ภาพยนตร์ที่ถูกจัดวางไว้แค่สถานที่ใดสถานที่หนึ่งหรือแค่ในพื้นที่ที่จำกัดนั้นยากในการตรึงความสนใจของผู้ชม เพราะผู้ชมอาจเลือกใช้เวลาสองชั่วโมงไปกับความตื่นตาตื่นใจและการท่องไปในโลกที่กว้างกว่าแค่บ้านหลังหนึ่งหรือห้องหนึ่งเท่านั้น แต่ด้วยขอบเขตที่จำกัดนี้ก็นับเป็นความท้าทายของผู้กำกับเช่นกัน ไม่ว่าจะด้วยชั้นเชิงการเล่า ประเด็นของเรื่อง สถานการณ์ของตัวละคร บทสนทนาที่เกิดขึ้น สิ่งเหล่านี้ต้องแข็งแรงพอที่จะดึงดูดให้ผู้ชมไม่ละสายตาไปไหน และจะยิ่งท้าทายยิ่งขึ้นหากภาพยนตร์เรื่องนั้นเป็นการถ่ายทำฉากเดียวเน้นๆ เช่น Lifeboat (1944), Rope (1948), 12 Angry Men (1957) และ Cube (1997) ซึ่งรายชื่อภาพยนตร์ที่จะแนะนำในลิสต์นี้อาจจะไม่ได้เป็นแบบ Single Location เสียทีเดียว แต่ก็เป็นเรื่องที่ถ่ายทำโดยใช้สถานที่น้อยมาก ถึงอย่างนั้นความสนุกที่ได้รับกลับไม่น้อยตาม และอาจทำให้หลายคนได้มุมมองใหม่ๆ ในการสร้างสรรค์ผลงานของตัวเองอีกด้วย!

Panic Room (2002)

ภาพยนตร์ระทึกขวัญ ผลงานผู้กำกับเดวิด ฟินเชอร์ หนึ่งในผู้กำกับที่เล่าเรื่องธริลเลอร์ได้อยู่หมัดและเก่งกาจมากคนหนึ่ง เรื่องนี้เขาได้ทำงานร่วมกับเดวิด เค็ปป์ นักเขียนบทมือดีที่ได้รับแรงบันดาลใจในการเขียนเรื่องมาจากการรายงานข่าวในปี 2000 ซึ่งเกี่ยวกับห้องนิรภัยแห่งหนึ่ง

ฟินเชอร์กล่าวว่าเขาต้องการให้ภาพยนตร์สมจริงที่สุดเท่าที่จะทำได้ สิ่งนี้นำไปสู่งบประมาณที่เพิ่มขึ้นและกำหนดการถ่ายที่ยาวนานกว่าแผนที่วางไว้ อพาร์ทเทนท์และห้องนิรภัยถูกสร้างขึ้นใหม่ นักแสดงได้รับบาดเจ็บในการแสดงเล็กน้อยระหว่างการถ่ายทำ เพราะฟินเชอร์ยืนยันว่าจะถ่ายฉากเหล่านั้น โดยไม่พึ่งพา CGI

เม็ก อัลต์แมน คุณแม่ลูกหนึ่งที่เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ในย่านอัปเปอร์เวสต์ไซด์ของนิวยอร์ก บ้านหลังใหม่ของสองแม่ลูกนี้เคยเป็นของเศรษฐีผู้รักสันโดษคนหนึ่ง เขาสร้างบ้านโดยมีห้องนิรภัยเป็นส่วนหนึ่ง มันถูกล้อมรอบด้วยคอนกรีต เหล็กหนา และระบบความปลอดภัยหนาแน่น รวมถึงจอแสดงผลของกล้องวงจรปิดที่ติดไว้เกือบทุกซอกทุกมุม ในคืนแรกที่เม็กและซาราห์ย้ายเข้ามา ทั้งคู่ก็ต้องประสบกับเหตุการณ์ชวนอกสั่นขวัญแขวน เพราะการบุกรุกเข้ามาของกลุ่มโจร

เหตุการณ์คราวนี้เรียกได้ว่าเป็นคราวซวยจริงๆ เพราะกลุ่มโจรวางแผนไว้ล่วงหน้าอยู่นานว่าจะเข้ามาขโมยเงินอย่างเงียบๆ ในวันที่บ้านปราศจากผู้คน และเมื่อถึงวันพวกเขาก็ไม่ยอมล้มแผนการง่ายๆ แม้จะรู้ว่าภายในบ้านยังมีคนอยู่ก็ตาม ขณะที่โจรกำลังลงมือ เม็กก็ตื่นขึ้นมาและเห็นความเคลื่อนไหวทั้งหมด แล้วก่อนที่พวกเขาจะเข้ามาถึงตัวได้ เธอก็พาลูกเข้าไปหลบอยู่ในห้องนิรภัยทันเวลาพอดี แต่เรื่องราวในค่ำคืนนี้จะไม่จบลงอย่างเด็ดขาด หากพวกโจรยังไม่ได้สิ่งของที่ต้องการ ชีวิตของสองแม่ลูกจึงแขวนอยู่บนเส้นด้าย และทางออกเดียวก็คือบานประตูที่ปิดอยู่นั่นเท่านั้น!

Dogville (2003)

ภาพยนตร์นี้เป็นปฐมบทแรกของภาพยนตร์ไตรภาคสหรัฐอเมริกา ดินแดนแห่งโอกาส ซึ่งเขียนบทและกำกับโดยผู้กำกับชาวเดนมาร์ก ลาร์ส ฟอน เทรียร์ หลังจากให้หลังไปสองปี Manderlay (2005) ภาพยนตร์ลำดับถัดไปก็ตามมา และมันควรจะจบลงด้วยเรื่อง Washington ตามแผนการ แต่มันก็ไม่ได้ถูกดำเนินการตามที่วาดหวังไว้

เมื่อถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้จบลง นิโคล คิดแมน บอกว่าเธอจะไม่มีวันร่วมงานกับลาร์สอีก แต่ในช่วงปลายปี 2010 มีการเปิดเผยว่าเธอยังคงติดต่อกับเขาอยู่บ้าง และในปี 2012 เธอถูกเลือกให้เป็นหนึ่งในนักแสดงเรื่อง Nymphomaniac: Vol. I (2013) แต่เธอก็ออกจากการถ่ายทำไป เนื่องจากเวลาทำงานไม่ลงตัว

การเล่าเรื่องแบ่งออกเป็น 9 องค์ โดยภาพยนตร์จะพาเราไปทำความรู้จักกับ “ด็อกวิลล์” หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งในชนบทของสหรัฐอเมริกา ที่นี่มีประชากรเพียงแค่ไม่เกินสิบครอบครัว พวกเขาอยู่กับหมู่บ้านแห่งนี้แทบจะตลอดเวลา เพราะไม่สามารถไปไหนมาไหนได้ง่ายดายนัก ทางเข้าออกหมู่บ้านก็มีเพียงแค่เส้นทางเดียว ภาพที่ผู้ชมเห็นอาจจะดูแปลกตาไปบ้าง เนื่องจากทั่วทั้งพื้นที่นี้ไม่ต่างจากโรงละครขนาดใหญ่ บ้านแต่ละหลังถูกจำกัดอยู่ในเส้นสีขาว ไร้กำแพง ไร้อุปกรณ์ประกอบฉาก ในเวลาเดียวกัน เราสามารถเห็นชีวิตอื่นๆ ในบริเวณใกล้เคียงไปด้วย

หมู่บ้านนี้ปกครองกันด้วยความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่ ทุกคนใช้ชีวิตกันไปตามวิถีของตัวเอง จนวันหนึ่งหญิงสาวแปลกหน้าก็พลัดหลงเข้ามา ‘เกรซ’ กำลังถูกไล่ล่าและหนีมาหลบซ่อนตัว แม้ในตอนแรกคนในหมู่บ้านจะไม่ได้อยากช่วยเหลือนัก แต่พวกเขาก็ให้เธออยู่ต่อ เกรซจึงพยายามที่จะตอบแทนสิ่งต่างๆ ด้วยการทำตัวให้มีประโยชน์ ทั้งทำสวน งานบ้าน เลี้ยงเด็ก ไปจนถึงทำฟาร์ม โดยไม่คิดค่าจ้าง แต่พอนานวันเข้าชาวบ้านก็เรียกร้องทุกอย่างจากเธอมากขึ้น พวกเขาค่อยๆ ชิงทุกอย่างไปจากเธอ ไม่ว่าจะเวลา เรี่ยวแรง หรือเรือนร่าง พร้อมกับข่มขู่ว่าจะแจ้งจับหากขัดขืน เกรซจึงได้แต่จำยอมให้ทุกคนบงการ จนเธอไม่ต่างอะไรจากนักโทษที่ถูกคุมขัง และมันก็เลวร้ายลงเรื่อยๆ ชนิดที่เราไม่คาดคิด ซึ่งผลลัพธ์ที่ตามมาก็มีแต่คำว่าทำลายกันให้ย่อยยับลงไปข้างนึง!

Buried (2010)

ภาพยนตร์ระทึกขวัญที่ทำเอาลุ้นตามจนอึดอัด ทั้งจากสถานการณ์ สภาพแวดล้อม และแรงกดดัน ถึงขนาดที่ไรอัน เรย์โนลส์ ออกปากว่าเขาเองก็ได้รับความทรมานและความเบื่อหน่ายจนถึงขีดสุดเช่นกันในการถ่ายทำ ไม่ต่างจากสิ่งที่ตัวละครเขาต้องเผชิญ เขาต้องอยู่ในโลงที่เต็มไปด้วยทราย ขยับตัวไปทางไหนก็ลำบาก ซึ่งไรอันเองก็ไม่ต้องการที่จะสัมผัสกับประสบการณ์แบบนั้นอีก แต่ก็ต้องยกความเก่งกาจสามารถทั้งหมดให้เขาเช่นกัน เพราะเขาสามารถแบกภาพยนตร์ทั้งเรื่องไว้ด้วยตัวคนเดียว และทำให้เราอยากเอาใจช่วยไปจนจบเรื่อง

ในตอนต้นเรื่อง พอล คอนรอย เปิดโน้ตที่พวกลักพาตัวต้องการให้เขาอ่าน ซึ่งประโยคแรกระบุไว้ด้วยวันที่ “วันนี้คือวันที่ 23 ตุลาคม” มันเป็นวันเดียวกับวันเกิดของไรอัน เรย์โนลส์ และหมายเลขโทรศัพท์ของสำนักงานภาคสนามชิคาโกที่กล่าวถึงในภาพยนตร์เป็นหมายเลขของสำนักงานในจริงๆ

คงไม่มีใครคิดฝันว่าวันหนึ่งเราจะตื่นมาในโลงศพ และความน่าประหวั่นพรันพรึงก็คือมันเป็นโลงศพที่ถูกฝังไว้ใต้ดินแล้วเสียด้วย ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่เจ้าหน้าที่รับเหมาก่อสร้างชาวอเมริกาอย่าง พอล คอนรอย ต้องเจอ เขามาทำงานที่อิรัก ดินแดนที่คนต้อนรับน้อยกว่าคนขับไล่ แล้วหลังจากที่ขบวนรถของเขาโดนโจมจี เขาก็ตื่นมาพบว่าตัวเองถูกฝังทั้งเป็น อากาศกำลังจะหมดไป และเม็ดทรายกำลังไหลเข้ามาแทนที่

พอลเริ่มรวบรวมสติทั้งหมด พร้อมกับคิดว่าจะเอาตัวรอดไปได้อย่างในไรสถานการณ์นี้ เขามีเพียงไฟแช็คและโทรศัพท์หนึ่งเครื่องเท่านั้น แล้วเขาก็ได้รับโทรศัพท์จากแก๊งลักพาตัว พวกนั้นเรียกร้องให้พอลจ่ายค่าไถ่เป็นจำนวนห้าล้านเหรียญภายในเวลา 21.00 น. ไม่อย่างนั้นเขาก็จะตายอยู่ในนี้ พอลพยายามติดต่อขอความช่วยเหลือไปยังบุคคลต่างๆ รวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐ แต่คำตอบที่ได้รับกลับมาคือรัฐบาลไม่มีนโยบายเจรจากับผู้ก่อการร้าย เพราะฉะนั้นการจ่ายค่าไถ่จะไม่มีวันเกิดขึ้น แต่พวกเขาจะทำการช่วยเหลือพอลด้วยการไปพาเขาออกมาจากโลงศพเอง ความหวังยังมีแม้จะริบหรี่ พอลจึงคว้ามันไว้และหวังว่าจะได้กลับไปสู่โลกภายนอกอีกครั้ง ก่อนที่ไฟแช็คจะดับ แบตจะหมด อากาศจะจางหาย เขาทำได้แค่รอ… อยู่ที่ว่าความเป็นหรือความตายจะมาก่อนกัน

127 Hours (2010)

ภาพยนตร์สร้างมาจากหนังสืออัตชีวประวัติของอารอน รัลสตัน เรื่อง Between a Rock and a Hard Place เป็นบันทึกประสบการณ์จริงของเขาในเดือนเมษายน 2003 ขณะนั้นอารอนมีอายุ 26 ปี และได้ตัดสินใจไปปีนเขาที่บลูจอห์นแคนยอนโดยไม่ได้บอกใครเลยว่าจะไปที่นั่น ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้เมื่อเขาหายตัวไป หรือไม่มีใครที่คิดจะตามหา

หลังจากที่เรื่องราวของอารอนถูกปล่อยออกไปก็มีผู้คนจำนวนมากไปตามรอยการผจญภัยนั้น หนึ่งในนั้นคือริชาร์ด วัย 64 ปี เขาไปปีนเขาโดยที่ไม่บอกใครเช่นกัน ซึ่งในที่สุดเขาก็ประสบอุบัติเหตุ ริชาร์ดใช้เวลาสี่วันในการคลานออกมาจากหุบเขาและได้รับการช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่อุทยานบลูจอห์นแคนยอนบอกว่าตั้งแต่เรื่องราวของอารอนเป็นที่รู้จัก พื้นที่บริเวณนั้นมีผู้คนเข้าไปและต้องได้รับการช่วยเหลือแล้วมากกว่ายี่สิบสี่ครั้ง แต่ระหว่างปี 1998 จนถึงเหตุการณ์ของอารอน สถิติเป็นศูนย์

อารอน รัลสตัน เป็นวิศกรหนุ่มผู้รักการผจญภัย เขาชอบที่จะอยู่กับธรรมชาติและทำกิจกรรมทั้งหลาย ในเดือนเมษายนปี 2003 อารอนเดินทางไปยังแคนยอนแลนด์เนชั่นแนลปาร์ก รัฐยูทาห์ มันคือหุบเขาอันกว้างใหญ่ งดงาม แต่ทว่าก็เต็มไปด้วยอันตราย จุดเริ่มต้นของทริปนี้ทั้งสนุกและตื่นเต้น ตัวอารอนเองก็คงไม่คิดไม่ฝันว่าชีวิตเกือบจะจบลงอย่างเดียวดายในความเวิ้งว้างว่างเปล่านั่น

ขณะที่อารอนกำลังปีนเขาอยู่ เขาพลาดท่าตกลงไปยังเบื้องล่าง มือถูกหินทับและติดอยู่กับที่ เมื่อพยายามขอความช่วยเหลือก็ไร้ซึ่งเสียงตอบรับ อารอนจึงเริ่มบันทึกวิดีโอเพื่อรักษาขวัญกำลังใจของตัวเอง คิดหาทางแก้ว่าทำอย่างไรถึงจะหลุดออกไปได้ หรือไม่ตายเสียก่อนที่ปาฏิหาริย์จะมาถึง เขาแบ่งสันปันส่วนน้ำและอาหาร ทำร่างกายให้อบอุ่นในเวลากลางคืน ไม่สติแตกจนหมดแรงกายแรงใจ แต่ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไร อารมณ์ความรู้สึกยิ่งถดถอยลง ความตายคล้ายว่าจะเข้ามาใกล้ทุกที เขาต้องรีบออกไปจากที่นี่ให้ไวที่สุด ไม่อย่างนั้นชะตาชีวิตก็เป็นอันหยุด การตัดสินใจครั้งนี้เขาต้องสละบางอย่างไป ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่มีวันได้ชีวิตกลับคืนมา

The Invitation (2015)

ภาพยนตร์ระทึกขวัญที่อนุมานได้ว่าอาจมีพื้นฐานของเรื่องราวมาจากลัทธิ Heavens Gate ลัทธิที่มีความเชื่อและศรัทธาเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตนอกโลก ซึ่งนำไปสู่การฆ่าตัวตายหมู่สุดสยองในปี 1997 สมาชิกทั้งหมด 39 คนปลิดชีพตัวเองอยู่บนเตียงของใครของมัน พวกเขาเชื่อว่าโลกจะถูกชำระล้างใหม่ ทางเดียวที่จะหนีรอดไปได้คือการพาดวงวิญาณของตนไปหามนุษย์ต่างดาว แล้วเดินทางไปยังดาวหางเฮล-บอปป์

ความโชคร้ายมาเยือนเมื่อวิลล์กับคิระ ภรรยาใหม่ของเขาตอบรับคำเชิญไปงานเลี้ยงอาหารค่ำของอีเดน ซึ่งเป็นภรรยาเก่าของวิลล์ ทั้งคู่หย่ากันขณะที่ต้องรับมือกับการสูญเสียครั้งใหญ่ ต่างคนต่างหันหลังให้แก่กัน และเริ่มต้นใหม่ในที่ทางของตัวเอง อีเดนเองจึงได้พบกับเดวิด สามีคนใหม่ของเธอจากการเข้ากลุ่มบำบัดความเศร้า

ภายในงานเลี้ยงไม่ได้มีแค่คู่ของวิลล์กับอีเดนเท่านั้น แต่ยังเต็มไปด้วยเพื่อนเก่าอีกมากหน้าหลายตา การมาที่นี่ทำให้วิลล์หวนคิดถึงความทรงจำเก่าๆ ครั้งที่ยังคบกับอีเดนอยู่ พร้อมกันนั้นเขาก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกแปลกๆ ที่อบอวลอยู่ในบ้าน และความรู้สึกนี้ก็ยิ่งหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเดวิดเริ่มพูดถึงลัทธิอะไรสักอย่าง ความไม่ชอบมาพากลแสดงออกผ่านพฤติกรรมของสองสามีภรรยา แต่คนอื่นกลับบอกว่าวิลล์คิดมากจนเกินไป กว่าจะรู้ตัวอีกทีพวกเขาทั้งหมดก็ตกอยู่ในอันตราย ความตายอาจเป็นของใครคนใดคนหนึ่งหรืออาจเป็นของทุกๆ คนก็ย่อมได้ แต่เหตุผลที่แท้จริงของการกระทำนี้คืออะไร ใครเป็นคนริเริ่ม ปลายทางของพวกเขาคือสวรรค์หรือนรก? ถึงอย่างไรแผนการนี้ก็ได้นับหนึ่งขึ้นแล้ว!