เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว Wall Street Journal สำนักข่าวชื่อดังประจำสหรัฐอเมริกาได้ทำการตีพิมพ์ผลการวิจัยภายในจาก Facebook ที่แสดงให้เห็นว่าพวกเขารู้ตัวดีว่าแพลตฟอร์มของตัวเองนั้นส่งผลเสียต่อตัวผู้ใช้มากน้อยเพียงใด
และเมื่อวันอาทิตย์ที่ 3 ตุลาคมที่ผ่านมา ฟรานเซส เฮาเกน (Frances Haugen) ‘ผู้แจ้งเบาะแส’ หรือ Whistleblower ที่แอบนำเอกสารนับพันหน้าไปเปิดโปงให้กับ Wall Street Journal ก็ได้ออกมาทำการเปิดโปงความเน่าเฟะภายในบริษัทโซเชียลมีเดียอันดับหนึ่งของโลกผ่านรายการ ’60 Minutes’ ของ CBS News ว่าเฟซบุ๊กนั้นมีความมุ่งมั่นจะสร้างประสิทธิภาพ และกำไรจากแพลตฟอร์มของตัวเองถึงขั้นที่ว่าพวกเขายอมใช้อัลกอริทึมที่ส่งเสริมถ้อยคำโจมตี (Hate Speech) เลยทีเดียว
ฟรานเซส เฮาเกน คือนักวิทยาศาสตร์ข้อมูล (Data Scientist) ที่ได้รับปริญญาตรีสาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ รวมถึงจบปริญญาโทสาขาบริหารธุรกิจจากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ดอีกด้วย ซึ่งตลอด 15 ปีที่ผ่านมา เธอได้เข้าทำงานในบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำมากมาย เช่น พินเทอเรส และกูเกิ้ล จนมารับตำแหน่ง Product Manager ประจำทีม Civil Integrity ของบริษัท Facebook แต่ก็ลาออกมาในช่วงครึ่งหลังของปี 2021 เนื่องจากว่าเธอรับไม่ได้กับพฤติกรรมต่างๆ ที่เฟซบุ๊กกำลังโกหกผู้ใช้ว่ากำลังพยายามพัฒนาแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของพวกเขาเพื่อให้มันเป็นพื้นที่ที่ดีสำหรับทุกคนจริงๆ
“มันมีความขัดแย้งกันระหว่างสิ่งที่ดีต่อตัวเฟซบุ๊กและสิ่งที่ต่อสังคม ซึ่งครั้งแล้วครั้งเล่าเฟซบุ๊กก็เลือกที่จะพัฒนาตัวเองไปเส้นทางที่ดีต่อตัวบริษัท เช่น การทำเงินให้มากขึ้น” เฮาเกน บอกกับ สก็อตต์ เพลลีย์ (Scott Pelley) พิธีกรรายการ 60 Minutes
นอกจากนี้ เธอยังทำการเผยแพร่แคชข้อมูล (cache) ของการวิจัยภายในบริษัทไปยังสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ (SEC) โดยหวังว่าจะสามารถขับเคลื่อนกฎระเบียบของบริษัทได้ดีขึ้น เนื่องจากเฟซบุ๊กเลือกจะสนใจในการทำกำไรมากกว่าผลประโยชน์ของผู้ใช้
เฮาเกนได้ทำการเปิดเผยถึงวิธีการให้อัลกอริทึมโชว์คอนเทนต์ที่จะกระตุ้นอารมณ์โกรธของผู้ใช้มากขึ้น เนื่องจากคอนเทนต์เหล่านั้นสามารถเพิ่มยอดรีช และยอดเอนเกจเมนต์ได้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาก็เปลี่ยนยอดเหล่านั้นเป็นเม็ดเงินในการโฆษณา โดยในงานวิจัยของพวกเขาแสดงให้เห็นว่าเนื้อหาที่แสดงความเกลียดชัง สร้างความแตกแยก หรือแบ่งข้างแสามารถทำให้ผู้คนโกรธได้ง่ายกว่าอารมณ์อื่นๆ
“Facebook ตระหนักดีว่าหากพวกเขาเปลี่ยนอัลกอริทึมให้ปลอดภัยยิ่งขึ้น ผู้คนจะใช้เวลาบนแพลตฟอร์มน้อยลง พวกเขาจะคลิกโฆษณาน้อยลง พวกเขาจะสร้างรายได้น้อยลง” เฮาเกนกล่าวต่อ
เฮาเกนทำงานอยู่ในแผนกที่เรียกว่า Civic Integrity unit หรือหน่วยหลักคุณธรรมพลเมืองของเฟซบุ๊ก ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบในการสอดส่องหาข้อมูลที่ผิดทางการเมืองบนแพลตฟอร์ม หลังจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเดือนพฤศจิกายน 2020 เสร็จสิ้น เฟซบุ๊กกลับปิดแผนกนี้ลง
“พวกเขาบอกเราว่า กำลังจะปิดแผนก Civic Integrity ลงราวกับว่ามันเป็นเรื่องปกติทั่วไป สรุปเลยก็คือ พวกเขาผ่านการเลือกตั้งมาได้โดยไม่เกิดเหตุจลาจลนั้นแปลว่าหน้าที่ของพวกเขาจบสิ้นแล้ว ซึ่งหลังจากนั้น 2-3 เดือน ก็มีการจลาจลเกิดขึ้น” เฮาเกนกล่าวถึงการปิดตัวของแผนกที่เธอทำงานอยู่ และหลังจากนั้นไม่กี่เดือนก็มีการบุกยึดทำเนียบขาวของกลุ่มผู้สนับสนุนโดนัลด์ ทรัมป์
นอกจากนี้เธอยังได้ทำการเปิดโปงสิ่งอื่นอีกมากมาย เช่น เฟซบุ๊กสามารถแยกแยะ Hate Speech ได้เพียงแค่ 3-5% เท่านั้นแต่กลับเคลมว่าตัวเองมีระบบการตรวจจับความรุนแรง และความเกลียดชังได้ดีที่สุดในโลก หรือแอพพลิเคชันอินสตาแกรมกำลังทำให้เด็กวัยรุ่นหญิงนั้นมีปัญหาสุขภาพจิตที่แย่ลง โดยทำให้เกิดความคิดที่จะฆ่าตัวตายมากขึ้น 13.5% และเกิดพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่ผิดปกติเพิ่มขึ้นด้วย
ถ้าเกิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เฮาเกนนำมาเปิดโปงทั้งหมดเป็นจริงพวกเราทุกคนคงต้องเริ่มพิจารณาการใช้แพลตฟอร์มเฟซบุ๊กกันใหม่อย่างจริงจังกันเสียที
ที่มา
–https://www.theverge.com/2021/10/3/22707860/facebook-whistleblower-leaked-documents-files-regulation
–https://gizmodo.com/9-horrifying-facts-from-the-facebook-whistleblowers-new-1847791184
–https://www.bbc.com/news/technology-58784615
–https://www.youtube.com/watch?v=_Lx5VmAdZSI&ab_channel=60Minutes
Tags: Technology, whistleblower, facebook