หนังสือที่ว่าด้วยเรื่องสัตว์เลี้ยงที่มาจากเรื่องแต่งและเรื่องที่เคยเกิดขึ้นจริง มันสร้างความสุขชนิดที่ทำให้หัวใจพองโต ในขณะเดียวกันพลังทำลายล้างก็สูงระดับหัวใจสลาย เมื่อถึงตอนจบที่เราต้องกล่าวลาสัตว์เลี้ยงที่รัก

นี่เป็นเหตุผลที่เราเลิกอ่านหนังสือเรื่องรักสัตว์เลี้ยงมาพักใหญ่ จะเรียกว่าเป็นกลไกป้องกันตัวเองจากความเศร้าก็ว่าได้

A Dog’s Purpose ในชื่อภาษาไทย หมา เป้าหมาย และเด็กชายของผม ก็เช่นกัน แม้ว่าแววตาของลาบราดอร์สีดำหน้าปกจะเย้ายวนให้อ่านสักเพียงไหน แต่ใจเรายังแข็งพอ จนเมื่อได้อ่านสเตตัสเฟซบุ๊กของ โสภณา เชาวน์วิวัฒน์กุล –ผู้แปล เธอพิมพ์ไว้ว่า

“แดเมจขนาดไหน ดูจากตัวอย่างหนึ่งท่อนที่ Readery ตัดตอนมาได้ แปลๆ ไปฉันก็กลัวว่าไฟจะดูดไหม คือร้องไห้เยอะมากกกกกกกก”

ยังไม่พอ เลื่อนลงไปอ่านที่ Readery ตัดจากคำนำมาโพสต์ ก็เกิดจุกอกในหัวใจ

“A Dog’s Purpose เป็นเรื่องของหมาเขียนโดยมนุษย์ เล่าเรื่องผ่านมุมมองของหมา มันมีทั้งความเศร้า ความสะเทือนใจ และ ‘ความอิ่ม’ เหนืออื่นใด ดิฉันอ่านหนังสือเล่มนี้แล้วอยากกอดหมามาก… (ผู้แปล)”

เราจึงเริ่มอ่านหนังสือเล่มนี้ เพราะคิดถึงการได้ ‘กอดหมา’ หลังจากหมาที่บ้านลาโลกไปเมื่อ 3 ปีก่อน อีกอย่างในคำนำเขาก็บอกอยู่แล้วว่าไม่ต้องกลัวว่าหมาจะตายตอนจบ เพราะตายตั้งแต่กลางเรื่องแล้ว ซึ่งอันนี้ดี ยอมรับได้

เรื่องราวในหนังสือเล่าถึงการที่หมาตัวหนึ่งกลับมาเกิดซ้ำๆ เพื่อทำเป้าหมายให้ลุล่วง โดยเล่าจากมุมมองหมาและทำให้เราต้องเอาใจช่วยตามไปด้วย แน่นอนว่ายังไม่ต้องให้หมาตาย เราก็เสียน้ำตาหยดแรกไปแล้ว และไม่จำเป็นต้องสปอยล์เรื่องราวใดๆ เราเชื่อว่าถ้าเคยเลี้ยงหมา เคยกอด เคยหอมกลิ่นหมา เคยวิ่งเล่น เคยนั่งร้องไห้กับมัน เวลาอ่านหนังสือเล่มนี้ สำหรับเรา มันเหมือนกลไกป้องกันความเศร้าถูกถล่มทลาย ภาพเรากับหมาและความรู้สึกทั้งหมดย้อนขึ้นมาเป็นภาพแฟลชแบ็กที่ไม่มีวันจบ ถึงลงท้ายเป็นความสูญเสีย แต่ก็กลับเป็นช่วงเวลาที่มีคุณค่าครั้งหนึ่งในชีวิต

ดวงตาใสแจ๋วในวันแรกที่พบกัน ดวงตาเปี่ยมสุขในวันที่เราวิ่งเร็วๆ ไปบนสนามหญ้า หรือวันที่หมาชราจนฟันร่วงจากปาก

A Dog’s Purpose ทำให้เราคิดถึงหมา และอยากลองเลี้ยงหมาอีกสักตัว

แด่ จิ๊กกี๋ แจ๊กรัสเซลล์ เพศเมียที่ชอบกินแตงกวา

Tags: , ,