เมื่อสักกลางปีที่แล้ว (2019) เราเคยได้แนะนำภาพยนตร์ที่นักแสดงนำชายต้องตัดผมทรงสกินเฮดกันไปบ้างแล้ว โดยส่วนใหญ่แล้วนั้นแทบจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับนีโอนาซีทั้งสิ้น มาคราวนี้เราเลยเปลี่ยนมาเป็นฝั่งนักแสดงนำหญิงกันบ้าง ซึ่งเหตุผลในการ (ถูก) ตัดผมของแต่ละคนจะหลากหลายมากกว่าตามแต่ละบทบาท บ้างเพราะฐานะ บ้างเพราะโรคร้าย

ทรงผมสกินเฮดนั้นแต่เดิมเป็นที่นิยมในหมู่ชนชั้นแรงงานของอังกฤษ จนค่อยๆ เป็นที่นิยม และเพิ่มเติมประวัติศาสตร์ของตัวเองด้วยการไปเกี่ยวพันกับทั้งการเมืองและวัฒนธรรม ซึ่งมันก็ไม่ได้แพร่หลายแต่ในหมู่กลุ่มผู้ชายเท่านั้น หากยังรวมถึงผู้หญิงด้วย ในช่วงยุคปลาย 70s วัฒนธรรมย่อยนั้นมีให้เลือกมากมาย ตั้งแต่พังค์ ดิสโก้ เร้กเก้ หรือแม้แต่ม็อด วัยรุ่นจึงเลือกจุดยืนของตัวเองในมุมที่แตกต่างกัน และสำหรับลิสต์นี้มีเรื่องอะไรกันบ้างเลื่อนลงไปตามอ่านกันได้เลย!

Ellen Page – Mouth To Mouth (2005)

ภาพยนตร์เรื่องแรกที่เขียนบทและกำกับโดยอลิสัน เมอร์รีย์ ผู้กำกับสารคดีและมิวสิควิดีโอชาวแคนาดา ในเรื่องนี้นักแสดงทุกคนจะต้องโกนผมของพวกเขาทั้งหมด และมันถูกถ่ายตามลำดับเวลา ในช่วงหนึ่งเอลเลน เพจ จึงต้องเดินไปไหนมาไหนพร้อมกัมผมที่เหลืออยู่แค่ครึ่งเดียว

เอลเลน เพจ กล่าวว่าฉากที่ตัวละครของเธอสูญเสียความบริสุทธิ์ เป็นฉากที่เธอชื่นชอบน้อยที่สุดในการถ่ายทำ เพราะฉากนั้นใช้เวลานานในการถ่ายทำ และก้อนหินตรงที่เธอนอนอยู่ก็เย็นมาก

เชอร์รี่ วัยรุ่นอเมริกันที่ไม่แย่แสต่อสิ่งใด เธอไม่มีเพื่อน ไม่มีศัตรู ไม่มีใครอื่นนอกจากตัวเธอเอง แล้วอยู่ๆ เธอก็ไปเข้าร่วมอยู่กับกลุ่ม SPARK กลุ่มที่คนหนุ่มสาวมารวมตัวกัน เดินทางด้วยกัน กินด้วยกัน นอนด้วยกัน พวกเขาเดินทางไปทั่วยุโรป เพื่อค้นหาผู้คนที่เปราะบาง ซึ่งในที่นี้มีทั้งเด็กกำพร้า คนจรจัด และพวกพังค์ ตอนแรกที่เข้าร่วมเชอร์รี่ถูกคนในกลุ่มรังแกอยู่บ้าง แต่เธอก็ยังติดตามพวกเขาต่อไป

สถานการณ์โดยรวมไม่ดีเท่าไร ไม่นานต่อมาเธอออกจากกลุ่ม นั่นทำให้เธอพบกับแม่ระหว่างทาง สถานการณ์ต่างๆ ควรจะดีขึ้น แต่ทว่าทั้งสองก็ทุ่มเถียงและขัดแย้งกัน เชอร์รี่จึงกลับไปหากลุ่ม SPARK ในอีกวันให้หลัง ความผิดหวังคือเธอดันพบแม่ที่นั่น เมื่อทางเลือกมีไม่มากนัก เธอลงเอยด้วยการอยู่ในกลุ่มต่อไป และตอนนี้สมาชิกในกลุ่มหลายคนเริ่มโกนผมแล้ว ซึ่งมันคือสิ่งที่เชอร์รี่ต้องทำเช่นกัน

ในครึ่งแรกของเรื่องสิ่งที่พวกเขาทำดูเหมือนจะเป็นสังคมอิสระของคนที่มีความคิดคล้ายๆ กัน แต่พอครึ่งหลังมันดูมีความเป็นลัทธิมากขึ้นเรื่อยๆ ในกลุ่มเริ่มมีความกดดัน ความหวาดระแวง และความรุนแรง ขณะดูเราอาจรู้สึกกระอักกระอ่วนสำหรับเส้นทางเชอร์รี่ เธอแทบไม่ต่างอะไรจากเด็กสาวผู้หลงทาง แล้วเข้าไปติดอยู่ในวังวนของความรุนแรง… ซึ่งบางครั้งมันก็ยากที่จะหนีออกมา โดยเฉพาะเวลาที่เราแทบไม่เหลือใครข้างกาย

Anne Hathaway – Les Misérables (2012)

Les Misérables วรรณกรรมของนักเขียนชาวฝรั่งเศส วิกเตอร์ อูโก้ ต้นฉบับถูกตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1862 และได้รับการเชิดชูว่าเป็นหนึ่งในนวนิยายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของศตวรรษที่ 19 นับแต่นั้นมาหนังสือก็ถูกนำไปดัดแปลงเป็นผลงานชิ้นอื่นๆ ตามมา อาทิ ภาพยนตร์ เพลง ละครเวที ละครวิทยุ ละครโทรทัศน์ แม้กระทั่งมังหงะ

ผลงานภาพยนตร์ที่ออกฉายในปี 2012 นี้กำกับโดยทอม ฮูเปอร์ จาก The King’s Speech (2010) ซึ่งได้นักแสดงเก่งๆ มาร่วมงานด้วยมากมาย อาทิ ฮิวจ์ แจ็คแมน, รัสเซล โครว์, แอนน์ แฮททาเวย์, อะแมนดา ไซเฟร็ด และเอ็ดดี้ เรดเมย์น

สำหรับแอนน์ แฮททาเวย์ ดูเหมือนว่าเบื้องหลังการเตรียมตัวจะไม่ใช่เรื่องน่าพูดถึงสักเท่าไร น้ำหนักของเธอลดไปกว่า 25 ปอนด์ ซึ่งส่งผลต่อทั้งร่างกายและจิตใจ แต่สำหรับการตัดผม เธอไม่มีปัญหากับมันเลย คนที่ตัดผมและร่วมแสดงในฉากนี้เป็นช่างตัดผมจริงๆ โดยมีเวลาทั้งหมด 3 นาทีในการโกนผมของแอนน์ให้ได้มากที่สุด

เรื่องราวเกิดขึ้นในศตวรรษที่ 19 ชายที่ชื่อ ฌอง วัลฌอง เป็นนักโทษที่ถูกคุมขังนาน 20 ปี ด้วยข้อหาขโมยขนมปัง แต่หลังจาก 19 ปีของการอดทน เขาก็ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว แม้ผู้รักษากฎหมายอย่าง ฌาแวร์ จะไม่เชื่อว่าคนเลวสามารถกลับตัวกลับใจได้ก็ตาม เมื่อออกมา วัลฌองก็ใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก จนได้รับความช่วยเหลือจากบาทหลวงคนหนึ่ง เขาจึงกลับตัวกลับใจได้สำเร็จ

เวลาผ่านไปแปดปี วัลฌองกลายเป็นเจ้าคนนายคน และปล่อยให้อดีตถูกกลบฝังไว้ เขาไม่เคยบอกใครถึงฐานะที่แท้จริง โทษจากการหลบหนีทัณฑ์บน ส่วนทาง ฟองทีน หนึ่งในคนงานของเขาที่มีชีวิตอย่างยากลำบากอยู่แล้วก็ถูกไล่ออก เพราะเธอมีลูกสาวนอกสมรส ดังนั้นเพื่อที่จะหาเงินส่งไปให้ลูก ฟองทีนยอมขายทั้งผมและฟัน รวมถึงการเป็นโสเภณี แล้วเธอก็ตายจากโดยทิ้งโคเซตต์ ลูกสาวเพียงคนเดียวไว้กับวัลฌอง ในอีกเก้าปีถัดจากนั้น ทั้งคู่ไม่ได้มีชีวิตที่อิสระเท่าไรนัก เพราะโดนตามล่าจากฌาแวร์ และด้วยเหตุการณ์นำพาพวกเขาก็ไปเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์การปฏิวัติฝรั่งเศส… ชีวิตช่างเป็นการเดินทางที่ยาวนาน โดยที่เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร และชีวิตพวกเขาทั้งหมดจะลงเอยด้วยบทสรุปแบบไหน?

Olivia Cooke – Me And Earl And The Dying Girl (2015)

ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างมาจากนวนิยายในชื่อเดียวกัน ซึ่งได้รับการตีพิมพ์ในปี 2012 เนื้อหาเกี่ยวกับเด็กผู้ชายวัยรุ่นที่แม่บอกแกมบังคับให้ทำตัวเป็นเพื่อนที่ดีกับเด็กสาวที่ป่วยด้วยโรคลูคีเมีย ภาพยนตร์นี้เป็นผลงานการกำกับครั้งที่สองของอัลฟองโซ โกเมซ-เรยอน โดยที่ก่อนหน้านั้นเขาเคยเป็นผู้ช่วยส่วนตัวผู้กำกับชื่อดังหลายคน

หากใครเคยดูซีรีส์ Bates Motel อาจจะพอจดจำผมยาวสีน้ำตาลของโอลิเวีย คุก กันได้ แต่ในภาพยนตร์เรื่องนี้ เธอจะต้องรับบท ราเชล เด็กสาวที่กำลังต่อสู้กับมะเร็งเม็ดเลือดขาว และแน่นอนว่าผมของเธอจะต้องถูกตัด แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้ทำให้เธอดูสดใสน้อยลงเลย

เกร็ก เด็กหนุ่มอายุ 17 ปี ที่ใช้ชีวิตไปอย่างเรื่อยเปื่อย เป็นวัยรุ่นทั่วๆ ไป ไม่ได้โดดเด่น เข้ากับคนง่าย แต่มีเพื่อนที่คุยกันได้จริงๆ ก็คือเอิร์ล วัยรุ่นผิวสีที่ชอบดูหนัง แต่ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ไม่ได้ถูกแทนค่าด้วยคำว่า ‘เพื่อน’ อย่างแท้จริง เพราะเกร็กวางพวกเขาไว้ในฐานะเพื่อนร่วมงานเท่านั้น

กระทั่งอยู่ๆ แม่เกร็กมาขอให้เขาไปเยี่ยมราเชล เพื่อนนักเรียนและอดีตเพื่อนวัยเด็กที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว เกร็กเลยมีโอกาสแนะนำให้ราเชลได้รู้จักกับเอิร์ลด้วย การพบกันหนแรกๆ ของทั้งสามคนไม่ได้ราบรื่นเท่าไร มันเต็มไปด้วยความอึดอัดและลำบากใจ แต่เมื่อได้ทำความรู้จักกันมากขึ้น ได้แลกเปลี่ยนความคิด ความสัมพันธ์ก็ขยับดีขึ้นตาม ทั้งเกร็กและเอิร์ลให้คำมั่นว่าจะสร้างหนังให้เธอ เพื่อบอกเล่าทุกอย่าง มิตรภาพกำลังเติบโต เมล็ดพันธุ์แห่งรักกำลังงอกงาม และชีวิตต้องเดินหน้าต่อไป จงมีความสุขให้ได้มากที่สุดนะหัวใจ

Charlize Theron – Mad Max: Fury Road (2015)

Mad Max: Fury road ภาพยนตร์เดือดระอุผลงานการร่วมเขียนบทและกำกับโดย จอร์จ มิลเลอร์ ที่เคยพาภาพยนตร์ตระกูล Mad Max โด่งดังไปทั่วโลกตั้งแต่ครั้งอดีต ซึ่งภาคนี้ทิ้งห่างจากไตรภาคเดิมถึง 30 ปี แต่ก็ยังคงเล่าเรื่องของแม็กซ์ ร็อคคาเทนสกี้ เช่นเดิม

ภาพยนตร์เต็มไปด้วยนักแสดงชั้นนำมากหน้าหลายตา ตั้งแต่ ทอม ฮาร์ดี้, ชาร์ลิซ เธอรอน, ฮิวจ์ คีย์ส-เบิร์น, นิโคลัส เฮาลต์ และไหนจะสีสันของเรื่องอย่างแม่พันธุ์ชั้นดี 5 คน ที่มีดีกรีทั้งนักแสดงและนางแบบ

ชาร์ลิซ เธอรอน ยินดีมากสำหรับบทที่ได้รับ เธอคือคนที่ยืนยันว่าฟิวริโอซ่าไม่ควรจะมีผม และยินดีโกนผมเพื่อรับบท ดังนั้นการแสดงของชาร์ลิซในเรื่อง A Million Ways to Die in the West เธอจึงต้องสวมวิกในการถ่ายทำ

ท่ามกลางทะเลทรายอันร้อนแล้ง แม็กซ์ หนุ่มที่ใช้ชีวิตอย่างสันโดษยังคงถูกอดีตอันไม่น่าพิศมัยมาตามหลอกหลอน โลกที่เขามีชีวิตอยู่ในตอนนี้คือโลกที่เสื่อมสลาย บ้านเมืองไร้กฎหมาย แร้นแค้น ยากจะเอาชีวิตรอด แม็กซ์พยายามใช้ชีวิตต่อไปอย่างเดียวดาย แต่อยู่ๆ ก็ถูกกลุ่มวอร์บอยไล่ล่าและช่วงชิงทุกอย่าง แม็กซ์ถูกพาตัวกลับไปยังเมืองที่ถูกปกครองโดยอิมมอร์ตั้น โจ

ขณะที่แม็กซ์พยายามหนีจากการโดนสูบเลือดสูบเนื้อ เขาจับพลัดจับผลูไปเจอกับฟิวริโอซ่า หญิงสาวที่หักหลังอิมมอร์ตั้น โจ พร้อมกับพาสมบัติล้ำค่าออกมาด้วย เธอกำลังมุ่งหน้าไปยังบ้านเกิด ทางเดียวที่จะไปได้ก็คือการข้ามทะเลทรายและเขตแดนอันตรายทั้งหลาย ความหวังของฟิวริโอซ่านั้นอยู่ปลายทาง แต่ระหว่างทางนี้เธอต้องเจอทั้งศึกเล็กศึกใหญ่ ขบวนของอิมมอร์ตั้น โจ ตามล่ามาติดๆ เธอกับแม็กซ์จำต้องร่วมมือกัน หากว่ายังต้องการมีลมหายใจต่อไป จุดหมายนั้นจะเป็นดั่งหวังไหมไม่รู้ แต่อย่างน้อยมันก็ยังดีที่เรายังมีความหวัง

Millie Bobby Brown – Stranger Things (2016 – present)

Stranger things ซีรีส์ไซไฟ-ทริลเลอร์ ผลงานของพี่น้องดัฟเฟอร์ ที่โดดเด่นด้วยสไตล์ย้อนยุค 80 และหยิบเอาวัฒนธรรมป๊อปในช่วงนั้นมาใส่ไว้ในทุกรายละเอียด มีกลิ่นอายแบบภาพยนตร์ของสตีเฟน สปิลเบิร์ก หนังสือของสตีเฟน คิง การ์ตูน วิดีโอเกม โทนภาพ เพลงประกอบ และงานกราฟิก

เมื่อออกกาศซีรีส์ก็ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้แก๊งเด็กๆ ทั้งห้าในซีซั่นแรกกลายเป็นที่รักของใครต่อใคร โดยเฉพาะมิลลี่ บ็อบบี้ บราวน์ สาวน้อยลึกลับของเรา ผู้กำกับกล่าวชื่นชมเธอเอาไว้ว่า มิลลี่เป็นนักแสดงที่มีพรสวรรค์ และสามารถปรับการแสดงให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้เป็นอย่างดี

หลังออดิชั่นรอบแรก สิ่งที่ตามมาของมิลลี่คือการอัดเทปบทสนทนาสไกป์กับสองผู้กำกับ และการคัดเลือกอีกรอบที่ลอสแองเจลิส เมื่อรู้ว่าต้องโกนผมออก เธอโอเคมากกว่าแม่ของเธอด้วยซ้ำ ปฏิกิริยาของแม่คือ “โปรดอย่าทำมันเลย” แต่สำหรับเธอและพ่อคือ “แม่ สิ่งนั้นมันโอเค! และนั่นก็เป็นหัวของบิลลี่” ตอนกำลังตัดผมมิลลี่มีแอบคิดว่าฉันทำอะไรลงไปอยู่เหมือนกัน แต่พวกเขาบอกเธอว่าให้นึกถึง ชาร์ลิซ เธอรอน ใน Mad Max เข้าไว้

ในเมืองอันเงียบสงบอย่างฮอว์คินส์ รัฐอินเดียน่า ช่วงต้นศตวรรษ 1980 นั้น ไม่มีใครรู้ว่าอันตรายกำลังคืบคลานเข้ามา ซึ่งจริงๆ แล้วมันอาจอยู่ตรงนั้นมาตลอด เพียงแต่ไม่ถูกเปิดเผย ห้องปฏิบัติการแห่งชาติของเมืองมีการทำวิจัยวิทยาศาสตร์บางอย่าง มันเกี่ยวข้องทั้งกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ การทดลองมนุษย์ และมิติอัพไซด์ดาวน์ 

ในซีซั่นแรกนี้ เหตุการณ์อันน่าหวาดหวั่นเริ่มขึ้นในเดือน พฤศจิกายน 1983 เมื่อวิลล์ถูกลักพาตัวไปอย่างลึกลับ หลายคนเชื่อว่าเขาน่าจะตายไปแล้ว แต่ไม่ใช่กับแม่และพี่ชายของเขา ทั้งสองจึงพยายามตามตัววิลล์กลับมาด้วยเบาะแสต่างๆ ที่อาจดูไม่สมเหตุสมผลในสายตาคนอื่น ขณะเดียวกัน กลุ่มเพื่อนวิลล์ที่เหลืออยู่ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ แต่ก่อนจะไปตามหาวิลล์ พวกเขาดันพบกับเด็กหญิงคนหนึ่งที่หนีออกมาจากห้องแล็บ และพิเศษตรงที่เธอมีพลังลึกลับ พวกเขาเรียกเธอว่าอิเลเว่น ตอนนี้ทั้งเมืองเกิดความวุ่นวายเต็มไปหมด ไหนจะเรื่องวิลล์ ไหนจะเรื่องอิเลเว่น และเด็กในเมืองยังคงหายตัวไปเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าทั้งหมดนี้จะยากเกินรับมือไปหรือเปล่า แต่ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ต้องพยายามหยุดมันให้ได้!

Tags: