หลังสร้างชื่อจาก Tangerine (2015) ผลงานเปิดตัวสุดแจ่มที่เล่าชีวิตสาวทรานส์ในลอสแอนเจลิสได้อย่างเปรี้ยวจี๊ดและแนบชิดหัวจิตหัวใจ (โดยใช้เพียงไอโฟน 5s ถ่ายทำทั้งเรื่อง!) ฌอน เบเกอร์ (Sean Baker) ก็กลับมาสร้างเสียงฮือฮาให้กับโลกภาพยนตร์อีกหนกับ The Florida Project ที่แม้เปลี่ยนมาใช้กล้องฟิล์ม 35 มม. แล้ว (มีฉากสำคัญเพียงฉากเดียวที่ใช้ iPhone 6s Plus ถ่าย) ก็ยังคงถ่ายทอดชีวิตผู้คนตัวเล็กตัวน้อยตามชายขอบออกมาอย่างจัดจ้าน เต็มเปี่ยมไปด้วยสีสันและจิตวิญญาณความเป็นมนุษย์เหมือนเดิม
หนังติดตาม มูนนี่ (บรูคลินน์ พรินซ์) เด็กหญิงแก่นแก้ววัย 6 ปี ผู้อาศัยอยู่กับแม่วัยสาวผมสีฟ้า เฮลลีย์ (บรีอา วิไนเต – นักแสดงหน้าใหม่ที่เบเกอร์ไปเจอในอินสตาแกรม!) ในห้องพักของโมเตลสีม่วงราคาประหยัดนาม Magic Castle ที่ตั้งอยู่ข้างดิสนีย์เวิลด์ ตลอดทั้งเรื่องเราเห็นเธอกับผองเพื่อนพากันออกตะลอนเที่ยวเล่นตามพื้นที่รอบๆ ‘ปราสาทมหัศจรรย์’ จนบรรดาผู้ใหญ่ต้องกุมขมับไปตามๆ กัน วันหนึ่งเหล่าเด็กแสบอาจแข่งกันถุยน้ำลายใส่กระจกหน้ารถที่จอดอยู่ด้านล่าง อีกวันอาจแอบเข้าไปป่วนในห้องเครื่องจนทำเอาไฟดับทั้งโมเตล หรือในบางวันพวกเขาอาจไปตั้งด่านขอเศษเงินอยู่หน้าร้านไอศกรีมจนกว่าจะมีเงินพอซื้อมาแบ่งกันเลียกินคลายร้อน
โมเตลสีเจ็บและพื้นที่รายรอบ-ซึ่งก็เต็มไปด้วยสีฉูดฉาดไม่แพ้กัน-กลายมาเป็นดินแดนอันกว้างใหญ่ให้เด็กๆ ได้เล่นสนุกและเติมเต็มจินตนาการอันเหลือล้นของตน จริงอยู่ที่ว่า หากมองด้วยสายตาของผู้ใหญ่ มันก็เป็นเพียงเพียงย่านเสื่อมโทรมธรรมดาๆ ที่ตกอยู่ใต้เงาบดบังของสวนสนุกระดับโลกซึ่งดึงดูดความสนใจกว่าเห็นๆ แต่หากมองจากสายตาของเด็กน้อย นี่คือโลกทั้งใบของพวกเขาซึ่งเต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ เรื่องราวสนุกสนาน และการผจญภัยรอให้เข้าไปค้นพบ
หนังฉายภาพความน่ารักน่าชังของเด็กๆ ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ชวนให้ตกหลุมรักไปพร้อมๆ กับตะลึงงันว่าเบเกอร์กำกับนักแสดงเด็กเหล่านี้อย่างไร (ทั้งที่ส่วนใหญ่เล่นหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก) ในขณะเดียวกันหนังยังสอดส่องให้เห็นชีวิตผู้ใหญ่ที่อยู่รายล้อม ไม่ว่าจะเป็น บ็อบบี (วิลเลม เดโฟ) ผู้จัดการปากร้ายใจดีที่แม้จะจู้จี้แต่ก็คอยดูแลความเป็นไปของผู้คนในโมเตลของเขาด้วยความอบอุ่น หรือตัวเฮลลีย์เองที่เพิ่งตกงานและต้องดิ้นรนทุกวิถีทางในการประคับประคองความเป็นอยู่ของตนกับลูก
การแสดงให้เห็นชีวิตคนตัวเล็กในพื้นที่ชายขอบของสังคมอเมริกันชวนให้นึกถึงหนังปี 2016 ของ แอนเดรีย อาร์โนลด์ เรื่อง American Honey ที่เล่าถึงกลุ่มวัยรุ่นที่ออกตระเวนขายสมาชิกนิตยสารให้กับผู้มีอันจะกินทั่วอเมริกา หนังติดตาม สตาร์ (ซาชา เลน) เด็กสาวผู้หนีจากปัญหาและภาระหนักหนาที่บ้านมาอยู่กับกลุ่มนี้ ซึ่งระหว่างทางนั่นเองที่เธอได้ตกหลุมรัก เติบโต และพบตำแหน่งแห่งที่ของตนบนโลกกว้าง
ทั้ง American Honey และ The Florida Project ไม่เพียงหันกล้องไปจับจ้องชีวิตกลุ่มคนที่มักถูกละเลย หากยังแสดงให้เห็นการยื้อยุดชวนใจสลายที่คนเหล่านี้ต้องเผชิญ นั่นคือความผันผวนระหว่างความเป็นจริงที่ดูดกลืนความหวัง กับความฝันที่พวกเขามีถึงชีวิตที่ดีกว่า และหาก American Honey คือการเดินทางหาความมหัศจรรย์เล็กๆ น้อยๆ ระหว่างทางเก็บแต้มฝัน The Florida Project ก็คงเป็นการแสดงให้เห็นความมหัศจรรย์ที่ดำรงอยู่ในชีวิตประจำวันอยู่แล้วในสายตาของเด็กน้อย
ในขณะที่โลกของผู้ใหญ่คือโลกของความตึงเครียด ปัญหา และภาระ เด็กๆ กลับมองโลกใบนั้นด้วยสายตาแห่งความอัศจรรย์ สมกับที่วัยของพวกเขาเป็นอิสระจากความกังวลอันหนักอึ้งใดๆ จินตนาการอันแสนบรรเจิดของพวกเขาทาบทับลงไปบนโลกที่ผู้ใหญ่สร้าง นั่นทำให้แม้สถานะทางเศรษฐกิจจะปิดโอกาสในการเข้าไปเล่นสนุกในดิสนีย์เวิลด์ ก็ไม่ได้แปลว่าพวกเขาจะมี ‘สวนสนุก’ ในแบบของตัวเองไม่ได้ ดังที่สนามหญ้าเลี้ยงวัวกลายมาเป็นซาฟารี บ้านที่ถูกทิ้งร้างเป็นเสมือนบ้านผีสิง และพลุที่ถูกจุดประดับให้คนอื่นดูกลายเป็นของขวัญวันเกิดที่ยากจะลืมเลือน สวนสนุกสำหรับพวกเขาจึงอาจไม่ใช่สวนสนุกที่เลิศเลอหรือจับต้องได้ แต่มันก็เป็นสวนสนุกที่พลิกโฉมได้เท่าที่จินตนาการของพวกเขาจะอนุญาต
การทาบทับ-ยื้อยุดกันระหว่างจินตนาการเด็กกับโลกของผู้ใหญ่ และระหว่างสวนสนุกจริงกับสวนสนุกจำแลง ทำให้ชื่อ The Florida Project ที่เบเกอร์นำมาใช้นั้นเหมาะเจาะกับตัวหนังเป็นที่สุด เพราะเดิมทีมันคือชื่อเก่าของดิสนีย์เวิลด์ที่ถูกตั้งไว้คร่าวๆ ตอนก่อสร้าง ชื่อชั่วคราวที่ถูกละทิ้งจึงราวกับสะท้อนโลกในหนังว่าเป็นโลกฝันที่ถูกหลงลืม โลกของความสนุกที่ทำได้เพียงจินตนาการถึง โลกที่ความสุขอยู่ใกล้แค่เอื้อมแต่ไกลเกินจะฉวยคว้า
ในครึ่งหลังของหนัง ปัญหาในโลกของผู้ใหญ่จะเริ่มเข้ามาส่งอิทธิพลกับโลกของหนูน้อยมูนนี่มากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งนำไปสู่ตอนจบอันน่าตื่นตะลึง สิ่งที่น่าชื่นชมหนีไม่พ้นความสามารถของเบเกอร์ในการเกลี่ยระดับของความหวังและความสิ้นหวังให้ออกมาไล่เลี่ยกันโดยไม่มีฝ่ายใดนำหน้าอีกฝ่ายจนเกินงาม หนังครบถ้วนไปด้วยเสน่ห์อันหอมหวานและอารมณ์ขัน พอๆ กับที่มันตระหนักรู้ถึงความเป็นจริงที่พร้อมเข้ามาฝากฝังความเจ็บปวดให้ชีวิตเราได้ทุกเมื่อ ความจริงที่อยู่นอกเหนือความสามารถที่เราจะเปลี่ยนได้ด้วยสองมือของตัวเองจนอาจง่ายกว่าหากจะเปลี่ยนมันด้วยจินตนาการ
เหนือสิ่งอื่นใด The Florida Project เป็นหนังที่เปี่ยมล้นไปด้วยชีวิตชีวาในทุกภาคส่วน ตั้งแต่การเล่าเรื่อง การถ่ายภาพ ไปจนถึงการแสดงอันน่าประทับใจของนักแสดงทุกวัยทั้งหน้าใหม่และหน้าเก่า ไม่ว่าจะเป็นเดโฟ วิไนเต ไปจนถึงหนูน้อยพรินซ์ผู้มอบความสดใสเริงร่าที่กลายมาเป็นหัวใจของหนังเรื่องนี้
แม้หน้าหนังจะดูเล็กจ้อย แต่หัวใจของ The Florida Project นั้นใหญ่โต มันจึงเป็นหนังที่แต่งแต้มรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และน้ำตาแห่งความประทับใจให้กับคนดูได้อย่างไม่ยากเย็น…โดยเฉพาะบรรดาผู้เหนื่อยล้าจากโลกของผู้ใหญ่
Fact Box
หนังฉายเปิดตัวในสาย Directors' Fortnight ที่เทศกาลหนังเมืองคานส์ปี 2017 และกำลังเดินสายล่ารางวัลอยู่ในตอนนี้ โดยสาขาที่มีลุ้นที่สุดคือสาขาสมทบชายยอดเยี่ยมที่วิลเลม เดโฟได้เข้าชิงแล้วทั้งออสการ์, โกลเดนโกลบ, SAG Awards ส่วนหนูบรูคลินน์ พรินซ์ ก็เพิ่งชนะรางวัลนักแสดงวัยเยาว์ยอดเยี่ยมจาก Critics' Choice Movie Awards ไป