หลังศึกฟุตบอลยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2016-2017 นัดที่สองของรอบ 16 ทีมสุดท้าย คู่ระหว่างบาร์เซโลนา เปิดคัมป์ นู รับการมาเยือนของปารีส แซงต์ แชร์กแมง จบลงท่ามกลางความสะใจของกองเชียร์เจ้าถิ่นกระหึ่มสนาม เนื่องจากสโมสรจากประเทศสเปนที่เกมนัดแรกบุกไปพ่ายทีมดังจากกรุงปารีสมาก่อนถึง 4-0 กลับคัมแบ็กอย่างสวยหรูด้วยการเอาชนะไปอย่างท่วมท้น 6-1

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์พลิกล็อกคัมแบ็กหรูในฟุตบอลทัวร์นาเมนต์ระดับสโมสรในยุโรป ภูมิภาคที่มีผู้ติดตามเกมลูกหนังมากที่สุดในโลก เหตุการณ์ลักษณะนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อเกือบ 50-60 ปีก่อน และยังคงเกิดขึ้นกับเกมฟุตบอลยุคปัจจุบัน เพราะจนกว่าจะสิ้นเสียงเป่านกหวีดยาวครั้งสุดท้ายของกรรมการ เสน่ห์ของเกมลูกหนังคือการลงแข่งแบบไม่มีทีมใดยอมกันตลอดเวลา 90 นาที

The Momentum ขอพาไปติดตาม 10 เหตุการณ์คัมแบ็กสุดระทึกที่เคยเกิดขึ้นในเกมนัดสองจากเวทีฟุตบอลยุโรป

Photo: Pascal Deschamps, Reuters/Profile

10.

FC La Chaux-de-Fonds VS  Leixões SC (6-2, 0-5) ยูโรเปียน คัพ วินเนอร์ส คัพ 1961/62

เปิดหัวด้วยการย้อนอดีตเกือบ 60 ปีที่แล้ว ในศึกยูโรเปียน คัพ วินเนอร์ส คัพ (UEFA Cup Winners’ Cup) ทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลที่นำแชมป์บอลถ้วยในแต่ละประเทศมาแข่งกันในฤดูกาล 1961/62 ในเกมรอบแรก Leixões สโมสรจากโปรตุเกส ที่คว้าสิทธิ์ลงแข่งรายการนี้ครั้งแรกในฐานะทีมแชมป์โปรตุกีส คัพ โคจรมาพบกับ FC La Chaux-de-Fonds สโมสรจากสวิตเซอร์แลนด์

แม้เกมในนัดแรกจะเป็นทีมแชมป์บอลถ้วยแดนนาฬิกาที่เป็นฝ่ายกำชัยไปก่อนด้วยสกอร์ขาดลอยถึง 6-2 ทว่าเกมนัดสองที่กลับไปลงเล่นในโปรตุเกส เป็นเจ้าถิ่นอย่าง Leixões ที่อาศัยเสียงเชียร์จากแฟนบอลพลิกถล่มขาดลอย 5-0 (สกอร์รวม 7-6) ก่อนจะทะลุเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายในปีนั้น

9.

เรอัล มาดริด VS ดาร์บี เคาน์ตี (1-4, 5-1), ยูโรเปียน คัพ 1975/1976

ในศึกยูโรเปียนส์ คัพ (European Cup) หรือ ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกในปัจจุบัน ฤดูกาล 1975/1976 รอบ 16 ทีมสุดท้าย เป็นการโคจรมาพบกันระหว่างแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษและสเปน ในฤดูกาล 1974/1975 อย่าง ดาร์บี เคาน์ตี และเรอัล มาดริด โดยเกมในนัดแรกเป็นทัพ ‘แกะเขาเหล็ก’ จากเกาะอังกฤษที่เป็นฝ่ายกำชัยไปก่อนด้วยสกอร์ขาดลอย 4-1 ก่อนที่พลพรรคราชันชุดขาวจะสอนเชิงแชมป์ลีกอังกฤษ ในเกมที่สองคืนถึง 1-5 (สกอร์รวมชนะ 6-5) ท่ามกลางแฟนบอลหนาตาถึง 120,000 คน

ท้ายสุดขุนพลโลส บลังโกส ไปไกลถึงรอบรองชนะเลิศ ก่อนจะพ่ายต่อบาเยิร์น มิวนิค ในรอบตัดเชือกนี้ด้วยสกอร์รวม 1-3

8.

เม็ตซ์ VS บาร์เซโลนา (2-4, 4-1), ยูโรเปียน คัพ วินเนอร์ส คัพ 1984/85

แชมป์ฟุตบอลถ้วยฝรั่งเศสฤดูกาล 1983/84 โชคร้ายถูกจับสลากให้มาพบกับยอดทีมจากสเปนอย่างบาร์เซโลนาที่มี 2 แข้งดังอย่าง ดิเอโก มาราโดนา และแบรนด์ ชูสเตอร์ อยู่ในทีมตั้งแต่เกมรอบแรกของยูโรเปียน คัพ วินเนอร์ส คัพ ซีซัน 1984/1985 แม้จะเปิดบ้านพ่ายในเกมนัดแรกไปก่อน 2-4 ทว่าพวกเขากลับฮึดบุกไปยัดเยียดความปราชัยให้กับสโมสรดังแห่งแคว้นคาตาลันคาคัมป์ นู ถึง 4-1 โดยเกมนี้ โทนี เคอร์บอส (Tony Kurbos) ดาวยิงชาวยูโกสลาเวียจัดการทำคนเดียวถึง 3 ประตู ส่งต้นสังกัดผ่านเข้าสู่รอบสองอย่างเต็มภาคภูมิ

7.

โบรุสเซีย มึนเชนกลัดบัค VS เรอัล มาดริด (5-1, 0-4), ยูฟ่า คัพ 1985/86

สองยักษ์ใหญ่จากประเทศเยอรมนีตะวันตก (ในขณะนั้น) และสเปน อย่างโบรุสเซีย มึนเชนกลัดบัค และเรอัล มาดริด ถูกจับให้มาเจอกันในเกมรอบ 3 หรือรอบ 16 ทีมสุดท้ายในศึกยูฟ่า คัพ ซีซัน 1985/1986 โดยนัดแรกเป็นทัพ ‘สิงห์หนุ่ม’ จากฟุตบอลลีกเมืองเบียร์กำชัยชนะไปก่อนด้วยสกอร์ขาดลอย 5-1 ทว่าตัวแทนจากกรุงมาดริดกลับถอนแค้นด้วยการเปิดซานติอาโก เบร์นาเบว ชนะ 4-0

แม้รวมผลสองนัด ทั้งสองทีมจะเสมอกัน 5-5 แต่สุดท้ายเป็นราชันชุดขาว ที่อาศัยกฎอเวย์โกลผ่านเข้าสู่รอบต่อไป ก่อนจะก้าวขึ้นเถลิงแชมป์รายการนี้ด้วยการปราบอีกหนึ่งตัวแทนจากเยอรมนีตะวันตกอย่าง ‘แพะบ้า’ เอฟซี โคโลญจน์ ด้วยสกอร์รวม 5-3

6.

เชลซี VS บาร์เซโลนา (3-1, 1-5), ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก 1999/2000

ทัพสิงโตน้ำเงินครามในยุคที่มีจานลูกา วิอัลลี อดีตกองหน้าทีมชาติอิตาลีคุมทัพ คว้าสิทธิ์ลงเตะยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก รอบคัดเลือก ในฤดูกาล 1999/2000 หลังจบอันดับ 3 ในศึกพรีเมียร์ลีกฤดูกาลก่อนหน้า ก่อนจะทะลุเข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายมาพบกับยักษ์ใหญ่ลูกหนังแดนกระทิงดุอย่างบาร์เซโลนา

เกมนัดแรกที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ เป็นสโมสรจากกรุงลอนดอนที่เป็นฝ่ายกำชัยไปก่อน 3-1 ทว่าเกมนัดสองกลับเป็นบาร์ซาที่อุดมไปด้วยสตาร์ดังอย่างเปป กวาร์ดิโอลา, หลุยส์ ฟิโก, หลุยส์ เอ็นริเก และโรนัลด์ คูมัน ถอดแค้นอย่างท่วมท้น 5-1 (ชนะด้วยสกอร์รวม 6-4)

Photo: Miguel Vidal, Reuters/Profile

5.

เดปอร์ติโว ลา คอรุนญา  VS เอซี มิลาน (1-4, 4-0), ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก 2003/04

อีกหนึ่งเกมหักปากกาเซียนประจำรายการยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก โดยในฤดูกาล 2003/2004 สโมสรตัวแทนจากสเปนอย่างซูเปอร์เดปอร์ ในฐานะทีมอันดับ 3 ของตารางลีก ทะลุเข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย หลังผ่านยูเวนตุสในรอบก่อนหน้านี้ด้วยสกอร์รวม 2-0 โดยในรอบดังกล่าว พวกเขาถูกจัดให้เจอกับอีกหนึ่งสโมสรจากอิตาลีอย่างเอซี มิลาน

เป็นไปตามคาดว่าขุนพลรอสโซเนรีเป็นฝ่ายเก็บชัยชนะไปก่อนถึง 4-1 ท่ามกลางสายตาของแฟนบอลซูเปอร์เดปอร์คงไม่มีใครคาดคิดว่าทีมจะผ่านเข้าสู่รอบต่อไปได้ แต่แล้ว 4 ประตูในเกมนัดสองจากวอลเตอร์ พานเดียนี, ฆวน คาร์ลอส บาเลรอน, อัลเบิร์ต ลูเก และฟราน กลับพาต้นสังกัดเบียดยักษ์ใหญ่แดนมักกะโรนีด้วยประตูรวม 5-4 ผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศชนิดไม่มีใครคาดคิด

หลังเกมนัดประวัติศาตร์ของสโมสรจบลง ฆาเบียร์ อิรูเรตา กุนซือของทีมในขณะนั้นได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้ หากทีมพลิกกลับมาชนะได้จะเดินแสวงบุญด้วยหัวเข่าไปยังสุสานคาทอลิกที่ซานติอาโก เดอ คอมโปสเตลา เป็นระยะทาง 35 ไมล์ แต่สุดท้ายอิรูเรตาจะเปลี่ยนจากคำสัญญาที่จะเดินด้วยหัวเข่าเป็นเท้าแทน!

4.

โมนาโก VS เรอัล มาดริด (2-4, 3-1), ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก 2003/04

อีกหนึ่งเกมนัดประวัติศาสตร์ประจำยูซีแอลซีซันนี้ เป็นการโคจรมาพบกันของสโมสรตัวแทนจากฝรั่งเศสอย่างโมนาโกและยักษ์ใหญ่แดนกระทิงอย่างเรอัล มาดริด ยุคกาลาคติกอส ที่เต็มไปด้วยสตาร์ดังคับทีม ทั้งเดวิด เบ็กแฮม, โรนัลโด, หลุยส์ ฟิโก และซีเนดีน ซีดาน ฯลฯ

แม้จะเป็นฝ่ายบุกไปแพ้มาก่อนคาเบอนาเบวถึง 2-4 ทว่าพวกเขากลับรวมพลังเปิดสต๊าด หลุยส์ไล่ชนะคืน 3-1 เก็บผลอเวย์โกลผ่านเข้าสู่รอบต่อไปได้สำเร็จ ก่อนจะทะลุเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศกับเอฟซี ปอร์โต สโมสรจากโปรตุเกสที่มีโชเซ มูรินโญ คุมทีมในขณะนั้น และเป็นฝ่ายพ่ายไปด้วยสกอร์ขาดลอย 0-3

3.

นาโปลี VS เชลซี (3-1, 1-4), ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก 2011/2012

สิงโตน้ำเงินครามตัดสินใจแต่งตั้งโรแบร์โต ดิ มัตเตโอ อดีตนักเตะของทีมขึ้นมาเป็นกุนซือชั่วคราว หลังอังเดร วิลาส โอบาส นายใหญ่คนก่อนหน้าล้มเหลวในการคุมทีมอย่างสิ้นเชิง โดยหนึ่งในความล้มเหลวนั้นคือการพาต้นสังกัดบุกไปพ่ายนาโปลี สโมสรจากอิตาลี ในเกมยูฟ่า แชมป์เปียนส์ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดแรกถึงซาน เปาโล 1-3

ก่อนที่โรแบร์โต ดิ มัตเตโอ จะรับช่วงต่ออย่างสวยหรู ด้วยการพาเชลซีเปิดสแตมฟอร์ด บริดจ์ จัดหนักใส่ทัพอัซซูราคืน 4-1 ผ่านเข้าสู่รอบต่อไปด้วยสกอร์รวม 5-4 ก่อนก้าวขึ้นไปคว้าโทรฟีรายการนี้ได้เป็นครั้งแรกเป็นประวัติศาสตร์สโมสร หลังดิดิเยร์ ดร็อกบา สังหารประตูชัยจากการดวลจุดโทษในเกมนัดชิงชนะเลิศกับบาร์เยิร์น มิวนิคด้วยประตูรวม 4-3

Photo: Marcelo del Pozo, Reuters/Profile

2.

บาร์เซโลนา VS เอซี มิลาน (0-2, 4-0), ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก 2012/2013

ทีมตัวแทนจากประเทศสเปน ที่มีตีโต บีลาโนบา อดีตกุนซือผู้ล่วงลับคุมทัพ ถูกจับให้มาเจอกับสโมสรดังจากเมืองมิลานอย่าง เอซี มิลาน ในเกมยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย ประจำฤดูกาล 2012/2013

แม้นัดแรกขุนพลจากแคว้นคาตาลันจะพลาดท่าบุกไปพ่ายต่อปีศาจแดงดำถึงซานซีโรไปก่อน 0-2 ทว่ากลับถอดแค้นคืนอย่างไม่ยากเย็นนักในเกมนัดที่สอง ด้วยการเปิดคัมนูร์ไล่ถลุงพังพาบ 4-0 ท่ามกลางเสียงเชียร์จากแฟนบอลเรือนแสน โดยได้ 2 ประตูจากลีโอเนล เมสซี ขณะที่อีก 2 ประตูมาจากดาบิด บียา และฆอร์ดี อัลบา

1.

บาร์เซโลนา VS ปารีส แซงต์ แชร์กแมง (0-4, 6-1), ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก 2016/2017

ปิดท้ายด้วยค่ำคืนที่น่าจดจำของบรรดาทีมงาน นักเตะและแฟนบอลบาร์เซโลนา หลังจากที่สโมสรพลิกกลับมาชนะเปแอสเชอย่างที่ไม่มีใครคาดคิดด้วยสกอร์ยำใหญ่ถึง 6-1 ทั้งๆ ที่เกมนัดแรกที่ปารีส เป็นแชมป์ลีกเอิง หรือฟุตบอลลีกสูงสุดของฝรั่งเศสกุมความได้เปรียบไปก่อนถึง 4-0

โดยเกมนัดประวัติศาสตร์นี้เป็นบาร์ซาที่ได้ประตูขึ้นนำไปก่อน 3-0 และเกือบจะกลายเป็นเกมถอดใจของขุนพลอาซูลกรานาอีกครั้ง หลังเอดิสัน คาวานี กองหน้าของเปแอสเชทำประตูให้ทีมไล่มาเป็น 1-3 ในขณะที่เหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมงเศษ ทำให้สกอร์รวมขณะนั้นเป็นเปแอสเชที่นำอยู่ 5-3 แต่แล้วเสียงเฮกลับดังลั่นคัมป์ นู อีกครั้ง เมื่อเนย์มาร์รับบทบาททำ 2 ประตู ไล่เป็น 5-5 ก่อนที่เซร์จี โรเบร์โตจะยิงปิดกล่องช่วงทดเวลาบาดเจ็บพาบาร์เซโลนากำราบเปแอสเชด้วยสกอร์รวม 6-5 ผ่านเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้ายอย่างสวยหรู

อ้างอิง:

Tags: ,