยู่กับภรรยา อยู่กับลูก แบบนี้ก็คือบ้านในฝันเหมือนกัน ซึ่งมันก็ตรงกับความตั้งใจของสัมมากร ที่อยากสร้างบ้านที่เป็นมากกว่าแค่ที่อยู่อาศัย เป็นมากกว่าแค่โครงสร้าง แต่เป็นบ้านที่อยู่แล้วมีความสุข มีเรื่องราว มีบรรยากาศดีๆ เกิดขึ้นตลอดหลายสิบปีที่อาศัยอยู่ในนั้น 

ในวันนี้เทรนด์ของวงการอสังหาริมทรัพย์คือเรื่องอะไร

ณพน: เรื่อง Wellness เป็นหลัก ทั้งเรื่องสุขภาพจิต สุขภาพกาย ทำให้วงการอสังหาริมทรัพย์ต้องปรับแนวทางการทำบ้าน จากเมื่อก่อนที่ต้องมีห้องเยอะๆ เอาไว้ทำเป็นห้องน้ำหรือห้องนอนหลายๆ ห้อง วันนี้กลับเน้นเรื่องพื้นที่ภายในบ้าน คือห้องอาจจะไม่ต้องเยอะ แต่ต้องมีพื้นที่สำหรับทำกิจกรรม ทำอาชีพเสริม หรือเลี้ยงสัตว์มากยิ่งขึ้น 

สัมมากรต้องปรับตัวตามเทรนด์เหล่านี้อย่างไรบ้าง 

ณพน: ต้องปรับตั้งแต่การออกแบบ ตั้งแต่วิธีการก่อสร้าง เพราะนอกจากเรื่องทำให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตแล้ว เราก็ต้องออกแบบผู้อยู่อาศัยมั่นใจว่าจะอยู่บ้านของเราได้ไปอีก 50-60 ปี และง่ายต่อการที่จะปรับเปลี่ยนได้ในอนาคต หากมีวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป  

สัมมากรมักมีภาพจำเป็นองค์กรเก่าแก่ สร้างบ้านให้กับคนมีอายุ ในวันนี้ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นเช่นนั้นไหม

ณพน: สัมมากรวันนี้เรามีหลายเซกเมนต์ โครงการสำหรับบ้านหลังแรกราคาประมาณ 4 ล้านบาท เราก็มี ไม่ได้มีแค่บ้านระดับลักชูรี สำหรับอยู่แบบครอบครัวใหญ่ ซึ่งที่ผ่านมาก็จะพยายามออกแบบสินค้าให้ตอบโจทย์คนทุกเพศทุกวัย  

ในช่วงที่ผ่านมา แนวโน้มของตลาดอสังหาริมทรัพย์ดูจะเป็นขาลง สัมมากรเองต้องปรับตัวเรื่องนี้อย่างไร

ณพน: ก็ปรับกันมาตลอด เพราะเราเห็นหลายบริษัทก็เริ่มมีบริการอื่นๆ มากขึ้น เริ่มขยายตลาดออกไปนอกกรุงเทพฯ อย่างสัมมากรเองก็มีโครงการอยู่ที่เขาใหญ่ หรือเริ่มทำธุรกิจอื่นๆ อย่างเช่นตลาดสัมมากร รามคำแหง

ในอีก 10 ปีข้างหน้ามองว่า วงการอสังหาริมทรัพย์จะไปทิศทางไหน

ณพน: ตลาดอสังหาริมทรัพย์คงไม่ล้มหายตายจากไปไหน เพราะที่พักอาศัยยังเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิต เพียงแต่สัมมากรคงมองหาลู่ทางและโอกาสในการผลิตสินค้าอื่นๆ มากขึ้น อาจจะไม่ใช่บ้านเพียงอย่างเดียวแล้ว หรืออาจจะอยู่ในพื้นที่อื่นๆ ที่แตกต่างออกไป ผมกับทีมก็พยายามมองหาความเป็นไปได้ใหม่ๆ เพื่อที่ว่าหากวันหนึ่งมันกลายเป็นเทรนด์ เราจะได้ปรับตัว กระโดดเข้าไปหาได้เลย 

พันธิตร: เราคงมุ่งเป้าสู่การเป็น Top of Mind ผมอยากให้เวลาคนนึกถึงอสังหาริมทรัพย์ นึกถึงบ้าน แล้วมีชื่อสัมมากรขึ้นมาในใจ ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของเราที่ต้องทำสินค้าให้มีคุณภาพ รวมถึงทำการตลาดให้เข้าถึงคนได้มากขึ้น 

ในแง่ขององค์กร คุณมีแนวทางบริหารอย่างไรให้บริษัทพัฒนาขึ้น

ณพน: สำคัญที่สุดคือ ทำให้ลูกค้าเข้าใจตัวเราและเชื่อมั่นตัวเรา อย่างที่เล่าไปว่า วันนี้สัมมากรมีเซกเมนต์เยอะขึ้น จะทำอย่างไรให้เขาได้รับรู้และรู้สึกได้ว่า เรามีสินค้าที่เขาต้องการอยู่

พันธิตร: เรื่องนี้สำคัญมาก โดยเฉพาะในแง่การตลาด ดังนั้นสิ่งที่สัมมากรทำจะไม่ใช่การพยายามออกแคมเปญเยอะๆ ทำโฆษณาให้มากเข้าไว้ แต่ต้องประเมินตัวแบรนด์อยู่ตลอดว่า แนวทางที่ทำอยู่ยังคงสื่อสารไปถึงลูกค้าอยู่ไหม เพราะผมมองว่าสิ่งเหล่านี้มันต้องปรับเปลี่ยน วันนี้วิธีการแบบนี้มันได้ผล ก็ไม่ได้หมายความว่าอนาคตมันจะได้ผลเช่นกัน 

ทำอย่างไรให้ลูกค้ามองว่า สัมมากรต่างจากที่อื่น

ณพน: สัมมากรจะไม่เริ่มจากการมองว่า จะทำอย่างไรให้ต่างจากแบรนด์อื่น แต่จะเริ่มจากแนวคิดที่ว่า เราจะโดดเด่นในเรื่องไหน อย่างบ้านของสัมมากร สิ่งที่ทำให้โดดเด่น ผมมองว่าคือเรื่องการออกแบบ ที่เหมาะกับการใช้งานหลากหลายรูปแบบ 

รวมถึงเรื่องอื่นๆ เช่น คุณภาพ ราคา รวมถึงบริการของสัมมากรที่ต้องใส่ใจ และตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าได้ครบถ้วน 

หากมีโอกาสได้สื่อสารกับคนรุ่นไหม คิดว่าเรื่องไหนที่สัมมากรอยากบอกเล่ามากที่สุด

ณพน: คงบอกเล่าว่า แม้ภาพจำเราจะเป็นแบรนด์ที่อยู่มานาน แต่ก็พยายามปรับตัว มีสินค้าเหมาะกับคนรุ่นใหม่ที่เขาสนใจอยู่ตลอด ซึ่งอันนี้ก็เป็นหน้าที่ของการตลาดในการทำโฆษณาและสื่อสารเรื่องนี้ออกไป

ในวันนี้หลายคนมองว่า การซื้อบ้านเป็นเรื่องยาก ทั้งในแง่ของราคา หรือการอนุมัติเงินกู้ของธนาคาร คุณคิดเห็นเรื่องนี้อย่างไร 

ณพน: ส่วนตัวผมกลับมองว่า วันนี้เรื่องการมีบ้านไม่ยากขนาดนั้น ยิ่งหากพูดถึงเรื่องการกู้ซื้อบ้านกับธนาคาร ผมว่าง่ายกว่าเมื่อก่อนมาก แต่สิ่งที่เป็นประเด็นสำคัญในวันนี้คือ เรื่องวินัยการออมเงินเพื่อซื้อบ้านมากกว่า หากคุณยังเป็นคนมีร้อยใช้ร้อย เรื่องซื้อบ้านก็เป็นเรื่องยากไม่ว่าสมัยไหน 

ผมว่าทุกอย่างมันมีจังหวะชีวิตของมัน การซื้อบ้านหลังแรกก็ด้วย ถ้าด้วยอายุ ด้วยหน้าที่การงาน ด้วยเป้าหมายชีวิตที่อยากมีบ้านสักหลังมาบรรจบกัน การจะเริ่มมีบ้านในสมัยนี้ก็ไม่ยากขนาดนั้น วันนี้ธนาคารเข้าใจการกู้ซื้อบ้านมากขึ้น คือผมไม่ได้เชียร์ให้ทุกคนให้ไปกู้ซื้อบ้านนะ แต่ถ้าหากคุณเช่าอยู่และลังเลกับการกู้ซื้อบ้านจริงๆ ผมก็อยากจะบอกว่า การเช่าคือการจ่ายเงินทิ้ง แต่ผ่อนบ้านคือการทยอยซื้อสินทรัพย์ และหากสินทรัพย์นั้นเป็นพื้นที่สำหรับไลฟ์สไตล์ของชีวิตคุณหลังจากนี้ ก็อยากให้ลองพิจารณากันดู 

สำหรับเรื่องความยั่งยืน สัมมากรให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างไรบ้าง 

ณพน: ในมุมของแบรนด์ สัมมากรเองก็พยายามขับเคลื่อนหลายๆ โครงการ ทั้งเอาขยะจากการก่อสร้างมาทำโครงการต่างๆ หรือความยั่งยืนของมนุษย์ เราก็ไปทำแคมเปญสนับสนุนความเข้าใจของผู้ป่วยจิตเวช และมีอีกหลายๆ โครงการที่กำลังจะเริ่ม

พันธิตร: อย่างโครงการสนับสนุนความเข้าใจผู้ป่วยจิตเวชที่บ้านกึ่งวิถีหญิง จังหวัดปทุมธานี ขออธิบายเพิ่มว่า เดิมทีเราเริ่มจากอยากเข้าไปช่วยซ่อมแซมพื้นที่ที่เขาอาศัยอยู่ให้ดีขึ้น แต่ถ้าจะให้เขาอาศัยอยู่อย่างยั่งยืน เรากลับมองว่า ต้องไปแก้ปัญหาอื่นๆ เช่นการอยู่ร่วมกับคนในสังคมว่า ผู้ป่วยจิตเวชไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ทำให้ตัวโครงการจะแค่จะสร้างหลังคา จึงกลายเป็นการทำแคมเปญ จัดอีเวนต์ขึ้นมา 

ณพน: ความยั่งยืนเป็นแกนหนึ่งที่สำคัญของบริษัท ผมมองแบบนั้น เนื่องจากเราจะอยู่ต่ออีกเป็นร้อยปี ดังนั้นการทำโปรเจกต์ ทำโครงการอะไร ต้องแก้ไขปัญหาในระยะยาวได้ 

วันนี้หลายคนให้ความสนใจเรื่องการพัฒนาเมือง โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ เรื่องนี้สัมมากรมีความเห็นอย่างไรบ้าง 

ณพน: ผมที่อยู่ในกรุงเทพฯ เป็นหลัก อยากเห็นความเป็นระเบียบในการทิ้งขยะ การแก้ปัญหาน้ำท่วม แก้ปัญหาเรื่องทางเท้า ผมมองว่าเรื่องนี้ดูเหมือนเป็นเรื่องง่าย แต่ถ้าทำให้ดี ออกกฎหมายให้เข้มแข็ง มันช่วยส่งเสริมให้เมืองและบ้านของเราน่าอยู่มากยิ่งขึ้น

ท้ายที่สุดในวันที่สัมมากรเป็นองค์กรยั่งยืน 100 ปี คุณอยากเห็นแบรนด์นี้เป็นแบบไหน

ณพน: ถ้าครบ 100 ปีแล้ว ก็ขอให้เชิญผมมาด้วย ไม่ว่าจะมีชีวิตอยู่ไหม (หัวเราะ) คือผมอยากเห็นองค์กรที่อยากสร้างจากรากฐานในวันนี้ เติบโตกลายเป็นองค์กรที่แข็งแกร่ง เป็นองค์กรที่ดี และพนักงานทุกคนเป็นบุคลากรคุณภาพในสังคม 

พันธิตร: ถ้ามองในมุมของแบรนด์อยากให้องค์กรมีสินค้าที่ดี มีความเชื่อที่ดี ยึดมั่นในสิ่งที่ทำในวันนี้ 

ที่สำคัญผมจะดีใจมากเลย ถ้าวันนั้นองค์กรย้อนกลับมาเล่าถึงจุดเริ่มต้นในวันแรกว่า สัมมากรในปีที่ 1-100 ปีนั้นเป็นมาอย่างไร

Tags: , , , , , , , ,