แม้ว่าอัตราการว่างงานของไทยจะยังต่ำสุดในภูมิภาคอาเซียน แต่ก็ต้องยอมรับว่าภาพรวมของสถานการณ์นั้นยังอยู่ในภาวะที่ไม่สู้ดีนัก และบริษัทจัดหางานคาดการณ์ว่าปีนี้จะมีคนว่างงานเพิ่มขึ้น 1.1-1.2% หรือคิดเป็น 4.5 แสนคน สาเหตุหลักๆ ก็มาจากทั้งเศรษฐกิจโลก ความผันผวนของค่าเงิน รวมถึงการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลด้วย
แต่ในความวิกฤตก็อาจจะยังมีข้อดีอยู่บ้าง สำหรับสายงานบางกลุ่มก็เป็นที่ต้องการมากขึ้น หรือธุรกิจบางประเภทก็ต้องการแรงงานที่มากกว่าเดิม ดังนั้น หากใครกำลังมองหาช่องทางการเพิ่มทักษะให้ตัวเอง ศึกษาการตลาดสักนิดก็จะดี สำรวจว่าตอนนี้มีทักษะหรือแรงงานด้านไหนกำลังเป็นที่ต้องการ เราจะได้สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับตัวเอง เข้าถึงงานได้มากขึ้น และเนื่องในวันที่ 1 พฤษภาคมนี้ ตรงกับวันแรงงาน ก็ขอให้ได้พักผ่อนกันอย่างเต็มที่กับช่วงเวลาของวันหยุด แต่ถ้าจะหยิบภาพยนตร์สักเรื่องมาดู ก็ขอให้เลือกมาจากลิสต์นี้เถิด
The Wolf of Wall Street (2013)
อาชีพ โบรกเกอร์
The Wolf of Wall Street ภาพยนตร์ชีวประวัติตลกร้ายที่ดัน ลีโอนาโด ดิคาปริโอ ให้เข้าชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายอีกครั้ง แต่ก็พลาดท่าไปจนเขาได้รับรางวัลในอีกสองปีถัดมา รวมถึงเป็นการแจ้งเกิดนักแสดงสาวมาร์โก ร็อบบี ด้วย เธอเป็นที่จดจำมากขึ้นหลังจากผ่านการแสดงบทเล็กๆ มาก่อนหน้านี้
ผลงานเรื่องนี้กำกับโดยมาร์ติน สกอร์เซซี ผู้กำกับที่ฝากผลงานจารึกไว้มากมาย ตั้งแต่ Mean Streets (1973), Taxi Driver (1976) และ Goodfellas (1990) พื้นฐานของภาพยนตร์นั้นมาจากหนังสืออัตชีวประวัติของจอร์แดน เบลฟอร์ท แต่บทพูดส่วนใหญ่ในภาพยนตร์เป็นบทที่คิดขึ้นมาสดๆ รวมถึงฉากที่มาร์ก (แสดงโดย แมทธิว แม็คคอนาเฮย์) ฮัมเพลงประกอบกับการทุบอก ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่แมทธิวทำก่อนการแสดง เพื่อให้ตนผ่อนคลายมากขึ้น
จอร์แดน เบลฟอร์ท ชายผู้มีวาทศิลป์เป็นเลิศ มีพรสวรรค์ในการโน้มน้าวจิตใจคน และสามารถดึงผู้คนทั้งหลายมาทำการซื้อขายกับเขาได้ จอร์แดนมีหัวการขายมาตั้งแต่เด็ก เขารู้จักความต้องการซื้อและความต้องการขายเป็นอย่างดี จนเมื่อโตขึ้นเขาก็มีบริษัทเป็นของตัวเอง แต่มันดันคงอยู่ได้ไม่นาน จนต่อมาเขาก็ได้รู้จักกับอาชีพนายหน้าค้าหุ้น
ความจริงจอร์แดนไม่ได้มีโปรไฟล์ทางการศึกษาตรงตามต้องการของบริษัทนายหน้าค้าหลักทรัพย์เท่าไร แต่ทักษะที่เขามีนั้นเพียงพอจะทำให้หลายคนสนใจเขาได้สบายๆ ในที่สุดเขาก็ได้ทำงานกับ L.F. Rothschild แต่โชคไม่เข้าข้างเขาเท่าไร บริษัทล้มละลายหลังจากนั้นราวครึ่งปี จอร์แดนอาจมีเขวไปบ้าง ซึ่งมันไม่นานนัก เมื่อตั้งตัวได้เขาก็มุ่งหน้าหางานต่อไป แล้วเขาก็ไปปักหลักลงที่บริษัทหลักทรัพย์ในต่างจังหวัด ที่นี่เองที่ทำรายได้เป็นกอบเป็นกำให้เขา และทำให้ชีวิตของจอร์แดนเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
สีสันของ The Wolf of Wall Street นั้นประกอบไปด้วยทุกอย่างรวมกัน ทั้งนักแสดง ฝีไม้ลายมือของแต่ละคน ความแสบสันต์ของบท ความฉลาดของผู้กำกับ มันสามารถเข้าถึงคนดูได้อย่างไม่ยากเย็น กลับสนุกสุดเหวี่ยงด้วยซ้ำไป
Wood Job! (2014)
อาชีพ คนตัดไม้
บางทีเราอาจเคยสงสัยเลยว่าในเมื่อเราตัดไม้มาสร้างนั่นสร้างนี่กันอยู่เสมอ แล้วในภายภาคหน้าเราจะยังมีต้นไม้ให้นำมาใช้งานกันอยู่หรือไม่ จริงอยู่ที่บางคนก็มีอาชีพปลูกต้นไม้ขาย แต่ต้นไม้ไม่ได้ปลูกแล้วสูงใหญ่ได้ภายในปีเดียว ดังนั้น พวกเขามีวิธีการจัดการกันอย่างไร?
Wood Job เป็นภาพยนตร์ญี่ปุ่นที่ดัดแปลงมาจากนวนิยายเรื่อง Kamusari naa naa Nichijō ของชิวอน มิอุระ นำแสดงโดยโชตะ โซเมะทานิ นักแสดงหนุ่มมาแรงที่คว้ามาแล้วหลายบทบาท ควงคู่มากับมาซามิ นางาซาวะ สาวหน้าหวานที่หลายคนจำได้จากบทน้องสาวซึ่งหลงรักกับพี่ชาย จากเรื่อง Nada Sōsō (2006) ทั้งคู่จะพาเราเข้าป่าไปสำรวจชีวิต อาชีพ และประเพณีท้องถิ่น ในหุบเขาอันห่างไกลที่รายล้อมไปด้วยธรรมชาติ
ยูกิ ฮิราโนะ เด็กหนุ่มผู้ผิดหวังจากการสอบเข้ามหาวิทยาลัย และยังไม่รู้จะเอาอย่างไรกับชีวิต จู่ๆ เขาก็ไปสะดุดตาเข้ากับใบปลิวเชิญชวนให้ไปเข้าค่ายเรียนรู้วิถีชีวิตในการเป็นคนดูแลป่า เขาตัดสินใจไปที่นั่นในทันทีเพราะภาพหญิงสาวหน้ามนในใบปลิว ยูกิเก็บเสื้อผ้านั่งรถไฟไปยังจุดหมาย เพื่อพบว่าสิ่งที่คิดกับสิ่งที่เป็นนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ที่นี่เขาต้องพบกับงานหนักที่ตัวเองไม่ถนัดเลย ตั้งแต่การผูกเชือกปีนต้นไม้ การตัดต้นไม้ และการปลูกต้นไม้
ยูกิเกือบจะถอดใจกับงานหนักตรงหน้า มิหนำซ้ำยังไม่เจอหญิงสาวที่ตนหมายปองอีกต่างหาก แต่เมื่อเวลาผ่านไป เขาก็เปิดใจและทำสิ่งต่างๆ ด้วยหัวใจมากขึ้น เขาตื่นตาไปกับตลาดประมูลไม้ ตื่นเต้นไปกับวิวสวยๆ บนยอดไม้ และภูมิใจกับสิ่งที่ได้ทำ การจะล้มไม้สักต้นนั้น ไม่ใช่แค่มีเลื่อยก็สามารถทำได้ แต่เราต้องให้เกียรติและเคารพต้นไม้ด้วย เพราะต้นไม้ให้ชีวิตกับพวกเรา
นอกจากได้รู้ขั้นตอนและการจัดการกับต้นไม้ในเชิงเศรษฐกิจแล้ว เรายังจะได้เห็นวิถีชีวิต ความเชื่อ และประเพณีของคนในพื้นที่ด้วย มันเป็นการอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืนระหว่างชุมชนกับป่า ธรรมชาติไม่ใช่สิ่งที่ใครคนใดคนหนึ่งต้องดูแล แต่คือพวกเราทุกคน
Kabukicho Love Hotel (2014)
อาชีพ พนักงานโรงแรมเลิฟโฮเทล
อีกหนึ่งภาพยนตร์ญี่ปุ่นที่นำแสดงโดยโชตะ โซเมะทานิ โดยในเรื่องนี้ประกบคู่กับมาเอดะ อัตสึโกะ หรืออัตจัง อดีตสมาชิกวง AKB48 ซึ่งเคยได้รับเลือกตั้งเป็นอันดับ 1 ในปี 2009 และ 2011 ตลอดระยะเวลาในวงการบันเทิง อัตจังมีผลงานการแสดงออกมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2007 ปัจจุบันเธอแต่งงานและมีลูกชายแล้วหนึ่งคน
ภาพยนตร์เล่าเรื่องโดยมีโรงแรมม่านรูดเป็นจุดศูนย์กลาง โดยมีตัวเอกอย่างโทรุทำงานอยู่ที่นี่ เดิมทีโทรุเคยทำงานในโรงแรมห้าดาว แต่ก็ต้องตกงานเพราะเหตุผลบางอย่าง โทรุไม่ได้บอกความจริงกับที่บ้านเกี่ยวกับหน้าที่การงาน หรือแม้แต่ซายะ แฟนของตนก็ตาม โทรุจึงกลายมาเป็นผู้จัดการโรงแรมม่านรูดย่านชินจูกุอย่างช่วยไม่ได้ เขาต้องดูแลทุกอย่างตั้งแต่การจัดหาห้อง ทำความสะอาด ตรวจตราความเรียบร้อย และดูแลความต้องการของลูกค้า
เรื่องราวทั้งหมดวนเวียนอยู่กับคู่รัก 5 คู่ พวกเขาเชื่อมต่อและเกี่ยวโยงกันโดยสถานที่แห่งนี้ ประกอบไปด้วย 1) แขกประจำของโรงแรม เธอเป็นสาวเกาหลีที่ประกอบอาชีพขายบริการ ซึ่งเธอก็ไม่ได้บอกเรื่องนี้กับชายตัวเองที่คบด้วย 2) หญิงมีอายุ พนักงานทำความสะอาดที่อาศัยอยู่กับชู้รัก 3) ชายหนุ่มหน้าตาดี ผู้ประกอบอาชีพหลอกสาวๆ ไปถ่ายเอวี 4) สาวพนักงานออฟฟิศที่เล่นชู้กับสามีชาวบ้าน และ 5) คู่ของโทรุ ผู้จัดการโรงแรมม่านรูดที่พบแฟนตัวเองกับชายอื่นที่นี่
พวกเขาทุกคนล้วนมีจุดอับโชคในชีวิต มีปมในใจที่รอวันคลาย และมีความใฝ่ฝันที่รอให้เป็นดั่งหวัง แต่ในตอนนี้โชคไม่ดีดันตกอยู่ในมือของพวกเขา เราได้แต่หวังว่ามันจะหล่นจากมือเขาไปเร็วๆ แล้วโชคดีจะเข้ามาแทนที่ อาจไม่ตลอดไป แต่โชคร้ายก็ไม่ควรอยู่เนิ่นนาน
เมื่อเห็นชื่อเรื่อง เราอาจคิดว่าเนื้อหามันดำเนินไปด้วยเซ็กส์ แต่เปล่าเลย เซ็กส์เป็นแค่องค์ประกอบที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไรไปมากกว่าเป็นปฏิสัมพันธ์กันทางร่างกายและจิตใจ บางคนใช้มันเพื่อความรัก บางคนใช้มันเพื่อเงิน บางคนใช้มันเพื่อผลประโยชน์ แต่ภายในโรงแรมม่านรูดนั้นก็ยังมีอีกหลายอย่างที่มากไปกว่าเซ็กส์ และภาพยนตร์ก็เล่ามันออกมาอย่างเรียบง่าย ตรงประเด็น และอาจทำให้ภาพลักษณ์ของมันเปลี่ยนไปจากสิ่งที่เราเคยรู้สึก
Nightcrawler (2014)
อาชีพ ช่างภาพอาชญากรรม
Nightcrawler ภาพยนตร์ระทึกขวัญเสียดสีวงการสื่อ เขียนบทและกำกับโดยแดน กิลรอย ที่ได้ดารานำเป็นนักแสดงเจ้าบทบาทอย่างเจค จิลเลนฮาน ซึ่งในภาพยนตร์เรื่องนี้เจคลดน้ำหนักตัวเองลงไปถึง 20 ปอนด์ เพื่อให้บุคลิกเข้ากับตัวละครมากที่สุด
ไอเดียในการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ของแดน กิลรอย มาจากตอนที่เขาได้อ่านหนังสือโฟโต้บุ๊ค Naked City ของ Weegee ช่างภาพข่าวอาชญากรรมแห่งมหานครนิวยอร์ก แดนใช้เวลาอยู่หลายปีในการเขียนพล็อตและสร้างตัวละครออกมา เขาพยายามสร้างตัวละครให้มีความเป็นฮีโร่อยู่บ้างในทีแรก แต่แล้วเขาก็จินตนาการถึงแอนตี้ฮีโร่เข้ามาแทนที่ จนกลายมาเป็นหลุยส์ บลูม
หลุยส์ บลูม หรือ ลู ชายหนุ่มที่ไม่มีงานทำเป็นหลักแหล่ง อาศัยหาเงินจากการขโมยของไปเรื่อยๆ เพื่อประทังชีวิต แต่อยู่มาวันหนึ่งเขาก็ไปพบกับอุบัติเหตุโดยบังเอิญ ขณะที่ความช่วยเหลือยังมาไม่ถึง กลับมีคนแปลกหน้ามาเก็บภาพเหตุการณ์นั้นแทน พวกนั้นคือเหยี่ยวข่าวที่คอยถ่ายภาพส่งไปให้กับทางสำนักข่าวนั่นเอง ลูจึงมองว่านี่เป็นช่องทางในการสร้างรายได้ของตน
การทำงานของลูส่วนใหญ่จะอยู่ในเวลากลางคืน เขาจะคอยดักฟังคลื่นวิทยุตำรวจ แล้วรีบไปยังจุดต่างๆ ที่มีเหตุร้ายเกิดขึ้น หากถึงก่อนก็เท่ากับว่าได้เปรียบ และหากภาพที่ได้มีความรุนแรงมากเท่าไร ผลตอบแทนก็ยิ่งดีตามไปด้วย ภาพพวกนี้จะถูกรับซื้อโดยสื่อ และเมื่อนำไปออกอากาศเรตติ้งของช่องก็จะพุ่งขึ้น ซึ่งนั่นคือสิ่งที่พวกเขาต้องการ
บทภาพยนตร์นั้นจงใจเสียดสีวงการสื่ออย่างโจ่งแจ้ง การไร้ซึ่งจรรยาบรรณและความรับผิดชอบ ห่วงแต่การแข่งขันของตน เรตติ้งที่ได้ และการสร้างผลงาน จนบางทีก็บิดเบือนความจริง สร้างสถานการณ์ที่ก่อให้เกิดความรุนแรงยิ่งขึ้น และไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อส่วนรวมหรือสังคม แต่ที่น่าเศร้าไปกว่านั้นก็คือ สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นยังเป็นที่พอใจของคนกลุ่มหนึ่ง แล้วพวกเขาก็เผยแพร่มันต่ออย่างไม่ตระหนักถึงสิ่งใด
BlacKkKlansman (2018)
อาชีพ ตำรวจนอกเครื่องแบบ
ภาพยนตร์ตลกร้ายจากผู้กำกับสไปค์ ลี ซึ่งคว้ามาทั้งรางวัลกรังปรีซ์จากเทศกาลหนังเมืองคานส์ และรางวัลออสการ์ สาขาบทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม โดยเรื่องราวอ้างอิงมาจากหนังสือของรอน สตอลเวิร์ธ เจ้าหน้าที่ตำรวจผิวสีที่แทรกซึมเข้าไปในขบวนการคูคลักซ์แคลน หรือ KKK กลุ่มที่สนับสนุนความคิดชาตินิยมคนผิวขาวอย่างสุดโต่ง
ภาพยนตร์แสดงนำโดยนักแสดงมากฝีมือที่เราคุ้นหน้าเป็นอย่างดี อาทิ อดัม ไดรเวอร์, จอห์น เดวิด วอชิงตัน ลูกชายเดนเซล วอชิงตัน, ลอว์รา แฮร์เรียร์ นางแบบและนักแสดงจาก Spider-Man: Homecoming และโทเฟอร์ เกรซ จาก Spider-Man 3
เหตุการณ์เกิดขึ้นในช่วงยุค 70s รอน สตอลล์เวิร์ธ เป็นตำรวจผิวสีคนแรกที่เข้ามาประจำสถานีโคโลราโด สปริงฟิลด์ ตามนโยบายเปิดกว้างในเรื่องการรับคนผิวสีเข้าทำงานของทางการ แต่เส้นทางนั้นไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะความคิดคนบางกลุ่มก็ยังไม่แปรเปลี่ยนไป พวกเขาเหล่านั้นยังมีอคติและการไม่ยอมรับที่แสดงออกอย่างเปิดเผย รอนเสนอตัวเข้าทำงานภาคปฏิบัติ เนื่องจากไม่อยากจมจ่อมอยู่กับงานเอกสาร เขาจึงได้จับคู่ทำงานกับฟลิป ซิมเมอร์แมน เจ้าหน้าที่ชาวยิวที่ต้องปกปิดรากเหง้าของตัวเอง
ภารกิจของพวกเขาเริ่มจากการไปสังเกตการณ์การชุมนุมของนักศึกษาผิวดำที่อาจปลุกระดมบางอย่าง จากนั้นรอนก็พบกับโฆษณาในหน้าหนังสือพิมพ์ ซึ่งชวนผู้คนมาสมัครเป็นสมาชิกของคูคลักซ์แคลนประจำท้องถิ่น เขาจึงตัดสินใจสมัครสมาชิกเพื่อสืบว่าขบวนการนี้ทำอะไรบ้าง และเป็นภัยร้ายหรือเปล่า ฟลิปเองก็มีส่วนช่วยในการเป็นตัวตายตัวแทนเพื่อแทรกซึมเข้าไป ร่วมถึงการพบปะกับผู้คนที่อยากกำจัดคนผิวสีและยิวให้หมดๆ ไป
ความจริงกับภาพยนตร์มีจุดที่แตกต่างกันอยู่บ้าง เช่น ในชีวิตจริงรอนไม่ได้โทรไปสมัครขบวนการ แต่ส่งจดหมายไป จนพวกเขาติดต่อกลับมา, เดวิด ดุค หัวหน้าขบวนการไม่ทราบว่ารอนเป็นชายผิวสี จนกระทั่งปี 2006 และมีสมาชิกของขบวนการสามคนเสียชีวิตภายในภาพยนตร์ แต่จริงๆ แล้วไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นในวันนั้น
สาระสำคัญของมันก็เป็นสิ่งที่เราเห็นชัดกันอยู่แล้วในเรื่องของการเหยียดเชื้อชาติและสีผิว แต่สิ่งหนึ่งที่ BlacKkKlansman แสดงให้เราเห็นคือ พลังของความเกลียดชังอันมหาศาล ที่สามารถสร้างขึ้นในใจและหยั่งรากลงไปได้ ทั้งยังสามารถทำลายอีกฝ่ายได้อย่างน่าหวาดหวั่น