เล่าให้ฟังหน่อยว่า ช่วงนี้ภารกิจของคณะก้าวหน้าเป็นอย่างไร เห็นเดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ไปหลายจังหวัด 

 สถานการณ์ล่าสุดของคณะก้าวหน้าคือ เราส่งผู้สมัคร อบจ.ลงใน 42 จังหวัด ทุกภูมิภาค ทั้งเหนือ อีสาน กลาง ตะวันออก ตะวันตก ใต้ รวมสามจังหวัดชายแดน ทุกที่ที่กล่าวมามีผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายกอบจ.) อยู่ในพื้นที่ครบทุกภูมิภาค

ความพยายามของคณะก้าวหน้าเป็นความพยายามทางการเมืองที่ทะเยอทะยานมาก ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีกลุ่มการเมือง หรือพรรคการเมืองใด ที่ส่งผู้สมัคร นายก อบจ. ในนามเดียวกันทั่วประเทศที่เยอะขนาดนี้ ภายใต้แบนเนอร์แบบเดียวกัน ภายใต้กระบวนการรณรงค์หาเสียงแบบเดียวกัน ภายใต้นโยบาย กรอบคิด และอุดมการณ์ทางการเมืองแบบเดียวกัน ไม่มีมาก่อน 

 

 เหตุผลที่ส่งคนลงสมัครเลือกตั้งเยอะขนาดนี้ เป้าหมายคืออะไร

ก่อนหน้านี้ คนไม่ค่อยสนใจการเมืองท้องถิ่น การเมืองท้องถิ่นโดยเฉพาะในระดับ อบจ. มีคนมาใช้สิทธิ์แค่ 50% เท่านั้นเอง ขณะที่การเลือกตั้งใหญ่ระดับชาติ มีผู้มาใช้สิทธิ์เกือบ 80% ถ้าถามว่าคนไม่เห็นค่า ไม่เห็นความสำคัญของการท้องถิ่นเหรอ เราบอกว่าไม่ใช่ ประชาธิปไตยจะเข้มแข็งได้ ต้องเริ่มที่ท้องถิ่นก่อน เราจึงให้ความสำคัญกับการเมืองท้องถิ่นมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเมืองท้องถิ่นที่ผ่านมาในรอบหลายสิบปี บางจังหวัดนายกอบจ. คนเดิมเป็นมาเป็นสิบๆ ปี บางจังหวัดเป็นมาตั้งแต่มีการเลือกตั้งนายกอบจ.ครั้งแรกจนถึงวันนี้ ก็เป็นกลุ่มการเมืองเดียวมาโดยตลอด หลายจังหวัดการเลือกตั้งท้องถิ่นถูกผูกขาดโดยอำนาจอิทธิพล 

หลังการรัฐประหาร 2557 การเมืองท้องถิ่นเหล่านี้ก็เป็นหนึ่งใน ‘เสาค้ำยัน’ การสืบทอดอำนาจของคสช. ตอนนี้จึงถึงเวลาเปลี่ยนแปลงการเมืองท้องถิ่นแล้ว พวกเราจะทำให้เห็นว่าการเมืองท้องถิ่นที่ตอบสนองประชาชนเป็นไปได้จริง การเมืองท้องถิ่นที่ทำให้ชีวิตของประชาชนดีขึ้นเป็นไปได้จริง คนจะเข้าใจเยอะมากว่าเลือกส.ส. ไปแล้วจะไปพัฒนาจังหวัด แต่เคยได้ยินไหมครับว่า เลือก ส.ส.ไป แต่จังหวัดไม่เห็นพัฒนาอะไรบ้างเลย จริง ๆ แล้วประชาชนเข้าใจผิดเยอะ ส.ส. ไม่ได้มีหน้าที่พัฒนาจังหวัด หรือพื้นที่  

ส.ส.มีหน้าที่สำคัญ 3 ประการ ประการแรกคือการออกกฎหมายของฝ่ายนิติบัญญัติ นิติคือกฎหมาย บัญญัติคือสร้างขึ้นมา หน้าที่ที่สองก็คือฟังเสียงประชาชนในพื้นที่ เพื่อไปสะท้อนในสภาผู้แทนราษฎร และหน้าที่ที่สามคือตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหาร กลไกในการตรวจสอบที่ทรงพลังมากที่สุดคือการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งอาจนำไปสู่การถอดถอนรัฐมนตรีก็ได้ แต่ ส.ส. ไม่ได้บริหารราชการ ส.ส. ไม่มีข้าราชการใต้สังกัด ส.ส. ไม่มีงบประมาณ 

ขณะเดียวกัน นายกอบจ. จังหวัดเล็ก ๆ กลับมีงบประมาณ 400 ล้านบาท จังหวัดกลาง ๆ 500 – 700 ล้านบาท จังหวัดใหญ่ๆ นี่เป็นพันล้านขึ้นไป นครราชสีมาเป็นจังหวัดที่ใหญ่ที่สุด มีงบประมาณ 3,000 กว่าล้านบาทต่อปี จังหวัดอย่างสมุทรปราการมี 2,000 กว่าล้านบาทต่อปี  และในหลายพื้นที่ การเมืองท้องถิ่นถูกผูกขาดมานาน แยกไม่ออกระหว่างธุรกิจกับการเมืองของนายกท้องถิ่น ธุรกิจกับการเมืองกลายเป็นเรื่องเดียวกัน หลายจังหวัดเอางบประมาณของ อบจ. จากประชาชน ไปสร้างสนามกีฬาเพื่อให้ทีมฟุตบอลของตัวเองมาใช้ ทีมฟุตบอลตัวเองเป็นเอกชน แต่สนามกีฬาเป็นของ อบจ. สร้างสนามฟุตบอลแล้วให้ทีมฟุตบอลตัวเองมาเช่า หรือมาใช้เป็นสนามเหย้า หรือตัวเองเป็นนายกอบจ. แต่ให้งบสนับสนุนกีฬาจังหวัด ให้งบสนับสนุนไปที่สมาคมกีฬา ซึ่งญาติตัวเองนั่งเป็นประธานสมาคมกีฬานั้น ๆ อยู่

ผมคิดว่าเราเห็นเรื่องพวกนี้เต็มไปหมด มันถึงเวลาที่จะต้องบอกว่าพอได้แล้ว งบประมาณของประชาชนต้องเอามารับใช้ประชาชนได้แล้ว

 

การส่งผู้สมัครมากขนาดนั้น คณะก้าวหน้าเข้าใจปัญหาของแต่ละท้องถิ่นดีแค่ไหน มีวิธีการคัดเลือกผู้สมัครอย่างไร

การทำนโยบายแก้ปัญหาท้องถิ่นมี 2 ระดับคือ นโยบายที่ส่วนกลางสนับสนุน ที่เราเห็นเป็นแพทเทิร์นทั่วประเทศ นโยบายต่าง ๆ เหล่านี้ เช่น การสร้างรัฐเปิดเผย

 

“ถ้าคุณเคยไปดูเว็บไซต์ อบจ. อบต. จะเห็นว่าน่าสนใจมาก เพราะเป็นเว็บไซต์ที่เก่าแก่ โบราณ คร่ำครึ ลองเข้าไปหางบประมาณของแต่ละจังหวัดจะพบว่าหายากมาก ค้นยากมาก หลายที่ยังเป็นไฟล์ pdf หลายที่ยังเป็นกระดาษถ่ายเอกสาร ไม่ได้เป็น machine readable ไม่สามารถใช้งานในรูปแบบ excel ได้  หลายที่ไม่รู้เลยว่า อบจ. มีทรัพย์สินอะไรบ้าง บางอบจ. มีโรงสร้างปุ๋ย บางอบจ. มีสนามกีฬาจังหวัด บางอบจ.มีพิพิธภัณฑ์ดาราศาสตร์ แต่กลับไม่เคยอยู่ในเว็บไซต์ ประชาชนตรวจสอบนโยบายการทำงานไม่ได้”

 

หนึ่งในนโยบายหลักก็คือสร้างรัฐเปิดเผย ทำให้ข้อมูลหลักถูกค้นได้ ต้องถ่ายทอดสดประชุมสภาอบจ. ไม่ใช่แค่เรื่องนี้ เรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นนโยบายกลาง การคมนาคมสาธารณะเป็นนโยบายกลาง เรื่องการดูแลสวัสดิภาพของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นคนแก่ เยาวชน เป็นนโยบายกลาง นอกจากนี้ ยังมีนโยบายพื้นที่ที่มาจากผู้สมัคร บางพื้นที่เป็นเรื่องการบริหารจัดการน้ำ บางพื้นที่ เช่น ภูเก็ต บอกว่า ภูเก็ตตอนนี้จำเป็นต้องมีการจ้างงานในระยะสั้น เพื่อพยุงการจ้างงานไว้ ไม่อย่างนั้นคนจะตกงานกันหมด เพราะภูเก็ตยังได้รับผลกระทบมหาศาลจากการปิดประเทศ 

เพราะฉะนั้น นโยบายจะมีสองส่วนคือ นโยบายกลาง เช่น การสร้างรัฐเปิดเผย เพื่อเพิ่มอำนาจประชาชนในการตรวจสอบทุจริตคอร์รัปชัน ไม่ว่าจะสิ่งแวดล้อม ขยะ การคมนาคมสาธารณะ ส่วนนโยบายพื้นที่ แต่ละพื้นที่จะต่างกัน บางเรื่องเป็นเรื่องคนพิการ บางจังหวัด เช่น อ่างทอง เป็นจังหวัดที่มีคนแก่เยอะ เป็นจังหวัดที่เข้าสู่สังคมสูงวัยสมบูรณ์ มีคนอายุเกิน 60 เกิน 20% ซึ่งเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยโดยสมบูรณ์

ในจังหวัดเหล่านี้ นโยบายคือการสร้างศูนย์บริบาลผู้สูงอายุ และผู้ป่วยติดเตียงในแต่ละอำเภอ บางจังหวัดมีผู้ป่วยที่เป็นโรคไตเรื้อรังเยอะ นโยบายเราคือสร้างศูนย์ฟอกไตขึ้นให้ครบ โดยที่ผู้ป่วยไตเรื้อรังไม่ต้องใช้บริการเอกชน เพราะเหตุผลที่เขาต้องใช้บริการเอกชน เพราะศูนย์ฟอกไตของรัฐต่อคิวนาน แล้วถ้าไปอาทิตย์ละครั้งสองครั้ง อาจต้องไปอาทิตย์ละสามครั้ง ศูนย์ฟอกไตของรัฐอาจไม่เพียงพอ เราก็สร้างเพิ่ม

 

การส่งตัวแทนในนามคณะก้าวหน้า มีวิธีการอย่างไร

 1. ให้ทีมพื้นที่สัมภาษณ์ และคัดกรอง 2. ใช้คณะกรรมการจากส่วนกลางคัดกรอง และ 3. ผมเป็นผู้คัดเลือกคนสุดท้าย

 

 มั่นใจในตัวผู้สมัครมากแค่ไหน เพราะหลังเลือกตั้งเข้ามา สุดท้ายก็มีการเปลี่ยนพรรค ในรอบนี้การเมืองท้องถิ่นสลับซับซ้อนมากขึ้น คณะก้าวหน้าจะดูแลผู้สมัครอย่างไร

 คำถามนี้ดีมากครับ สมัยพรรคอนาคตใหม่ต้องบอกว่าผู้สมัคร ส.ส.ของอนาคตใหม่ ไม่ใช่คนร่ำรวย เราเอาคนธรรมดา เอาแรงงาน เอากรรมกร เกษตรกร คนทำหนัง ทุกคนไม่ได้มีนามสกุลใหญ่โต 

ตอนที่ยุบพรรค ย้ายพรรคออกไป ข้อเสนอที่เราเคยเปิดคลิปให้ดูแล้วคนที่เคยเป็น ส.ส. อนาคตใหม่ ยืนยันได้ว่า มีการยื่นข้อเสนอสูงถึงหลัก 20 – 30 ล้านบาท ต่อให้จิตใจและอุดมการณ์หนักแน่นแค่ไหน พอเจอข้อเสนอที่เป็นเงินมากขนาดนี้ มันก็หวั่นไหว ไม่ใช่แค่เงินก้อนแรก ยังมีค่าใช้จ่ายรายเดือนที่เสนอกันอีก นอกจากรับ 20-30 ล้านบาทแรกเข้าแล้ว ยังมีเงินเดือนให้เดือนละแสนกว่าบาท ดังนั้นหลายคนที่ออกไป จิตใจเขารักประชาธิปไตย แต่พอมาเจอการทัดทานเจอข้อเสนอแบบนี้ก็หวั่นไหวกันบ้าง  เวลาพูดถึงเรื่องนี้ ต้องกลับมาถามคนซื้อมากกว่าว่า ทำไมทำลายประชาธิปไตยด้วยวิธีนี้ ถ้าไม่มีคนซื้อ ไม่มีการหยิบยื่นข้อเสนอแบบนี้ พวกเขาก็ไม่ไป 

 

“อย่าลืมนะครับเวลาเลือกตั้ง ส.ส. ครั้งหนึ่ง เขตหนึ่งใช้ 20-30 ล้านเพื่อซื้อเสียงหัวคะแนนเป็นปกติ แล้วก็ไม่แน่ใจว่าจะได้ ส.ส.หรือไม่ แต่ซื้อ ส.ส. พรรคอนาคตใหม่ได้จำนวน ส.ส. แน่นอน เมื่อ ส.ส. ที่เกิดจากการยุบพรรคอนาคตใหม่ย้ายค่ายไปแล้ว ก็จะเกิดการปรับคณะรัฐมนตรีเพื่อเอาจำนวน ส.ส. ไปต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรีตามมา รอบนี้ผมคงต้องยืนยันว่าคุมไม่ได้ 100 % หรอก แต่อย่างน้อยที่สุดกระบวนการ  2- 3 เรื่องก็คือกระบวนการคัดกรองมันมีมากขึ้น ทุกคนรู้จุดยืนของพวกเราหมดแล้วว่าพวกเราไม่ซื้อสิทธิ์ซื้อเสียง ไม่คอร์รัปชัน และเรามีจุดยืนที่แน่วแน่กับประชาธิปไตย ”

 

ดังนั้น ใครจะเข้ามารอบนี้ มันถูกแรงกดดันของสังคมคัดกรองมาแล้ว ยกตัวอย่างเช่น การถูกโจมตีว่าชังชาติ อยู่เบื้องหลังนักศึกษา รวมไปถึงข้อหาล้มเจ้า ถ้าใครไม่มั่นใจจุดยืน ไม่เหมือนพวกเรา ก็ไม่พร้อมที่จะเข้ามาโดนข้อกล่าวหาเหล่านี้หรอก เพราะฉะนั้น พลังทางสังคมได้คัดกรองคนเข้ามา 

ในอีกด้านหนึ่ง ประสบการณ์การทำงานก็คัดกรองคนเข้ามา หลายคนที่มาลงสมัครเป็นคนธรรมดา ซึ่งร่วมงานกับพรรคมาตั้งแต่วันแรก แต่ไม่ได้ลง ส.ส. เพราะฉะนั้น มั่นใจว่าโอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์แบบนั้น น้อยกว่าครั้งเดิมแน่ ๆ ด้วยกระบวนการคัดสรรที่ดีขึ้น และการผ่านสมรภูมิมาทำให้ทุกคนเข้าใจจุดยืนทางการเมืองของพวกเราชัดเจน

 

คุณบอกว่าอาจจะรับประกันไม่ได้ 100 % ว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นจะเกิดซ้ำอีกหรือไม่ แต่ครั้งนี้มีความมั่นใจมากขึ้น และในฐานะคนที่คัดเลือกผู้สมัครในขั้นสุดท้ายด้วยตัวเองด้วย ความมั่นใจของคุณในนามคณะก้าวหน้าคืออะไร

 อย่างแรกที่สุดคือเชื่อว่าผู้สมัครของเราทุกคนมั่นคง และสนับสนุนการผลักดันให้ประเทศไทยกลับสู่ประชาธิปไตย ก่อนหน้านี้ อาจจะมีหลายคนที่ไม่ได้อยู่ฝั่งประชาธิปไตย แต่เมื่อเห็นว่าการรัฐประหารแก้ปัญหาไม่ได้ เลยเปลี่ยนใจมาสนับสนุน

ผมยืนยันว่าทุกคน ณ วันนี้ สนับสนุนให้เกิดการแก้รัฐธรรมนูญ สนับสนุนให้ประเทศไทยเปลี่ยนผ่านกลับไปสู่ระบอบประชาธิปไตยอย่างสันติ นอกจากนี้ ทุกคนจะไม่มีการซื้อเสียง ยืนยันในแนวทางการทำงานการเมืองสมัยพรรคอนาคตใหม่ และไม่มีการใช้อิทธิพล ไม่มีการเอาคนไปข่มคนอื่น

ส่วนข้อสุดท้าย เมื่อได้รับอำนาจมาแล้วต้องได้รับความไว้วางใจจากประชาชนมาแล้วไม่ทุจริตคอร์รัปชัน นี่คือแนวทางของพวกเราในการทำงานการเมืองท้องถิ่น

 

ในเรื่องของการดูดตัว การย้ายพรรค ถ้าหากได้รับการเลือกตั้งไปแล้ว ทางคณะก้าวหน้ามีกลไกที่เป็นรูปธรรม กฎระเบียบอะไรในการเซ็นสัญญากับผู้สมัครไว้ก่อนไหม

 เขาดูดกันตั้งแต่ตอนนี้แล้วครับ (หัวเราะ)

ส่วนที่จะมีการซื้อผู้สมัครสมาชิกสภาจังหวัด (สจ.) หรือไล่ข่มขู่ สจ. ไม่จำเป็นต้องรอหลังเลือกตั้ง เพราะตอนนี้ก็โดนดึงไป โดนข่มขู่คุกคามไม่รู้กี่คนแล้ว

ผมจะเล่าให้ฟังครับว่า การทำงานการเมืองท้องถิ่นมันเป็นยังไง คือถ้าหากสมาชิกสภา อบจ. คนไหนที่มีศักยภาพมาสมัครในนามของคณะก้าวหน้า สิ่งที่เกิดขึ้นในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา มีวิธีการหลายแบบ ทั้งซื้อ จ่ายเงิน ให้ไม่สมัครในนามคณะก้าวหน้า หรือหลายคนรับเงินเป็นแสนเพื่อซื้อไม่ให้มาลงสมัคร ขณะเดียวกัน หลายคนโดนข่มขู่คุกคาม โดนซื้อให้ย้ายไปฝั่งตรงข้าม มีเหตุการณ์แบบนี้เต็มไปหมด

 กระบวนการพวกนี้อีกแง่หนึ่งมันก็คัดกรองตัวมันเอง ใครที่ไม่หนักแน่นพอมันก็ตกรอบตั้งแต่ไม่เดินเข้าไปสมัคร หรือแค่ประกาศตัวว่าจะทำงานกับพวกเราก็โดนกดขี่ คุกคาม หรือซื้อตัวไปแล้ว 

ผมยกตัวอย่างล่าสุดเมื่อ 2 – 3 วันที่ผ่านมา ผู้สมัคร สจ.ของเราที่จังหวัดพะเยา เพิ่งโดนรถที่ไม่มีป้ายทะเบียนไปข่มขู่ที่บ้าน จังหวัดพะเยาผู้สมัครมีอยู่ 2 คน ก็คือคนของคณะก้าวหน้า และอีกคนหนึ่งคือน้องชายของคุณธรรมนัส รัฐมนตรีที่แบกแป้งไปออสเตรเลีย ดังนั้นที่จังหวัดพะเยาก็ชัดเจน เส้นแบ่งชัดเจนมากว่าเป็นการเมืองเก่ากับการเมืองใหม่ 

 

ถ้าถามถึงความมั่นใจการเลือกตั้งท้องถิ่นที่จะเกิดในเดือนหน้า ทางคณะก้าวหน้าส่งไปประมาณ 42 จังหวัดคิดว่าจะได้รับคะแนนเสียง หรือชนะประมาณกี่จังหวัด

 คาดเดาตอนนี้ยังไม่ได้ เรากำลังลงพื้นที่อยู่ แต่ต้องอธิบายว่า เราเริ่มลงพื้นที่ตั้งแต่ไม่มีใครรู้จักเลยว่า อบจ. คืออะไร ส.อบจ. คืออะไร เลือกตั้งวันที่เท่าไหร่ เราเริ่มทำงานตั้งแต่วันที่ไม่มีกระแส จนทุกวันนี้ เดินทางทุกวัน ก็ได้เห็นการตอบรับในแง่บวกจากประชาชนมากขึ้น หลัง ๆ มานี่ เรามั่นใจมากว่าจังหวัดที่ชนะแน่ ๆ มี 10 จังหวัด เพราะประชาชนต้องการการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะบางจังหวัดที่ผูกขาดการเมืองมาเป็น 10 ปี 

ยกตัวอย่างที่จังหวัดชลบุรี มีการผูกขาดการเมืองมาเป็น 10 ๆ ปีแล้ว เมื่อตระกูลการเมืองที่ผูกขาดในชลบุรีไปเข้าร่วมกับฝ่ายรัฐบาล ก็มีการใช้ ม.44 แต่งตั้งให้เครือญาติตัวเองกลับมานั่งเป็นอบจ.ชลบุรี ชลบุรีมีงบประมาณของ อบจ. เป็นอันดับ 2 ของประเทศ ถ้าผมจำไม่ผิดปีละ 2,800 ล้านบาท แล้วจังหวัดอื่น คนก็อยากเปลี่ยนแปลงเต็มที่ ไม่ว่าที่ไหนที่เราไป จะพะเยา หรือนครสวรรค์ เสียงตอบรับก็ดีขึ้นเรื่อยๆ 

เพราะฉะนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็คือมีความพยายามที่จะหยุดไม่ให้ธนาธรพบปะประชาชน เพราะมีคนกลัวกระแสที่เกิดขึ้นของคณะก้าวหน้าในการทำการเมืองท้องถิ่น

 

เวลาเห็นคุณไปช่วยผู้สมัครหาเสียง มักจะมีภาพของคนออกมาโต้เถียงหรือปะทะ คุณมองปรากฏการณ์นี้อย่างไร  

อย่างแรกก่อน ถ้าลองไปดูในพื้นที่จริง ทุกตลาดที่เราไปเดิน มีคนเข้ามาขอจับมือ มีคนเข้ามายื่นดอกไม้ หรือออกมาเซลฟี่ มาฟังว่าพวกเราจะทำงานการเมืองท้องถิ่นอย่างไร บางที่เข้ามาโอบกอดเลยนะครับ 

หลายครั้ง คนที่ลุกขึ้นมาแสดงความไม่เห็นด้วยกับพวกเรามีแค่คนเดียว อย่างสมุทรสาคร อย่างระยอง ตลาดละ 1 คน ก็ตกเป็นข่าวใหญ่โต

 

“จริง ๆ ถ้าผู้สื่อข่าวว่างเดินตามผมไปดูในตลาด ก็จะเห็นว่ามีคนจำนวนมากสนับสนุน คนที่เดินเข้ามาจับไม้จับมือ ผมนี่เดินตลาดเดินไม่ได้เลยนะครับ มีแต่คนเอาขนมให้เอาน้ำมาให้เพื่อให้กำลังใจ ถ้าเราลองวัดอัตราส่วนแบบนี้ ก็จะเห็นได้ชัดว่าคนที่สนับสนุนมีเยอะกว่าคนที่ต่อต้านอย่างเปิดเผยเยอะมาก” 

 

ปัญหาคือคนที่ต่อต้านอย่างเปิดเผยทำตัวระราน หมายความว่าตะโกนเสียงดัง ทำให้บรรยากาศของการหาเสียงมันลดน้อยถอยลงไป เรื่องพวกนี้ ไม่ทำให้พวกเราย่อท้อ ไม่ทำให้พวกเราเลิกการรณรงค์การเลือกตั้งท้องถิ่นอย่างแน่นอน กำลังใจยังดีครับ

 

การออกมาปะทะกันทางความคิดลักษณะนี้ คุณกลัวว่ามันจะบานปลายไหม แม้กระทั่งการออกมาโต้แย้ง ออกมาเผชิญหน้ากันมันสะท้อนให้เห็นบรรยากาศการเมืองในระดับประเทศด้วยไหมครับ

 เรื่องแรก ถ้าพื้นที่ไหน ตรงไหนมีโอกาส มีเวลาที่เหมาะสมพูดคุยได้ เราก็พยายามที่จะไปพูดคุยว่าการเสนอให้ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ใช่การล้มล้าง เราไม่ได้อยู่เบื้องหลังนักศึกษา เราไม่ได้มีอเมริกาอยู่เบื้องหลัง ข้อกล่าวหาต่าง ๆ เหล่านี้เป็นข้อกล่าวหาที่คนกล่าวหาไม่เคยเอาหลักฐานมาให้ดูว่าใครอยู่เบื้องหลัง

ขณะเดียวกัน นิสิตนักศึกษา ประชาชนที่อยู่ข้างนอก ต่างก็ทำไปด้วยเจตจำนงที่เสรี ซึ่งผมไม่สามารถไปสั่งเขาได้ ดังนั้น ถ้ามีโอกาส มีเวลาเพียงพอ กับคนที่ไม่เห็นด้วยก็จะพยายามเข้าไปพบพูดคุย อธิบายให้ได้มากที่สุด 

เรื่องที่สองคือการลิดรอนสิทธิเสรีภาพในการเดินทาง การลิดรอนสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกของผมมันผิดกฎหมาย  รัฐธรรมนูญรับรองสิทธิเสรีภาพในการรวมตัว สิทธิเสรีภาพในการเดินทางของพวกเราทุกคนไว้ ผมไม่มีปัญหาอะไร ถ้าใครไม่ชอบพวกเรา แล้วจะไปเดินตลาดบอกว่าอย่าเลือกธนาธร เลือกเบอร์นี้สิ เบอร์นี้จงรักภักดี คุณสามารถทำได้ อยากทำอะไรทำเลย ปัญหาก็คืออย่าคุกคามกัน นี่คือสังคมที่คุณอยากเห็นไม่ใช่หรือ นี่คือสังคมที่พูดคุยแลกเปลี่ยนกันด้วยเหตุด้วยผล สังคมที่ความแตกต่างทางความคิด คือความสวยงาม ความแตกต่างทางความคิดไม่ได้นำมาซึ่งการห้ำหั่นกัน 

ดังนั้น ก็เหมือนกับเรื่องอื่น คุณจะเอากัญชง กัญชา อยากให้ถูกกฎหมายไหม คุณอยากเปิดเสรีเหล้าเบียร์ไหม คุณอยากให้มีการเกณฑ์ทหารแบบบังคับต่อไป หรือคุณไม่อยากให้มีการเกณฑ์ทหาร  หรือกลุ่มหนึ่งต้องการให้มีการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ อีกกลุ่มหนึ่งไม่ต้องการ ก็ใช้เหตุผลใช้ข้อเท็จจริงมาอธิบายกับประชาชนด้วยกันและวัดกันผ่านหีบเลือกตั้ง นี่คือกลไกที่พวกเราสร้างขึ้นมาเพื่อไม่ให้เกิดการคุกคาม นี่คือพื้นฐานของสังคมสมัยใหม่ ว่าทุกคนมี 1 สิทธิ์ 1 เสียงเหมือนกัน และอำนาจของพวกเราทุกคนสามารถตัดสินความเปลี่ยนแปลงของสังคมได้อย่างสันติ โดยไม่ต้องเข่นฆ่ากัน

อีกเรื่องคือเดี๋ยวนี้ผมไปที่ไหน ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน เครือข่ายมาบล็อกกันเต็มเลยไม่ให้ชาวบ้านมาพบผม ประชาธิปไตยทุกคนสามารถมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันได้ ไม่มีเรื่องใดเรื่องหนึ่งในสังคมนะครับที่จะทำให้คน 65 ล้านคนเห็นด้วยกันได้  

ส่วนประเด็นสุดท้าย ฝากถึงกลุ่มคนที่โจมตีพวกเราโดยใช้สถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นเครื่องมือโจมตี คือเส้นแบ่งทางการเมืองโจมตีก่อนหน้านี้ ถ้ามองย้อนหลังสัก 10 – 15 ปี มันจะมีหลายเส้นแบ่ง นักการเมืองดี นักการเมืองเลว คนเมือง คนชนบท เสื้อแดง เสื้อเหลือง สถาบันพระมหากษัตริย์ มีหลายเรื่องมาปนอยู่ด้วยกัน  แต่สิ่งที่พวกคุณกำลังผลักดัน ได้ทำให้เส้นแบ่งของความขัดแย้งเหลือเพียงเส้นเดียว ก็คือเส้นแบ่งเรื่องปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ อันตรายนะครับที่จะทำให้สังคมเอาเรื่องนี้มาแบ่งฝักแบ่งฝ่าย การเสนอให้มีการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นข้อเสนอที่เหมาะสมกับยุคสมัย เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน ถ้าใครไม่เห็นด้วย ก็รณรงค์ใช้เหตุผลแลกเปลี่ยนกัน

 

เวลาเห็นคนมาเผชิญหน้ากับคุณ มักจะมีข้อกล่าวหาว่าคุณเป็นผู้อยู่เบื้องหลังของม็อบ หรือวางตัวอยู่ตรงข้ามกับสถาบัน เวลาที่คนออกมาพูดแบบนี้ คุณตอบคำถามเหล่านี้อย่างไร

 ก็เข้าไปอธิบายอย่างที่ผมบอก อธิบายแบบตรงไปตรงมา 

1.การเสนอให้มีการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่เท่ากับการล้มล้าง 2. เรายืนยันในสิทธิเสรีภาพของทุกคน ใครไม่เห็นด้วยกับพวกเรา ก็สามารถรณรงค์ได้ตามปกติ

ถ้าสังเกต พวกเราพวกเราก็ไม่เคยไปคุกคามใครนะครับ ใครไม่เห็นด้วยก็รณรงค์ใช้เหตุผล ใช้สติ ดังนั้น ถ้าเป็นไปตามธรรมชาติทุกที่ก็จะไม่เกิดเหตุ ไม่เกิดอะไรขึ้น ยกเว้นเสียแต่มีความต้องการของกลุ่มคนบางกลุ่มที่จะระรานพวกเราที่จะหยุดการเดินรณรงค์ของพวกเรา เพราะพวกเขารู้ว่ากระแสของคณะก้าวหน้าในการเมืองท้องถิ่นมันกำลังเติบโตขึ้น จึงจำเป็นต้องหยุดพวกเรา

 

รัฐสภาจะพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญที่มีการเสนอหนึ่งในนั้นมีร่างของ iLaw ที่ประชาชนได้ร่วมลงชื่อสนับสนุนแก้ไข คุณมองว่าท่าทีของทางรัฐสภา หรือสภานิติบัญญัติในรอบนี้ จะตอบรับเสียงของประชาชนยังไง

ร่างที่จะเข้าสถาในสัปดาห์นี้มีอยู่ทั้งหมด 7 ร่าง ในการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วยกัน ร่างที่ 1 คือร่างแก้ไขมาตรา 256 ของฝ่ายค้าน ร่างที่ 2 คือร่างแก้ไขมาตรา 256 ของฝ่ายรัฐบาล ร่างที่ 3-6 คือร่างที่เกี่ยวกับเรื่องอำนาจของสว. แล้วก็เรื่องนิรโทษกรรมของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แล้วก็ร่างสุดท้ายร่างที่ 7 คือร่างของ iLaw 

ตอนนี้ มีทั้งหมด 7 ร่าง โดยส่วนตัว ผมเห็นว่าทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล หรือสว. ควรจะรับทั้ง 7 ร่าง รวมถึงของ iLaw โดยร่างของ iLaw ประชาชนร่วมแสนคนร่วมลงชื่อกันมา จะไม่ฟังเสียงของพวกเขาเลยก็คงจะไม่ได้ ดังนั้น เสนอว่ารับทั้ง 7 แล้วไปคุยกันในรายละเอียดในชั้นต่อไป

 

สถานการณ์การเมืองตอนนี้ ดูเหมือนว่าข้อเสนอของผู้ชุมนุมเรียกร้อง 3 ข้อ ทางฝั่งรัฐบาลก็ไม่ได้มีท่าทีตอบรับอะไรเลย คิดว่าถ้าสถานการณ์จะเป็นแบบนี้ต่อไป 

ไม่มีใครรู้นะครับว่าจุดจบของการเดินทางครั้งนี้จะเป็นอย่างไร ผมบอกได้อย่างเดียวว่าอยากจะฝากพ่อแม่พี่น้องประชาชนที่รักความเป็นธรรม ที่รักความประชาธิปไตย อย่าหมดหวังกับการเดินทาง นี่เป็นวินาทีที่พวกเรามีหวังที่สุด นี่เป็นวินาทีที่โอกาสแห่งความเป็นไปได้เปิดกว้างมากที่สุดในหลายทศวรรษ ดังนั้นอย่าปล่อยโอกาสนี้หลุดมือไป ยืนหยัดเคียงข้างต่อสู้เคียงข้างกันในทุกพื้นที่ไม่ว่าจะเป็นในสภา การเมืองท้องถิ่นไม่ว่าจะเป็นนอกสภา บนถนน หรือโลกออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือเรื่องนี้อื่น ต่อสู้เคียงข้างกันในทุกเรื่องในทุกประเด็น

ผมไม่เชื่อว่าพวกเขาจะต่อสู้ จะทัดทานกับกาลเวลาได้ นี่คือการต่อสู้ของยุคสมัย ไม่ช้าก็เร็ว คนหนุ่มสาวที่เรียกร้องต่อสู้อยู่ในวันนี้ จะขึ้นไปเป็นผู้บริหารระดับต้น ระดับกลางขององค์กรต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรสื่อมวลชน ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานราชการ นักศึกษาวันนี้จะกลายเป็นวิศวกรในปีหน้า จะกลายเป็นสถาปนิก กลายเป็นข้าราชการ นายกอบจ. กลายเป็นพนักงานบริษัทต่าง ๆ  นักเรียนในวันนี้จะกลายเป็นเป็นนิสิตนักศึกษา 

 

“คุณต่อสู้ คุณทัดทานกับกาลเวลาไม่ได้ กระแสของการเปลี่ยนแปลงมาถึงแล้ว ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะเปิดรับมัน โอบรับมัน ร่วมสร้างอนาคตของประเทศไทย ที่รวมคนทุกคนเข้าด้วยกัน หรือคุณจะเลือกแข็งขืนต่อสายลมของการเปลี่ยนแปลง ผมคิดว่านี่เป็นโจทย์ใหญ่ ดังนั้นไม่ต้องกลัว ประชาชนที่รักความเป็นธรรม ที่รักประชาธิปไตย เดินหน้าต่อไปให้กำลังใจกัน”

 

อย่างในการเลือกตั้งท้องถิ่นมันง่าย มันคือการกลับบ้านไปเลือกตั้ง คือการลงทุนเพื่อกำหนดอนาคตของประเทศที่ถูกที่สุด เพราะต้นทุนเดียวคือที่คุณเสียคือค่าเดินทาง แต่การหย่อนบัตรของคุณกำหนดอนาคตกำหนดทิศทางของบ้านเมือง กำหนดทิศทางของประเทศได้ สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ยังมีวิธีการอีกเยอะที่จะรณรงค์ร่วมกัน ชักชวนเพื่อนพี่น้อง ชวนเพื่อนที่ทำงาน สิ่งที่เราแต่ละคนช่วยกันทำเหล่านี้ จะทำให้เราสามารถเปลี่ยนแปลงสังคมไทยกลับเป็นประชาธิปไตยอีกครั้งได้ โดยไม่ต้องใช้ความรุนแรง

Tags: , , , ,