เบรดี้ฝันถึงม้าตัวหนึ่ง เขาอยู่ใกล้ชิดมัน เห็นดวงตา แผงขอและผิวหนัง เขาตื่นขึ้นมาในความมืด ลุกโงนเงนไปมองกระจกในห้องน้ำ ผมของเขาถูกโกนทิ้งไปแถบหนึ่ง มีผ้าพันแผลเปรอะเลือดเย็บติดกับหัวเขาด้วยแมกซ์ เขาแกะมันออกเปิดเผยแผลบนหัวเป็นเส้นทอดยาว กระโหลกที่ถูกแมกซ์เย็บปิดเหมือนตีตะขาบ เขาไม่เคยดีขึ้นอีกเลยหลังจากนั้น

เบรดี้อาศัยอยู่กับพ่อไม่เอาไหนและน้องสาววัยรุ่นที่เป็นเด็กพิเศษ  ชีวิตที่ไม่ได้เรียนหนังสือทั้งหมดของเขาอุทิศให้กับม้า เขาเป็นทั้งครูฝึกม้าและนักแข่งโรดิโอ้ เพื่อนรุ่นพี่ที่เขาเคารพที่สุดคนหนึ่งเคยเป็นคนหนุ่มหล่อเหลารุ่งโรจน์ หากหลังจากประสบอุบัติเหตุจากการเแข่งโรดิโอ้ เขากลายเป็นคนพิการพูดไม่ได้ ร่างกายผ่ายผอมแห้งเหี่ยวอยู่บนรถเข็นในโรงพยาบาล ต้องฝึกที่จะพูดผ่านมือ แม้แต่เดินยังทำไม่ได้

เบรดี้หาเลี้ยงตัวเองกับน้อง หากหลังจากประสบอุบัติเหตุในการแข่งเขาก็ทำไม่ได้อีก ความฝันทั้งมวลสูญดับ เขาอ้วกเรื่อยๆ และมือก็เกร็งจนคลายไม่ออกตลอดเวลา เขาลองเปลี่ยนกลับไปฝึกม้า ค่อยทำให้ม้าที่ตื่นกลัวสงบลง ค่อยๆ ประนีประนอมกับความฝันที่ไม่ยอมสงบลง แม้จะกลับไปไม่ได้อีกแล้ว

ในที่สุดเมื่อจนหนทางพ่อขายม้าของเขา ตัวเขาไปทำงานเป็นพนักงานในซูเปอร์มาร์เกต พยายามประคองชีวิตตัวเอง น้องสาว โดยมีพ่อมาช่วยเป็นครั้งคราว เขาผูกพันกับม้าใหม่ตัวหนึ่งที่เขาค่อยๆปลอบประโลมมัน พามันออกไปในทุ่ง เขายังคงไปดูการแข่งโรดีโอ้ เก็บความใฝ่ฝันเงียบเศร้า ความทุกข์เงียบเศร้าไว้กับตัว เขายังคงไปเยี่ยมเพื่อเขายังคงคุยกับน้อง ทำงานในซูเปอร์มาร์เกตมองดูชีวิตที่เลือกไม่ได้เหี่ยวเฉาลงไปทีละน้อยๆ เพราะไม่อาจแข่งได้หรือขี่ม้าได้อีกแล้ว จนวันหนึ่งเขาอ้วกและสลบไปในทุ่ง จนวันหนึ่งม้าของเขาหายไป จนวันหนึ่งเขาตัดสินใจที่จะเปล่งแสง

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กลุ่มหนังอิสระอเมริกันกลุ่มหนึ่งที่น่าสนใจ คือหนังกลุ่มที่มีจุดร่วมในการพูดถึงชีวิตคนชั้นล่างอย่างหนักแน่น เกือบทั้งหมดกำกับโดยผู้หญิง ทั้ง Debra Granik (Winter’s Bone (2010), Leave No Trace(2018) ) Kelly Reichardt (Wendy and Lucy (2008), Certain Women (2016)) มาจนถึง Chloe Zhao  ผู้กำกับหนังเรืองนี้ (หากจะนับฝ่ายชายจริงๆเราอาจนับรวมหนังเหวอ เซอร์เรียล อย่าง Lost River(2014) ของ Ryan Gosling และหนังแสบทรวงของ Sean Baker ( Tangerine(2015), The Florida Project(2017) และ My Sister’s Quinceanera (Aaron Douglas Johnson,2013) รวมในหนังกลุ่มนี้ได้ด้วย

ภาพยนตร์ซึ่งเรียบง่ายไม่หวือหวา หนักแน่นด้วยเรื่องราวของชีวิตผู้คนชายขอบชั้นล่างที่เรื่องราวใดๆในชีวิตของพวกเขา ทั้งความรัก ความหวัง ความฝันใฝ่ ค่านิยมของความเป็นปัจเจกชนที่ถูกให้ค่าสูงลิ่วในยุคทุนนิยมตอนปลายว่าเป็นสิ่งสากลที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้นั้น อันที่จริงแล้วถูกกำหนดด้วยข้อจำกัดทางเศรษฐกิจของชีวิต ความรักความฝันใฝ่จึงกลายเป็นของหรูหราของผู้คนที่จะเอาตัวให้รอดยังยากเย็น ลองคิดถึงเด็กผู้หญิงเร่ร่อนคนหนึ่งที่พาหมาของเธอไปด้วยแต่การเลี้ยงสัตว์กลายเป็นเรื่องของคนที่มีเงินเท่านั้น (Wendy and Lucy) เด้กสาวเลี้ยงม้าที่ตกหลุมรักครูพิเศษในโรงเรียนผู้ใหญ่คนหนึ่ง แต่คุณครูเหนื่อยล้ามากเพราะต้องทำงานสองกะส่งตัวเองเรียน เธอก็ต้องขับรถข้ามรัฐไปถึงจะได้เจอ คนทั้งสองจึงไม่อาจจะรักกันได้เพราะดหนื่อยล้าเกินไป (ตอนหนึ่งในA Certain Women)  หรือการเรียนรู้จะเอาตัวรอด สร้างมิตรภาพ และใช้ชีวิตเรียบง่ายของเด็กหญิงตัวเล็กกับแม่ที่ไม่ได้เรื่องของเธอ (The Florida Project) เรื่องราวธรรมดาของผู้คนธรรมดาที่ฉายภาพว่าความรักความฝันใฝ่ไม่ใช่เรื่องของคนทุกคน

เราอาจบอกได้ว่า นี่คือหนังที่เรียบง่ายหากละเอียดลออ หนังถ่ายภาพทุ่งหญ้า ภาพของม้า และดวงตาเศร้าของผู้คนออกมาได้อย่างน่าทึ่ง นี่คือหนังที่พูดถึงความใฝ่ฝันที่กำลังมอดดับ และการต่อสู้เพื่อมันเท่าที่ชีวิตจะมอบช่องทางให้

การทำให้สัตว์เชื่อง และการปราบพยศสัตว์กลายเป็นสัญญะสวยงาม ความใฝ่ฝันและศักดิ์ศรีของพวกผู้ชายเป็นดังสัตว์ร้ายที่เรามีวิธีหลากหลายในการจัดการกับมัน คนเช่นเบรดี้ตลอดชีวิตเชื่อในการปรายพยศ  เขาอาจจะจัดการกับสัตว์ได้ดี แต่เขาอยากเป็นนักปราบพยศม้ามากกว่าคนเลี้ยงม้า หนังเริ่มต้นขึ้นหลังจากที่ความใฝ่ฝันเตะเขากระเด็นลงมา ทิ้งรอยบาดแผลที่ไม่อาจเยียวยา เขาอาจจะยังเลี้ยงม้าได้แต่เขาไม่อาจเป็นนักปราบพยศม้าได้อีก ข้อจำกัดของเบรดี้จึงไม่ใช่แค่ประเด็นทางสังคม  แต่เป็นร่างกายของเขาเอง นี่จึงไม่ใช่หนังการก้าวข้ามความไม่เท่าเทียมทางสังคมเพื่อตามหาฝันในแบบหนังกีฬา underdog ของทีมนักกีฬาคนจนที่ไปคว้าชัยชนะเหนือทีมดัง

ในขณะเดียวกันหนังก็ไม่ใช่หนังในตระกูลการเอาชนะความร่วงโรยของร่างกายเพื่อกอบกู้ศักดิ์ศรีของความเป็นชาย ที่ถูกทึกทักแทนให้เป็นความเป็นมนุษย์ (ลองนึกถึงหนังในตระกูล Rocky หรือ The Wrestler )  หนังมีฉากที่งดงามเมื่อเพื่อนคนหนึ่งของเบรดี้พูดขึ้นมาลอยๆว่า “ปัญหาของพวกผู้ชายอย่างนายคือการไม่ยอมปล่อยวางเกียรติของตัวเอง” นี่ไม่ใช่หนังที่แสดงว่าเราจะเอาชนะข้อจำกัดของร่างกายได้อย่างไรหรือจะประนีประนอมกับมันได้อย่างไร หรือเราจะละทิ้งร่างกายเพื่อคงไว้ซึ่งจิตวิญญาณอย่างไร ซึ่งทั้งสองทางถูกทำให้โรแมนติกชุบชูจิตวิญญาณพ่ายพังในทางใดทางหนึ่งเสมอมา

หาก The Rider คือหนังที่ฉายให้เห็นว่าเราไม่สามารถจะเป็นทั้งผู้ที่เอาชนะปัจจัยทางเศรษฐกิจ และไม่อาจเป็นผู้ที่เสียสละตัวเองเพื่อจิตวิญญาณสูงส่งของความใฝ่ฝัน ไม่แม้แต่จะเป็นคนที่สามารถประนีประนอมและหาทางออกให้กับชีวิตได้โดยง่ายด้วยซ้ำ ที่เราทำ คือทำดีที่สุดและพ่ายแพ้ไปเรื่อยๆ

หนังมีฉากงดงามสุดขีด เมื่อม้าพยศตัวที่เบรดี้ปลอบให้เชื่องได้แต่เพียงผู้เดียวจนเชื่อง หายไปจากบ้าน  เขาคุยกันกับน้องสาวว่า ถ้าเขาเป็นม้า สภาพของเขาในตอนนี้มีทางเดียวคือฆ่าทิ้งเสีย แต่พอเขาเป็นคน เขาก็ไม่สามารถที่จะถูกฆ่าได้  แต่เขาไม่รู้ว่าการตายอย่างสัตว์ที่หมดประโยชน์กับการมีชีวิตอยู่อย่างตายซากเช่นนี้แบบไหนมันดีกว่าหัน น้องสาวปลอบประโลมพี่ชาย เธออยากให้เขาอยู่ด้วย และเขาอยากมองดูเธอไปตลอดชีวิตที่เหลือ

ฉากไคลแมกซ์ของหนังนั้นงดงามมากเมื่อเขาตัดสินใจที่จะไปแข่งโรดิโอ เปล่งประกายแล้วสูญดับ ดีกว่ามีชีวิตเป็นคาวบอยเศร้าสร้อยยากจนอย่างพ่อ  มือที่ยังสั่นไม่หยุด สมองที่เชื่อได้บ้างไม่ได้บ้าง เขาขับรถไปสนาม แม้พ่อจะทัดทาน

หนังอาจเลือกจบได้หลายแบบ ให้เขาปลดเปลื้องตัวเองจากความใฝ่ฝันด้วยการลงมือทำ ก้าวข้ามข้อจำกัดในชีวิตตัวเอง หรือยอมดับสูญไป หรือแม้แต่ประนีประนอมกับชีวิตและกลายเป็นม้าเชื่อง แต่หนังการจบที่งดงามที่สุด กล้าหาญที่สุด และเป็นฉากจบที่เรียบง่าย เจ็บปวด ส่องสะท้อนนัยของทั้งการยอมจำนนให้กับทุกข้อจำกัดในชีวิต ขณะเดียวกันก็เปล่งประกายของการที่ไม่ว่าอย่างไรก็จะขอมีชีวิตอยู่ต่อไปก่อน

ชีวิตก็คือม้าพยศตัวหนึ่ง เราเป็นเพียงคนที่ต้องเผชิญกับม้าพยศนั้น มีบาดแผลมากมายในร่างกายของเรา ถูกบังคับให้ฝันใฝ่ว่าจะควบคุมม้าพยศได้ แม้ในมืออาจจะมีเพียงเชือกเส้นเดียวหรือไม่มีอะไรเลย เราจะเป็นผู้ทำให้ม้าเชื่อง หรือผู้ขึ้นขี่ความโลดโผนของชีวิต เป็นผู้ที่ถูกม้าเตะจนตาย หรือเดินจากไปจากชีวิต เบรดี้ทำดีที่สุดแล้วที่เขาทำได้ในเรื่องนี้ ไม่ว่าเขาจะเอาชนะม้าได้หรือไม่ เขาคือคาวบอยที่กล้าหาญที่สุดคนหนึ่ง และนั่นคือสิ่งที่หนังมอบความงามทิ้งไว้ให้กับเรา

Tags: ,