หากพูดถึงร้านจำหน่ายอุปกรณ์กีฬาประเภท Multi-Brand Store ในประเทศไทย ‘Ari’ คงผุดขึ้นมาในหัวของผู้ชื่นชอบการออกกำลังกายเป็นอันดับต้นๆ
ด้วยวิธีการขายสินค้าที่รู้ลึก รู้จริง แก่ผู้คลั่งไคล้กีฬาประเภทนั้นๆ จนสามารถเป็นได้ตั้งแต่พนักงานขาย ผู้มอบความรู้ ไปจนถึงเพื่อนออกกำลังกายให้กับเหล่าลูกค้า ทำให้แบรนด์ Ari เติบโตมาเสมอในตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ทั้งในส่วนของ Ari Football และในส่วน Ari Running ที่คลอดตามมาภายหลัง
แต่หากจะพูดถึงเพียงในส่วนของ Ari Running นั้น นอกจากการเป็นร้านค้าประเภท ‘Customer Service Specialist’ ร้านจำหน่ายรองเท้าวิ่งนี้ยังมีกลยุทธ์ที่น่าสนใจ ทั้งการทำคอนเทนต์ออนไลน์เพื่อส่งเสริมยอดขาย รวมไปถึงการมีกลุ่ม Ari Running Club ที่สร้างฐานลูกค้าในระดับ Loyalty ได้เป็นจำนวนมาก
The Momentum ชวน นิโคลาส คินเดอร์ (Nicholas Kinder) Brand Manager ของ Ari Running มาพูดคุยถึงเรื่องราวการเติบโตของร้านขายรองเท้าวิ่งของคนไทย ที่เรียนรู้ ศึกษา และเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับนักวิ่งชาวไทย ทั้งในแง่ของสินค้า ความรู้ และประสบการณ์ เพื่อสร้างวงการวิ่งในไทยที่มีคุณภาพในอนาคตข้างหน้า
จุดเริ่มต้นของ Ari Running ที่ต่อยอดมาจาก Ari Football เกิดขึ้นได้อย่างไร
พอหลังจาก Ari Football เริ่มต้นขึ้นมาแล้ว 3 ปี ต่อมาทาง Ari มีความคิดที่จะขยายกิจการ อยากลุยตลาดรองเท้าวิ่ง เพราะจริงๆ แล้ว พาร์ตเนอร์ที่ก่อตั้งร้าน Ari เขาก็มีความสนใจในวงการวิ่งและรองเท้าวิ่งอยู่ก่อนแล้ว
คือพอเรามีร้านขายรองเท้าฟุตบอลที่เป็น Specialty Football Store เป็นกูรูเรื่องรองเท้าฟุตบอล เราก็อยากที่จะผลักดันเรื่องนี้กับรองเท้าวิ่งบ้าง เพราะในตอนนั้น การจะหาข้อมูลเกี่ยวกับรองเท้าวิ่งมันยากมาก ไม่ได้มีอินเทอร์เน็ตเหมือนทุกวันนี้ บางทีมีข้อมูลจำนวนหนึ่งก็ต้องไปถามกับร้านค้า เพื่อที่จะได้คำตอบจนได้รองเท้าที่ต้องการ ซึ่งบางทีก็ตรงใจ บางทีก็ไม่ตรงใจ
มันเลยเกิดคำถามว่า ทำไมถึงไม่มีร้านค้าที่เป็นกูรูเรื่องรองเท้าวิ่ง ที่สามารถมอบความรู้ให้กับคนที่เป็นนักวิ่งหรือสนใจจะเริ่มวิ่ง ทำไมถึงไม่มีร้านที่เป็น Specialty Running Store ที่มีความรู้เกี่ยวกับรองเท้าและการวิ่งให้กับคนไทย เป็นร้านที่มีทุกแบรนด์ที่คุณคิดว่าดี เราเลือกมาให้คุณแล้ว
ดังนั้น Ari Running เลยเริ่มต้นขึ้นจากตรงนี้ ทุกอย่างมันเริ่มมาจากแพสชันของพวกเรา
จากการเป็นร้านขายรองเท้าฟุตบอลสู่ร้านขายรองเท้าวิ่ง จุดนี้ท้าทายอย่างไรบ้างในมุมมองของคุณ
ช่วงแรกพูดตามตรงต้องใช้คำว่า ทุลักทุเล
Ari Running เปิดช่วงปี 2013 ซึ่งในตอนนั้น กีฬาวิ่งหรืองานวิ่งแข่นขันก็เพิ่งจะเป็นที่รู้จัก เป็นเรื่องที่ใหม่เอามากๆ อีกทั้งฐานลูกค้าของร้านก็แทบจะต่างกับ Ari Football โดยสิ้นเชิง คือกลุ่มฟุตบอลถ้าไม่เป็นเด็ก ก็จะเป็นผู้ปกครองที่มาซื้อรองเท้าฟุตบอลให้กับลูก ส่วน Ari Running คือกลุ่มนักวิ่งที่มีทุกเพศ ทุกวัย โตขึ้นมาหน่อย มีกำลังจ่ายมากกว่าประมาณหนึ่ง ก็ต้องปรับตัวกันยกใหญ่
เชื่อไหมว่าในเดือนแรกขายรองเท้าได้ไม่ถึง 50 คู่ มันท้อมากกับการเริ่มต้นใหม่ที่ต้องคอยโปรโมตว่า Ari มีร้านขายรองเท้าวิ่งด้วยนะ ไม่ได้มีแต่ฟุตบอล แต่สุดท้ายด้วยแพสชัน ด้วยความรักในการวิ่ง มันก็ชนะทุกอย่าง สิ่งที่เราพยายามนำเสนอก็ถูกบอกเล่าปากต่อปากจากลูกค้า สร้างชื่อให้เป็น Ari Running จนถึงทุกวันนี้
มองกลับไปในปี 2013 กระแสการวิ่งในประเทศไทยเป็นอย่างไรในบ้างตอนนั้น
ในวันนั้นเพิ่งจะมีงานวิ่งบางส่วนที่จัดขึ้นมา ในประเทศไทยคงมีแค่ Bangkok Marathon, Music Run Marathon งานใหญ่ๆ ดังๆ อย่างทุกวันนี้ยังไม่มีเลย ส่วนกีฬาวิ่งก็ยังถือเป็นเรื่องเฉพาะกลุ่มมากๆ เมื่อเทียบกับฟุตบอล
แต่ ณ วันนั้นพวกเราก็เชื่อมั่นกันนะ ว่าในอนาคตวงการวิ่งมันจะโต เราเองที่อยู่ในวงการวิ่งตั้งแต่วันนั้นก็เริ่มเห็นคนเริ่มให้ความสนใจมากขึ้น เริ่มถามถึงสิ่งต่างๆ ที่วงการวิ่งควรจะมี ซึ่งก็รวมถึงร้านขายรองเท้าที่เป็น Specialty Store ด้วยเช่นกัน
ถึงจะบอกไปข้างต้นว่า กลุ่มลูกค้าแทบจะต่างกับฟุตบอล แต่เอาเข้าจริงกีฬาวิ่งมันอยู่ในวงจรของกีฬาอื่นๆ แทบทั้งนั้น คนปั่นจักรยานบางวันเขาก็ต้องซ้อมวิ่ง คนเล่นบาสเก็ตบอลบางทีต้องวิ่ง แม้กระทั่งคนเล่นฟุตบอลเองก็ตาม บางวันที่ไม่มีแข่งขันหรือไม่มีเพื่อนมาเล่นด้วย ก็อาศัยการวิ่งนี่แหละเป็นการออกกำลังกาย พวกเราเลยมองว่ามันมีโอกาสตรงนี้อยู่
และหากมองไปยังต่างประเทศ ก็จะเริ่มเห็นปรากฏการณ์บ้างแล้ว แบรนด์ยักษ์ใหญ่อย่าง Nike หรือ Adidas ก็เริ่มมาทำการตลาดในวงการวิ่ง เริ่มมีรองเท้าวิ่งใหม่ๆ เปิดตัว ในสหรัฐอเมริกา และยุโรป แม้ในตอนนั้น กระแสในเอเชียและอาเซียนเองจะเงียบมากๆ แต่พวกเราก็เชื่อว่าเทรนด์นี้จะต้องเกิดขึ้นแน่ในอนาคต
มองว่าจุดเด่นของ Ari Running คืออะไร
ถ้าคุณอยากเริ่มเข้าสู่วงการวิ่งโดยที่ยังเป็นนักวิ่งเริ่มต้น ไม่มีความรู้มากนัก ขอแค่คุณเดินเข้าที่ Ari Running เราพร้อมจะมอบให้ทุกสิ่งที่จำเป็นสำหรับการวิ่ง สินค้า ความรู้ ประสบการณ์ แม้กระทั่งเพื่อนที่จะวิ่งกับคุณ
ฉันอยากวิ่ง ฉันไม่มีเพื่อน มาที่ Ari Running สิ นี่คือคำว่า Specialty เราไม่ได้มีบริการแค่ในส่วนสินค้า
จริงอยู่ว่าสินค้ามันคือผลกำไร มันต้องขายเพื่อการอยู่รอด แต่จริงๆ เราอยากจะมอบประสบการณ์ให้แก่นักวิ่ง เพื่อให้นักวิ่งโดยเฉพาะมือใหม่รู้สึกว่า การวิ่งไม่ได้ไกลตัว การวิ่งไม่ได้แปลว่าคุณต้องเป็นคนที่หุ่นดีหรือผอมเพรียว และรู้สึกเบื่อ รู้สึเหงา เพราะไม่มีเพื่อนวิ่ง เราไม่อยากให้เป็นแบบนั้น อยากให้เขารู้ว่ามี Ari Running ที่พร้อมซัพพอร์ตอยู่ ดังเพื่อนคนหนึ่งที่ออกไปวิ่งกับคุณ
มีหลักเกณฑ์ในการเลือกรองเท้าและอุปกรณ์เข้ามาจำหน่ายในร้านอย่างไรบ้าง
ทุกวันนี้เราใช้นโยบายการคัดเลือกสินค้าบ้างชิ้น โดยจะพยายามดูจากความต้องการของฐานลูกค้าเป็นหลักก่อน ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นนักวิ่งระดับกลางถึงแข่งขัน นักวิ่งระดับกลางคือคนที่วิ่งเก็บระยะ 50-100 กิโลเมตรต่อเดือน วิ่งเป็นงานอดิเรก รวมไปถึงนักวิ่งระดับแข่งขันที่ต้องฝึกซ้อมเหมือนกับนักกีฬา
ดังนั้น คุณภาพต้องมาเป็นอันดับแรก และที่สำคัญราคาต้องไม่แพงเกินไป เมื่อเทียบกับคุณภาพและ 3-4 แบรนด์ในสินค้าประเภทเดียวกัน
ยกตัวอย่างการคัดเลือกสินค้าประเภทไม้โพล (Pole) สำหรับการวิ่งเทรล เราจะเริ่มจากการเอาไม้โพล 3-4 แบรนด์มาเปรียบเทียบกัน โดยเอาคุณภาพเป็นที่ตั้ง ราคาเป็นเรื่องรอง จากนั้นก็จะมาพิจารณาว่าลูกค้าของเราเป็นใคร เขาจะคิดอย่างไรกับสินค้าของแบรนด์นี้ หากทุกอย่างมันลงล็อก ตอบโจทย์ทั้งหมด เราจึงจะเลือกแบรนด์นั้นมาขายในร้าน และหากวันหนึ่งมีแบรนด์ที่สองและสามอยากขอมาขายด้วย ในตอนแรกเราจะชะลอเอาไว้ก่อน จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าแบรนด์เหล่านั้นดีกว่าแบรนด์แรกที่วางขายอยู่หน้าร้านเราจริงๆ
ดังนั้น ทุกสินค้าที่วางขายในร้าน Ari Running จึงการันตีได้เลยว่า เราคิดและเราคัดมาแล้วจริงๆ
พูดกันตามตรงสินค้าภายในร้านส่วนใหญ่ต่างก็มีร้านค้าเป็นของตัวเองอยู่แล้ว แล้วทำไมลูกค้าจึงต้องมาเลือกซื้อสินค้าเหล่านั้นใน Ari Running
ถ้าย้อนกลับไปในช่วงที่แบรนด์ยักษ์ใหญ่ไม่ได้มีช็อปเยอะขนาดนี้ คือในวันนั้นเขายังไม่ได้ทำการตลาดในประเทศไทย เพียงแต่เขาเล็งเห็นและพยายามเริ่มตีตลาดจากประเทศญี่ปุ่น รวมถึงจากประเทศเกาหลีเข้ามา
ซึ่งในวันนั้น Ari เล็งเห็นจุดนี้ก่อน เราเลยตัดสินใจเข้าตีตลาดรองเท้าวิ่ง สร้างแบรนด์ของตัวเองที่พร้อมจะเป็นเพื่อนวิ่งและให้ความรู้กับลูกค้า จนเริ่มเป็นที่รู้จัก สามารถสื่อสารกับลูกค้าได้มากขึ้น
จนในวันนี้ที่แบรนด์กีฬาเริ่มมาตีตลาดในประเทศไทย ในห้างเซ็นทรัลเวิลด์ที่เราคุยกันอยู่ตอนนี้ก็มีแบรนด์รองเท้ากว่าสิบแบรนด์ ที่มีหน้าร้านของตัวเอง และมีสินค้าอยู่ในช็อปของเราด้วยเช่นกัน แต่ก็น่าสนใจไม่น้อยว่า สินค้าบางรุ่นในร้าน Ari กลับมียอดขายที่เท่ากันหรือมากกว่าเสียด้วยซ้ำ
คำตอบมันคงเป็นเพราะเราได้เริ่มก่อน ได้มอบความรู้ความสบายใจก่อน ลูกค้าเลยเลือกที่จะซื้อสินค้ากับเรา
การทำธุรกิจที่ต้องเป็น Customer Service Specialist มอบความรู้ ขายสินค้า สร้างกลุ่มคอมมูนิตี้แบบ Ari Running ต้องมีองค์ประกอบอย่างไร
ผมว่าเรื่องแพสชันต้องมาก่อน ความรู้ ความใส่ใจสำคัญนะ การเปิดร้านแบบนี้ เวลาจะเลือกสินค้าเข้ามาขาย เราไม่ได้คิดบนพื้นฐานที่ว่าจะสร้างกำไรขนาดไหน แต่คิดว่ามันจะตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าไหมมากกว่า
ยกตัวอย่างผลิตภัณฑ์บางประเภท เช่น นาฬิกา ก็มีหลายแบรนด์ที่เสนอมาขายในร้านของเรา แต่ก็มีบางแบรนด์ที่เรามองว่า ราคาอาจจะยังไม่ตอบโจทย์ หรือรูปแบบการใช้งานไม่ตรงกับลูกค้าของเราก็ต้องปฏิเสธไป
เหมือนกับว่าเราไม่ได้เลือกสินค้าโดยพิจารณาว่ามันดีที่สุด แต่เรามองว่ามันเหมาะกับลูกค้าเราขนาดไหนมากกว่า
นอกจากร้านค้าแล้ว Ari Running ก็ให้ความสนใจกับการทำ Online Content เช่นกัน วิธีคิดตรงนี้เกิดจากอะไร
เริ่มมาจาก Pain Point ที่เราในฐานะนักวิ่งเจอกันมาตลอด คือถ้าจะอยากรู้ข้อมูลรองเท้าวิ่งสักคู่หนึ่ง ก็ต้องไปดูรีวิวจากต่างประเทศบ้าง ซึ่งบางคนที่ฟังภาษาอังกฤษไม่ออก ก็พลาดโอกาสตรงนั้นไปอีก
ดังนั้น ในวันที่ยังไม่มีข้อมูลหรือเนื้อหาเกี่ยวกับวงการวิ่งในประเทศไทย ทำไมเราจึงไม่ทำเองล่ะ รองเท้าก็มีอยู่แล้วในร้าน ก็เลยได้เอามาลองใส่ มาทำคลิปอธิบายว่าเป็นอย่างไร ใส่แล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง มันเป็นจริงอย่างที่แต่ละแบรนด์โฆษณาไหม
การรีวิวเราก็มีทั้งนักกีฬาในทีม Ari Running ที่เป็นตัวแทนของนักวิ่งในระดับแข่งขัน รวมถึงพวกเราทีม Ari เอง ก็เป็นตัวแทนของนักวิ่งทั่วไป ในการอธิบายว่า รองเท้าแต่ละรุ่นมีข้อดี เหมาะกับคนแต่กลุ่มอย่างไรบ้าง นอกจากนี้ คอนเทนต์ที่เราทำก็ถึงขั้นมีการให้ความรู้เรื่องวงการวิ่ง พาไปดูงานวิ่งต่างๆ ในประเทศไทยด้วย
มองว่า Online Content จะส่งเสริมการทำธุรกิจขายรองเท้าวิ่งของคุณอย่างไรบ้าง
พวกเรามองว่าแพลตฟอร์มออนไลน์ เนื้อหาที่มีคุณภาพส่วนใหญ่ก็คงเป็นเรื่องความรู้ ความบันเทิง และประสบการณ์ ซึ่งเราก็เอาวิธีคิดแบบนี้มาพัฒนาเป็นเนื้อหาในแพลตฟอร์มออนไลน์ของเรา เรื่องความรู้ก็มีคอนเทนต์รีวิวรองเท้า เรื่องความบันเทิงก็มีเนื้อหาในกลุ่ม Ari Running Club เป็นเรื่องราวสนุกๆ ที่เกิดในการวิ่งแต่ละครั้ง หรือในด้านประสบการณ์ก็มีวิดีโอพาไปดูงานวิ่งต่างๆ
ถามว่าส่งผลต่อธุรกิจขนาดไหน ผมเชื่อว่ามีลูกค้าหลายคนตัดสินใจเลือกซื้อรองเท้าสักคู่หนึ่งเพราะได้ดูคลิปรีวิวรองเท้าของพวกเรา เชื่อว่ามีคนจำนวนหนึ่งที่ตัดสินใจเดินเข้าร้านเพราะเห็นพวกเราผ่านวิดีโอแล้วรู้สึกว่า เป็นกลุ่มคนที่มีความรู้และมีแพสชันเกี่ยวกับรองเท้าวิ่งจริงๆ
สำหรับคนที่อยากทำ Online Content เพื่อส่งเสริมธุรกิจ มีอะไรจะแนะนำบ้างไหม
ผมว่ากลับไปเรื่องเดิมเลย คือต้องทำด้วยแพสชัน จากนั้นค่อยนำไปสู่การผลิตคอนเทนต์ที่สนุกและมีข้อมูลที่ถูกต้อง ถ้าใครทำเนื้อหาออนไลน์สำหรับส่งเสริมธุรกิจด้วยวิธีคิดแบบนี้ สุดท้ายแล้วคุณจะมีกลุ่มลูกค้าหรือกลุ่มคนที่เขารัก เขาชอบเหมือนกับคุณ มารับฟังและเชื่อมั่นในตัวคุณ
อีกส่วนหนึ่งที่น่าสนใจ คือชมรมวิ่ง Ari Running Club โมเดลตรงนี้เริ่มต้นขึ้นมาได้อย่างไร
เป้าหมายหนึ่งของการสร้างชมรมวิ่งก็คือการส่งเสริมธุรกิจ ในวันนี้ Ari Running Club มีนักวิ่งลงทะเบียนผ่านเฟซบุ๊กเกือบ 6,000 คน แล้วก็มีถึง 10% จากทั้งหมดนี้มาร่วมซ้อม ร่วมวิ่งกับพวกเรา
คือการที่จะให้คนหลักร้อย มาทำกิจกรรมอะไรบางอย่างในชีวิตจริงไม่ง่ายนะ คือเขาต้องอยากรู้จัก และเป็นส่วนหนึ่งกับเรามากๆ เรียกได้ว่าเป็นวิธีการสร้างฐานลูกค้าระดับ Royalty ได้ดีเลย
ซึ่งการที่พวกเขาอยากจะมีเสื้อ มีหมวกที่สกรีนคำว่า Ari Running Club ก็หมายถึง พวกเขาต้องซื้อสินค้าของเราอย่างน้อยหนึ่งชิ้นแล้ว ตรงนี้มันก็ช่วยส่งเสริมธุรกิจขึ้นไปอีก
และสำคัญที่สุดเลย คนกลุ่มนี้แหละจะเป็นคนที่ฟีดแบ็กเรื่องต่างๆ ให้กับ Ari Running ได้เป็นอย่างดี ด้วยความที่เขาอยากอยู่กับเรานานๆ อะไรที่ดี อะไรที่ควรเปลี่ยน เขาก็จะพูดกับเราตรงๆ ซึ่งตรงนี้สำหรับผมมองว่า เป็นสุดยอดของการเก็บข้อมูลที่คุณภาพที่สุดแล้ว
ยกตัวอย่าง มีสินค้าหนึ่งที่พวกเขาขอให้เราทำขึ้นมา โดยที่ก่อนหน้านั้นเราไม่เคยนึกว่ามันจำเป็นกับนักวิ่งเลย นั่นคือผ้าซับเหงื่อขนาดใหญ่ เพราะนักวิ่งในปัจจุบันประสบปัญหาตรงที่เวลาพวกเขาไปวิ่งในสวนสาธารณะ พอวิ่งเสร็จจะขับรถยนต์กลับบ้าน พวกเขาก็ไม่อยากให้เหงื่อเปียกเบาะ เลยต้องหาอะไรบางอย่างมาคลุมที่เบาะเอาไว้ ถึงจะเข้าไปนั่งเพื่อขับรถได้ ดังนั้น เราจึงออกแบบผ้าเช็ดตัวขนาดใหญ่ที่สามารถคลุมเบาะรถยนต์ เพื่อแก้ปัญหาตรงจุดนี้เป็นต้น
อะไรแบบนี้มันเป็นงูกินหาง ที่มีแต่ได้กับได้ไม่รู้จบนะ ลูกค้าอยากได้อะไร เราก็ผลิตออกมา พอทำออกมาให้เขา เขาก็รัก เขาก็อยากอยู่กับเรา เวลาอยากได้อะไร หรืออยากติชมเรื่องไหน ก็พูดได้ตรงๆ มันมีแต่ความหวังดีกับความรู้สึกดีๆ เกิดขึ้นเสมอในกิจกรรมนี้
หากมองภาพของวงการวิ่งแต่ละยุคสมัยในประเทศไทยผ่านรองเท้า 3 คู่ คุณจะเลือกคู่ไหนบ้าง
คู่แรกผมขอย้อนไปในปี 2015 ตอนนั้นตลาดวงการวิ่งจะไม่เหมือนทุกวันนี้ รองเท้าวิ่งจะเป็นรองเท้าหนาๆ เน้นซัพพอร์ตอย่างเดียว ส่วนเรื่องการส่งแรง ทำความเร็ว เป็นเรื่องรอง แต่ในวันนั้น Adidas ได้เปิดตัวรองเท้ารุ่นหนึ่งที่ชื่อ adidas Ultraboost 1.0 ขึ้นมา เป็นรองเท้าที่หน้าตาดูทันสมัย ดูนุ่ม ดูซัพพอร์ตเท้า แต่ก็ทำความเร็วได้เช่นกัน ตอนนั้นมันเป็นความครบเครื่องที่ปฏิวัติรองเท้าวิ่งไปเลย คือในปีนั้นมันเกิดปรากฏการณ์ที่ว่า เวลาสิบโมงเช้ามีคนมาต่อคิวหน้าห้างเป็นร้อยคนเพื่อซื้อรองเท้าคู่นี้
คู่ต่อมาคงเป็น Nike Vaporfly 4% ที่เปิดตัวในปี 2018 และปฏิวัติวงการรองเท้าวิ่งด้วยการพัฒนาแผ่น Carbon ใส่เข้าไปในรองเท้า จนสามารถสร้างความเร็ว และทำให้คนรู้สึกว่ารองเท้ามันสามารถดึงศักยภาพการวิ่งของมนุษย์ออกมาได้จริง มันดีดเด้งจนขนาดที่ผู้สวมรู้สึกว่า เราจะสามารถวิ่งมาราธอนต่ำกว่า 2 ชั่วโมงได้ ในอนาคตข้างหน้า
ส่วนคู่สุดท้ายคงเป็น Adidas Adios Pro 3 ในปี 2022 ที่เราได้เห็นพัฒนาการของค่าย Adidas ที่ผลิตรองเท้าวิ่งออกมาสู่กับเจ้าตลาดอย่าง Nike จนสุดท้ายสามารถพัฒนามาเป็นแบรนด์แถวหน้าของวงการวิ่งได้อีกครั้ง
สรุปคือทั้งปี 2015 2018 และ 2022 คือปีที่สำคัญของวงการรองเท้าวิ่ง ซึ่งแน่นอนว่ามันส่งผลกับ Ari Running ในแง่ยอดขายอย่างแน่นอน
น่าสนใจว่าเหตุใดคุณจึงเลือกรองเท้า adidas Ultraboost เป็นจุดเริ่มต้นของกระแสวงการวิ่ง
ผมมองว่าในตอนนั้นเทคโนโลยี Boost ดูโดดเด่นสุด วิธีการทำการตลาดก็ถือว่าแปลกใหม่ เขาทำให้คำว่า Ultraboost เป็นที่รู้จักและติดหูคนเป็นวงกว้างได้ แม้กระทั่งคนไม่เคยวิ่งก็ต้องได้ยินชื่อของรองเท้ารุ่นนี้บ่อยๆ ต้องยอมรับว่าทีมการตลาดของ adidas ในช่วงนั้นดีมาก
อีกอย่างคือวิธีขายของ จะมีสักกี่เจ้าในยุคนั้นที่เอาโฟมรองเท้าเป็นก้อนๆ มาพิสูจน์ให้ดูเลยว่าเวลาถูกกด มันดีดตัวกลับได้เด้งและเร็วแค่ไหน เป็นวิธีพิสูจน์ที่ทำให้นักวิ่งสิ้นข้อสงสัยได้ดีมากๆ
รองเท้า Nike Vaporfly Next% ที่คุณเลือกว่าเป็นจุดตัดที่สำคัญของวงการวิ่งก็น่าสนใจเช่นกัน
ผมว่ารองเท้าคู่นี้สิ่งที่น่าคุยกัน นั่นคือ วิธีการที่เขาเลือกใช้นักกีฬาเป็นสปอนเซอร์ ความจริงรองเท้ามันก็มีดีพอที่ทำให้คนอยากรู้จักแหละ แต่การที่เอานักกีฬาระดับโลกอย่าง เอลิอุด คิปโชเก (Eliud Kipchoge) มาเป็นพรีเซนเตอร์ เป็นกลยุทธ์ที่ล่อตาล่อใจนักวิ่งมากหน้าหลายตาได้เป็นอย่างดี
“ขนาดคิปโชเกยังใส่เลย มันคงต้องเป็นรองเท้าที่ดีแน่ๆ” “อยากหามาลองใส่บ้างจัง” “ใส่แล้วคงวิ่งเร็วเหมือนเขาแหละ” เหล่านี้คือผลลัพธ์ผ่านกลยุทธ์ของ Nike
นี่เป็นกรณีที่สอนวิธีการทำธุรกิจแก่เราได้ดีมาก เราได้รู้ว่ามาร์เก็ตติ้งสำคัญแค่ไหน ส่งผลให้ทุกวันนี้เวลา Ari Running จะติดต่อเรื่องการเอาสินค้าเข้ามาขาย ส่วนหนึ่งที่ต้องดูคือสินค้าเหล่านั้นใครเป็นพรีเซนเตอร์ ภาพลักษณ์เป็นอย่างไร ทางแบรนด์มีการสื่อสารกับลูกค้าอย่างไรบ้าง เพราะทั้งหมดนี้มีผลต่อการตัดสินใจในการซื้อสินค้าเป็นอย่างมาก
ในวันนี้คุณมองเรื่องการทำธุรกิจรองเท้าวิ่งในประเทศไทยอย่างไร มีจุดแข็งอย่างไรบ้าง
จุดแข็งมากๆ ที่ผมรู้สึกคือตลาดมันกำลังขยายตัว ถ้าเทียบกับในอดีต รองเท้าวิ่งคือรองเท้าวิ่งเลย จะไม่ผูกโยงกับคำว่าแฟชั่น ในปัจจุบันคือรองเท้าวิ่งบางส่วนได้กลายเป็นแฟชั่นไปแล้ว กลายเป็นว่าก้อนเค้กในการหากลุ่มลูกค้ามันกว้างมากขึ้น ก็เป็นข้อดีในการทำธุรกิจ
อีกอย่างคือทุกวันนี้คนใส่ใจสุขภาพมาก เมื่อก่อนบางคนกล้าๆ กลัวๆ ไม่เข้ามาซื้อรองเท้าวิ่ง เพราะตัวเองหุ่นไม่ดี สุขภาพไม่แข็งแรง กลัวคนจะล้อว่ามาซื้อรองเท้าวิ่งไปทำไม แต่ทุกวันนี้วิธีคิดมันเปลี่ยนไป ใครก็อยากสุขภาพดี ใครก็อยากเข้าสังคมด้วยการออกกำลังกายด้วยกัน ก็เลยทำให้ธุรกิจของเราได้ขยายฐานลูกค้ามากขึ้นไปอีก
ที่สำคัญเลยคือข้อมูลในอินเทอร์เน็ตเยอะขึ้น ทำให้เขารู้ว่าเขาอยากซื้ออะไร อยากได้อะไร รวมไปถึงการป้ายยาต่างๆ ก็ยิ่งช่วยส่งเสริมการขายไปในตัว
แล้วในแง่ของการธุรกิจรองเท้าวิ่งมีความแตกต่างอย่างไรบ้าง
ยากขึ้นมาก ทุกวันนี้มีคู่แข่งเติบโตขึ้นเยอะ มีคนที่รู้ลึก รู้จริง เปิดร้านขายรองเท้าวิ่งเหมือนกับ Ari Running เช่นกัน
รวมไปถึงการเข้ามาทำการตลาดของแบรนด์ใหญ่ๆ ในต่างประเทศ ทำให้ร้านที่เป็น Specialty Store ต้องปรับตัว หาตัวเองให้เจอว่า เป็นใคร ยืนอยู่ตรงไหน ขายของกับใคร รู้ว่าอะไรเป็นจุดเด่น จุดแข็งของตัวเอง ที่สำคัญคืออย่ามองว่าเราเป็นเพียงแบรนด์ของประเทศไหน ต้องมองถึงในระดับทวีป ระดับโลกได้แล้ว
จากมุมมองผู้ประกอบการ เป็นไปได้ไหมที่ในอนาคตจะมีภาพนักวิ่งไทยใช้แบรนด์สินค้าในประเทศไทยเป็นส่วนใหญ่
เป็นไปได้สูงมาก แต่ก็น่าอีกจะสักพักใหญ่ๆ แต่ส่วนตัวผมก็อยากให้ไปในทิศทางนั้น เท่าที่เห็นก็มีหลายแบรนด์รองเท้าวิ่งที่มีคุณภาพกันอยู่
ผมว่าสุดท้ายต้องมีแน่ๆ ซึ่งถ้าเป็นไปได้จริงก็สุดยอดเลย เรายินดีมากๆ Ari Running เป็นร้านของคนไทย ก็ต้องสนับสนุนคนไทยอยู่แล้ว
หลังจากนี้จะได้เห็นอะไรเพิ่มเติมจาก Ari Running บ้าง
เราจะมีสินค้าใหม่ของ Ari Running เอง ส่วนทาง Ari Running Club ก็จะขยายตัวให้ใหญ่มากยิ่งขึ้น และที่สำคัญเลยคือในอนาคตเราจะมีอีเวนต์เกิดขึ้น อาจจะเป็นงานวิ่งของทาง Ari ในระดับมาราธอน หรือการวิ่งเทรลเลยก็ได้ ต้องรอติดตาม
อยากรู้ว่าความสุขของการเป็นนักวิ่งที่ทำธุรกิจวิ่งคืออะไร
ในมุมมองของผมที่เป็นนักวิ่งคือ มีความสุขทุกวัน เราตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้ไปงานเปิดตัวรองเท้าต่างๆ ได้เห็นเทคโนโลยี เห็นดีไซน์ เห็นอนาคตใหม่ต่างๆ ของวงการวิ่ง การทำ Ari Running จึงเป็นสิ่งที่ทำให้เราได้เติมเต็มความชื่นชอบส่วนตัวอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ในแง่ของการเป็นผู้ขาย แค่เราได้เห็นลูกค้าที่ซื้อรองเท้าไปใส่ เขาวิ่งได้ดี เขามีความสุข แค่นี้ก็สมบูรณ์แบบแล้ว อีกทั้งการมีทั้งร้าน มีทั้งกลุ่มวิ่ง มีทั้งสื่อออนไลน์ขึ้นมา มันก็ทำให้เราได้รู้ว่า วงการวิ่งมันไม่ได้โดดเดี่ยว แต่เป็นครอบครัวขนาดใหญ่ ที่พร้อมจะรู้จักและกลายเป็นเพื่อนนักวิ่งต่อกันอยู่เสมอ
สุดท้าย Ari Running นิยามตัวเองเอาไว้ว่าอย่างไร
‘Fill your run’ เพราะเราเคยตั้งสโลแกนว่า ถ้าลูกค้าอยากได้อะไรก็ขอให้บอกมา แล้วเราก็จะเติมสิ่งนั้นให้ทันที ไม่ว่าจะสินค้า ความรู้ ประสบการณ์ แม้กระทั่งการเป็นเพื่อนวิ่งก็ตาม
Tags: How Far We Run, The Chair, Ari Running