ทุกครั้งที่ได้เห็นภาพของแอล แฟนนิง ใบหน้าของเธอจะประดับด้วยรอยยิ้มเสมอ เปี่ยมด้วยความจริงใจ และมากเสน่ห์จนไม่ว่าใครก็ต้องตกหลุมรัก เธอโลดแล่นเข้าสู่วงการตั้งแต่ยังเด็ก ฉายทั้งฝีมือ ความน่ารัก พัฒนาการ รวมถึงความเป็นตัวของตัวเอง แอลเคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่าการเริ่มต้นเส้นทางของเธอในฮอลลีวูดเกิดจากจิตวิญญาณของการผจญภัย มันเป็นเกมที่สนุกสนาน แต่ก็ไม่ได้หมายความถึงตลอดไป ดาโกต้าเอ่ยกับเธอว่ามันเหมือนกับเรายังอยู่ในทริปที่เดินทางไปลอสแอนเจลิส และอีกไม่ช้า วันหนึ่งพวกเราทุกคนจะกลับไปที่จอร์เจีย! แต่เมื่อดูจากความเป็นจริงในตอนนี้แล้ว พวกเธอคงไม่ได้กลับไปยังบ้านเก่าก่อนในเร็ววันนี้แน่ เพราะอนาคตของทั้งแอลและพี่สาวยังคงทอดยาวไปไกล
แอลเริ่มต้นแสดงภาพยนตร์ครั้งแรกใน I Am Sam (2001) ด้วยอายุสิบแปดเดือน และมีผลงานต่อเนื่องเรื่อยมา ขณะอายุ 22 ปีนี้ เธอผ่านการแสดงมาแล้วรวมกว่า 50 เรื่อง ทั้งหนังสั้น หนังยาว และซีรีส์ น้อยคนนักที่อยู่วงการบันเทิงมาอย่างยาวนานแล้วจะไม่มีเรื่องเสียๆ หายๆ เลย แต่แอลเป็นหนึ่งในจำพวกนั้น ไม่ว่าไปทางไหนผู้คนก็พร้อมจะรักเธอ และเธอก็พร้อมจะมอบความรักให้กับทุกคนด้วย! มารักเธอให้มากขึ้นอีกไปกับลิสต์ภาพยนตร์ทั้งห้านี้
3 Generations (2015)
รับบท เรย์
เดินทีภาพยนตร์เรื่องนี้มีชื่อว่า Three Generations แต่ต่อมาถูกกำหนดไว้ว่าจะปล่อยในชื่อ About Ray ซึ่งเป็นตัวละครหลักของเรื่องราว จนท้ายที่สุดชื่ออย่างเป็นทางการก็คือ 3 Generations ตั้งแต่มีการประกาศว่าแกบี เดลลาล จะสร้างภาพยนตร์เกี่ยวกับทรานเจอเดอร์ หลายเสียงก็เริ่มตื่นเต้นว่าใครที่จะได้รับบทบาทนำ แล้วเมื่อชื่อแอล แฟนนิง ก็ดูเหมือนว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่เห็นด้วย แต่ถึงอย่างนั้น แกบีก็ยืนยันในการเลือกเธอ โดยกล่าวว่า “แอลเป็นนักแสดงที่น่าทึ่ง และอย่างที่คุณเห็นได้จากการแสดง ฉันไม่พบหรือรู้จักนักแสดงคนไหนที่จะเล่นบทนี้อย่างที่แอลทำได้”
ก่อนหน้านี้เราอาจคุ้นเคยกับแอลในบทบาทเจ้าหญิงหรือลูกสาวที่น่ารัก แต่พอมาในเรื่องนี้ เราจะได้เห็นแอลในลุคที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อเธอต้องรับบท ราโมนา หรือ เรย์ เด็กสาวที่ต้องการจะเปลี่ยนแปลงตัวเองจากก้นบึ้งของหัวใจ ราโมนา เติบโตมาในบ้านที่แวดล้อมไปด้วยผู้หญิง ไม่ว่าจะเป็นแม็กกี้ ผู้เป็นแม่ และดอลลี่ คุณยายที่มีคนรักเป็นผู้หญิง
ราโมนา รับรู้ได้ว่าเธอมีจิตใจเป็นผู้ชาย เธอจึงพยายามอย่างหนักที่จะเป็นเรย์ และแสดงออกอย่างมุ่งมั่น แต่ปัญหาก็คือด้วยความที่เรย์อายุเพียง 16 ปี การจะเข้ารับการรักษาและแปลงเพศได้นั้นต้องได้รับการเซ็นยินยอมจากผู้ปกครองเสียก่อน จากจุดนี้เองที่ทำให้หลายคนต้องคิดหนัก ไม่ว่าจะเป็นแม็กกี้ แม่ที่คอยสนันสนุนลูกมาตลอด แต่ก็กลัวว่าจะเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดหรือเปล่า เธอจะรู้ได้อย่างไรว่าลูกจะมีความสุขจริงไหมกับสิ่งที่จะเดินหน้าต่อไป หรือดอลลี่ที่ก็ปรับความรู้สึกไม่ได้ทั้งหมด หากอยู่ๆ หลานสาวจะกลายเป็นหลานชาย
แก่นของเรื่องจึงไม่ได้โฟกัสไปที่พัฒนาการของเรย์เพียงคนเดียว แต่ยังถ่ายน้ำหนักไปยังความสัมพันธ์ของครอบครัวด้วย ความเข้าอกเข้าใจ การให้การยอมรับ ความอบอุ่น หรือแม้แต่ความเจ็บปวด หากจะสรุปสั้นๆ สักหนึ่งประโยค เราคงอยากจะบอกว่าจงเชื่อมั่นในหัวใจตัวเอง แล้ววันหนึ่งคนอื่นจะมองเห็นหัวใจเรา
The Beguiled (2017)
รับบท อลิเซีย
The Beguiled ผลงานการเขียนบทและกำกับโดยโซเฟีย คอปโปลาที่ส่งให้เธอได้รางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ปี 2017 ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 50 ปีที่ผู้หญิงได้รับรางวัล และเป็นครั้งที่สองเท่านั้นจากจำนวนทั้งหมด
แม้ภาพยนตร์เรื่องนี้จะมีพื้นฐานมาจากนวนิยายในชื่อเดียวกัน ซึ่งเป็นเรื่องในยุคสงครามกลางเมือง แต่ก็มีบางส่วนที่โซเฟียดัดแปลงและตัดออก เช่น ไม่มีการพูดถึงตัวละครที่เป็นทาสเลย โซเฟียจึงต้องออกมาอธิบายเพิ่มเติมว่าเหตุผลมาจากอะไร
ส่วนแอล แฟนนิง เธอกระตือรืนร้นมากสำหรับการแสดงเรื่องนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะได้ร่วมงานกับนิโคล คิดแมน ซึ่งถือเป็นไอดอลในการทำงานของเธอ และ Moulin Rouge! ยังเป็นภาพยนตร์สุดโปรดตลอดกาลของเธอด้วย
ในปี 1864 บ้านเมืองในอเมริกายังอยู่ในช่วงของสงครามกลางเมืองระหว่างฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้ แต่ในพื้นที่ที่ห่างไกลก็ยังพอมีความสงบหลบซ่อนตัวอยู่บ้าง ดังเช่นที่โรงเรียนประจำหญิงล้วน ตอนนี้ภายในโรงเรียนเหลือเพียงคนไม่กี่คน ได้แก่ มาร์ธา ผู้ดูแลใหญ่สุด, เอ็ดวีน่า ครูผู้ช่วย และนักเรียนหญิงอีก 5 คน ซึ่งคนที่โตสุดคืออลิเซีย
พวกเธอใช้ชีวิตโดยมีแต่กันและกัน จนกลุ่มเด็กสาวช่วยชีวิตทหารคนหนึ่งไว้ เขาเป็นทหารฝ่ายศัตรูนามสิบโทแม็คเบิร์นนีย์ การพาเขากลับมารักษาตัวภายในบ้านพักดูจะส่งแรงสั่นสะเทือนบางอย่างให้ภายในบ้านและภายในใจของพวกเธอแปรปรวนไป ชายหนุ่มที่ตกอยู่ท่ามกลางหญิงสาวกำลังทำให้ศัตรูตื่นขึ้น ซึ่งไม่ใช่ใครอื่นไกล แต่เป็นความอิจฉาริษยา การชิงดีชิงเด่น และไฟปรารถนาที่ลุกโชนจนยากจะหาอะไรมาดับลง แต่เมื่อเขาเป็นคนนำมาซึ่งปัญหา มันอาจไม่ยากนักถ้าหากพวกเธอคิดจะตัดปัญหาให้พ้นไป หรือคุณว่าไม่จริง?
Teen Spirit (2018)
รับบท ไวโอเล็ต
นี่คือการกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกของแม็กซ์ มิงเกลลา ที่ผันตัวมาสู่การทำงานเบื้องหลัง ซึ่งก่อนหน้านี้เขาก็เคยได้มีประสบการณ์โปรดิวเซอร์และเขียนบทมาบ้าง แต่ผลงานที่ผ่านมาส่วนใหญ่จะเน้นไปทางการแสดงเสียมากกว่า
ใน Teen Spirit เราจะได้เห็นแอลในมาดนักร้อง ซึ่งการร้องเพลงเป็นสิ่งหนึ่งที่เธอใฝ่ฝันมาตลอดเช่นกัน ตอนเด็กๆ เธออยากจะเป็นนักแสดงหรือนักร้องป๊อปสตาร์ แล้วมีโอกาสได้แสดงบนเวทีที่เต็มไปด้วยผู้ชม และที่น่าตื่นเต้นก็คือในเรื่องนี้แอลได้ทำงานร่วมกับมาริอุส เดอ วรีส์ ด้วย เขาคือหนึ่งในผู้อยู่เบื้องหลังดนตรีประกอบภาพยนตร์หลายๆ เรื่อง อาทิ Romeo + Juliet (1998), La La Land (2017) และ Moulin Rouge! (2001) หนังเรื่องโปรดของเธอนั่นเอง!
ไวโอเล็ต เด็กสาววัยรุ่นชาวโปแลนด์ที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กของเกาะไอล์ออฟไวต์ เธอเติบโตมาในครอบครัวที่มีรอยร้าว ใช้ชีวิตอยู่กับแม่แค่สองคน และช่วยกันหาเช้ากินค่ำไปวันๆ ไวโอเล็ตเบื่อหน่ายการไปโรงเรียน และลึกๆ แล้วดูเหมือนเธอจะเบื่อหน่ายสิ่งที่เป็นอยู่ทั้งหมดด้วย แต่เธอรักการร้องเพลง มันจึงไม่น่าแปลกใจที่เธอจะมีความใฝ่ฝันสูงสุดคือการเป็นนักร้อง ไวโอเล็ตแอบไปร้องเพลงโดยไม่ให้แม่รู้ ไม่ว่าจะเป็นตามร้านอาหารหรือการสมัครเข้าประกวด
ใช่ว่าแม่จะไม่รู้ว่าไวโอเล็ตนั้นมีพรสวรรค์ แต่เธอเกรงว่าลูกจะผิดหวังมากกว่า เมื่อเห็นไวโอเล็ตมุ่งมั่นขนาดนั้น ไปได้ไกลขนาดนั้น ที่สุดแล้วคนเป็นแม่ก็ยอมให้ลูกได้เดินตามเส้นทางที่ตัวเองเลือกเสมอ แต่มันก็ยังมีปัญหาอื่นๆ ตามมาอีก เพราะการจะขึ้นไปอยู่จุดสูงสุดได้ เธอต้องเลือกและตัดอะไรหลายๆ อย่าง โดยทั่วไปนี่จึงไม่ต่างจากหนังสูตรสำเร็จเท่าไร เรามองเห็นปลายทางตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่ม แต่แม็กซ์ก็รู้ว่าเขาควรเติมอะไรตรงไหน เพื่อไม่ให้ราบเรียบจนเกินไป รวมถึงเสียงร้องของแอลที่แม้จะไม่ได้ทรงพลังมาก แต่ก็มีเสน่ห์ในแบบของตัวเอง สาวกน้องจะต้องละลายแน่นอน
Galveston (2018)
รับบท ร็อกกี้
ผลงานการกำกับภาพยนตร์จากเมลานี โลรองต์ นักแสดงสาวชาวฝรั่งเศสที่ฝากผลงานไว้ให้จดจำมากมาย อาทิ Inglourious Basterds (2009), Enemy (2013) และ Now You See Me (2013) นี่ไม่ใช่ผลงานชิ้นแรกๆ จากเธอ เพราะเมลานีเคยผ่านงานเบื้องหลังมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสารคดี ซีรีส์ หนังสั้น และหนังยาว
เนื้อหาดัดแปลงมาจากนวนิยายของนิค พิซโซลัตโต นักเขียนบทมือฉมังจากซีรีส์ True Detective ซึ่งในภายหลังเขาตัดสินใจใช้นามแฝงสำหรับการมีส่วนร่วมในภาพยนตร์เรื่องนี้ เพราะหลังจากชมภาพยนตร์ เขารู้สึกว่าผู้กำกับเปลี่ยนแปลงบางอย่าง และไม่เห็นว่าผลลัพธ์สุดท้ายคือสิ่งที่เขาอยากจะสะท้อนออกมา
ภาพยนตร์เรื่องนี้เล่าผ่าน รอย นักฆ่าที่โดนนายจ้างหักหลัง เขาถูกจัดฉากให้ไปทำงานโดยมีการกำชับว่าไม่ต้องพกอาวุธไป เพราะแค่อยากจะตักเตือนเท่านั้น ไม่ต้องถึงขั้นลงไม้ลงมืออะไร แต่เมื่อไปถึงเขากลับถูกโจมตีจนเกือบเอาตัวไม่รอด โชคยังดีบวกกับฝีมือที่มีอยู่ทำให้เขาไม่ถึงแก่ความตาย ตอนเข้าไปที่นั่น รอยไปตัวคนเดียว แต่ขากลับออกมาดันมีคนอื่นด้วย นั่นคือ ร็อกกี้ เด็กสาวโสเภณีที่ถูกจับตัวไว้
หนทางเดียวที่จะทำให้ทั้งคู่มีชีวิตอยู่ต่อไปคือการหนีไปให้ไกลที่สุดจากการไล่ล่า พวกเขาจึงมุ่งหน้าไปยังกัลเวสตัน เพื่อกบดานให้เรื่องซาลง แต่ระหว่างทางร็อกกี้ขอให้เขาแวะสถานที่แห่งหนึ่งก่อน โดยเอาเรื่องเงินมาอ้าง เมื่อไปถึง สิ่งที่เขาได้มามีแค่การได้ยินเสียงปืน และสาวน้อยวัยสามขวบที่ร็อกกี้หิ้วมาขึ้นรถ คนสามคนที่ไร้ค่าจึงต้องมาเดินทางร่วมกัน ลงเรือลำเดียวกัน ปลายทางนี้เรืออาจจมลง หรือไม่ก็ส่งให้สักคนให้ถึงฝั่งฝัน หรือไม่แน่พวกเขาอาจค้นพบความหมายของการจะมีลมหายใจอยู่ต่อไปก็ได้
All the Bright Places (2020)
รับบท ไวโอเล็ต
All the Bright Places เป็นภาพยนตร์ที่ว่าด้วยความปวดร้าวและบาดแผลของวัยรุ่นสองคน คนหนึ่งเต็มไปด้วยร่องรอยเจ็บช้ำ แต่คนหนึ่งกลับซ่อนไว้จนพ้นจากสายตา โดยเนื้อหานั้นอ้างอิงมาจากนวนิยายในชื่อเดียวกันของเจนนิเฟอร์ นิเวน โดยเธอเปิดเผยว่าแรงบันดาลใจในการเขียนหนังสือเล่มนี้มาจากเหตุการณ์หลายปีก่อนที่เธอได้รู้จักและตกหลุมรักเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่มีอาการโรคอารมณ์แปรปรวนสองขั้ว
ในการให้สัมภาษณ์เจนนิเฟอร์ยังบอกอีกด้วยว่า เธอหวังว่าเรื่องราวนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้กับการมองลึกลงไปในผู้คนและและสถานที่รอบๆ ตัวเรา เราต้องทำให้ทุกคนรู้สึกปลอดภัยที่จะออกมาพูดว่า “ฉันมีปัญหา และฉันต้องการความช่วยเหลือ” หากเราไม่พูดถึงการฆ่าตัวตาย ภาวะซึมเศร้า หรือความเจ็บป่วยทางจิต เราจะคาดหวังให้ทุกคนยื่นมาออกมาช่วยเหลือเมื่อพวกเขาต้องการมันได้อย่างไร
การเผชิญหน้ากันระหว่างไวโอเล็ต มาร์คีย์ กับธีโอดอร์ ฟินช์ นั้นไม่ได้เริ่มต้นด้วยการเดินชนกันที่ระเบียงโรงเรียน หรือสวนสาธารณะสักแห่ง แต่กลับเป็นวันที่ไวโอเล็ตยืนอยู่บนขอบสะพานและครุ่นคิดถึงอะไรบางอย่าง ฟินซ์ที่วิ่งผ่านไปแถวนั้นจึงเข้าไปเกลี้ยกล่อมให้เธอลดตัวลงมายังจุดปลอดภัย ไวโอเล็ตทำตามทีบอกอย่างเสียไม่ได้ โดยเธอบอกในภายหลังว่าไม่ได้คิดจะกระโดดลงไปจริงๆ แต่ใครจะรู้ว่าเธอคิดหรือไมคิดอะไรกันแน่
นับจากนั้นเป็นต้นมา ฟินซ์ก็เข้าไปตีสนิทเธอ โดยมีงานมาช่วยบังหน้า โปรเจกต์ที่นักเรียนต้องทำร่วมกันเกี่ยวกับสถานที่ในเมืองอินเดียนา อันที่จริงไวโอเล็ตไม่มีแก่ใจจะทำอะไรทั้งนั้น เพราะยังเจ็บปวดอยู่กับการสูญเสียพี่สาวไป แต่ฟินซ์ก็ไม่ลดละความพยายาม เขาทลายกำแพงของเธอเข้าไปทีละน้อย ซึ่งในทางกลับกันไวโอเล็ตไม่รู้เลยว่าตัวฟินซ์นั้นก็มีกำแพงบางอย่างอยู่เช่นกัน ด้วยความที่เห็นเขายิ้มสดใสอยู่ตลอด เธอจึงไม่เอะใจเท่าไรนัก แล้วกว่าที่จะรู้ตัวมือและยื่นมือออกไปคว้าเขาไว้ เธอก็ไม่รู้ว่ามือนั้นจะคว้ามาได้แค่ความว่างเปล่า หรือจะเป็นเขาจริงๆ ที่กลับมา…
Tags: The list, แอล แฟนนิง, Elle Fanning