เป็นธรรมเนียมส่วนตัวของผู้เขียนไปแล้วว่าช่วงวันเกิดของทุกปี จะต้องพาตัวเองออกเดินทางคนเดียวไปที่ไหนซักแห่ง และปีนี้ก็เป็นปีที่สามแล้ว
เราเลือกจอร์เจีย ประเทศที่ไม่ต้องเตรียมเอกสาร-ยื่นคำร้อง-รออนุมัติให้เสียเวลา เพราะจอร์เจียเป็นประเทศที่นักท่องเที่ยวสัญชาติไทยเที่ยวได้นานที่สุดในโลกโดยไม่ต้องขอวีซ่า (365 วัน)
จอร์เจียที่เรากำลังพูดถึงอยู่นี้ไม่ใช่รัฐทางตะวันออกของสหรัฐอเมริกาที่หลายคนรู้จักกัน แต่เป็นประเทศที่ตั้งอยู่บนจุดตัดระหว่างเอเชียฝั่งตะวันตกและยุโรปฝั่งตะวันออก มีชายฝั่งติดกับทะเลดำ (Black Sea) และอยู่ใต้แนวเทือกเขาคอเคซัส (Caucasus Mountains) ถ้าพอจะอ๋อกันบ้างแล้ว ขอเล่าต่อเลยละกันว่า จอร์เจียมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานถึง 2 พันกว่าปี ผ่านการปกครองโดยชนชาติต่างๆ ตั้งแต่ชาวอาหรับ เติร์ก เปอร์เซียและมองโกล จนกระทั่งในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 จอร์เจียกลายเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต ก่อนช่วงหลังสงครามเย็นจะแยกตัวออกมาเป็นสาธารณรัฐจอร์เจียอย่างที่เห็นทุกวันนี้
ผู้เขียนเตรียมตัวอยู่นานนับหลายเดือน ตั้งแต่การลองทานอาหารจอร์เจียที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ไปจนถึงการหัดเรียนภาษาจอร์เจียด้วยตัวเอง และแล้วเดือนตุลาคมก็มาถึง การเดินทาง 10 วันในจอร์เจียของเราก็เริ่มต้นขึ้น
และเมืองแรกที่เราจะพาทำความรู้จักคือเมืองหลวง ทบิลิซี (Tbilisi)
เราได้ยินชื่อเมืองนี้เป็นครั้งแรกสมัยป. 4 ซึ่งเป็นช่วงบ้าท่องชื่อเมืองหลวงรอบโลกแข่งกับเพื่อนอีกคนหนึ่งในห้องเรียน ใครจะไปคิดฝันว่าชื่อเมืองหลวงที่จำได้ขึ้นใจ (แต่ไม่รู้ว่าอยู่ไหนบนโลก) ตั้งแต่ตอนนั้นจะกลายเป็นจุดหมายปลายทางในวัย 27 ปี
เราเดินทางมาถึงสนามบินทบิลิซีในช่วงบ่ายของวันเสาร์ กว่าจะต่อแถวแลกเงินและซื้อซิมการ์ดโทรศัพท์มือถือได้ก็ปาเข้าไป 4 โมงเย็น ความกลัวว่าจะพลาดช่วงตะวันตกดินของวันแรกทำให้เราเลือกประหยัดเวลาด้วยการเรียกรถแท็กซี่ผ่านแอป Bolt (คล้าย Grab บ้านเรา) เข้าตัวเมืองไปเช็คอินที่โฮสเทลที่จองไว้
เราเลือกพักที่ Valdi Hostel นอกจากคำแนะนำของรุ่นพี่ที่เคยเข้าพักว่าความใส่ใจดูแลดีเป็นที่หนึ่งแล้ว อีกหนึ่งเหตุผลที่เลือกที่นี่คือทำเลของโฮสเทลที่ตั้งอยู่ในย่านเมืองเก่า (Old Tbilisi) ซึ่งเป็นย่านที่คึกคัก เดินทางสะดวก (ใกล้ป้ายรถเมล์และสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน) แถมตั้งอยู่ใกล้สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ หลายแห่ง เช่น โรงละคร พิพิธภัณฑ์ ตลาดของเก่า และจัตุรัสใจกลางเมือง
อ้อ ลืมบอกไปว่าค่าครองชีพของประเทศจอร์เจียนั้นไม่ต่างจากประเทศไทยบ้านเราเท่าไร (เผลอๆ จะถูกกว่าด้วยซ้ำ) เคาะราคาโฮสเทลไปก็แค่คืนละ 200 กว่าบาทเท่านั้นเอง
ห้องนอนชั้นสองของ Valdi Hostel
ไปเยอรมนีต้องลองเบียร์ ไปรัสเซียต้องดื่มว้อดก้า มาจอร์เจียแล้วไม่ได้ลิ้มรสชาติไวน์ อาจถือว่ามาไม่ถึง
การดื่มไวน์เป็นวัฒนธรรมที่คนจอร์เจียสุดแสนจะภูมิใจ ลองชวนคนจอร์เจียคุยเรื่องไวน์ดูสิ รับรองว่าบทสนทนาจะไม่จบง่ายๆ (เผลอๆ คู่สนทนาจะเข้าบ้านไปหยิบขวดไวน์มารินใส่แก้วให้ลองชิมด้วยซ้ำ) ทั้งนี้ก็เพราะจอร์เจียเป็นประเทศที่มีการผลิตไวน์เก่าแก่ติดอันดับโลก (มีการค้นพบโอ่งดินเผาหมักไวน์อายุ 8,000 ปีในหมู่บ้านใกล้ทบิลิซีเมื่อไม่นานมานี้) ต้องขอบคุณสภาพภูมิอากาศอบอุ่นอันเหมาะสมที่เอื้ออำนวยต่อการปลูกองุ่น จะสังเกตเห็นว่าบ้านเรือนส่วนใหญ่ในทบิลิซีปลูกองุ่นไว้ที่ซุ้มประตูหน้าบ้าน หรือแม้แต่ตามผนังอาคารหรือระเบียงห้องเองก็เป็นที่ๆ เถาวัลย์องุ่นเกาะเลื้อยและเจริญเติบโตได้เป็นอย่างดี
อย่างที่บอกไปว่าค่าครองชีพในประเทศจอร์เจียนั้นถูกอยู่แล้ว ยิ่งเป็นเรื่องไวน์ของดีบ้านเขา ก็ยิ่งราคาสบายกระเป๋าเข้าไปใหญ่ ในบาร์ไวน์หนึ่งๆ เราเจอตั้งแต่ไวน์ขาวเริ่มต้นเพียงแก้วละ 30 บาท ในขณะที่ไวน์คุณภาพดีที่สุดในร้านราคาเพียง 150 บาทต่อแก้ว อยู่จอร์เจีย 10 วัน แทบจะดื่มไวน์ทุกมื้อแทนน้ำเปล่าก็ว่าได้
ใครที่ชื่นชอบสถาปัตยกรรม คงจะหลงรักทบิลิซีได้ไม่ยาก ดินแดนร่ำรวยอารยธรรมและประวัติศาสตร์แห่งนี้เต็มไปด้วยอาคารบ้านเรือนทั้งเก่าและใหม่ และมีการตกแต่งหลากหลายรูปแบบตั้งแต่ศิลปะสไตล์โกธิค อาร์ตนูโว ไปจนถึงนีโอคลาสสิกและโมเดิร์น บ้างก็ผสมผสานกันจนเกิดเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของจอร์เจียที่ยากจะพบในที่อื่น
เรียกว่า จะเดินไปไหน อาจต้องเผื่อเวลาไว้หยุดถ่ายรูป แวะตรอกโน้นซอยนี้ ชื่นชมตึกรามบ้านช่องตามข้างทางอยู่เป็นระยะ
เช้าวันรุ่งขึ้น เราทานมื้อเช้าที่โฮสเทลก่อนจะออกเดินเตร็ดเตร่ชมกิจกรรมยามเช้าของผู้คน ไม่กี่นาทีต่อมาเราก็มาถึงแลนด์มาร์กแห่งแรก นั่นคือ สะพานแห่งสันติภาพ (The Bridge of Peace) สะพานโค้งทรงแปลกตาที่พาดผ่านแม่น้ำ Mtkvari ทำหน้าที่เชื่อมต่อย่านเมืองเก่ากับเมืองใหม่ของทบิลิซี สะพานแห่งนี้มีโครงสร้างทำจากเหล็กกล้าและแก้วกระจกใส ออกแบบโดยสถาปนิกชาวอิตาเลียนชื่อ Michele De Lucchi และเปิดใช้งานเป็นครั้งแรกในปีค.ศ. 2010
แม้จะเป็นเช้าวันอาทิตย์ แต่นักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยเริ่มทยอยกันมาโพสท่าถ่ายรูปกับสะพานแห่งนี้ หากใครมีโอกาสได้มาเยือนหลังพระอาทิตย์ตกดินเป็นต้นไป ก็สามารถชมทัศนียภาพของสะพานที่ประดับประดาไปด้วยไฟ LED หลากสีส่องสว่างสะท้อนแม่น้ำเบื้องล่างได้อีกด้วย
เจ้าของโฮสเทลเล่าให้ฟังแบบขำๆ ว่า แม้เดิมทีสะพานแห่งสันติภาพจะถูกออกแบบให้มีส่วนเว้าโค้งคล้ายคันศร แต่คนในทบิลิซีกลับตั้งชื่อเล่นให้มันว่า ‘the pad’ เพราะลักษณะของมันดูคล้ายผ้าอนามัยของผู้หญิงมากกว่า
เมืองทบิลิซีจากมุมสูงเมื่อถ่ายจากบนรถกระเช้า
เราเดินข้ามสะพานไปยังฝั่งตัวเมืองใหม่ เข้าสู่ Rike Park สวนสาธารณะใจกลางเมืองที่มีทั้งลานน้ำพุ คาเฟ่น่ารักๆ และม้านั่งท่ามกลางต้นไม้ใบหญ้าเขียวชอุ่มไว้พักผ่อนหย่อนใจ หากมองไปทางด้านซ้าย เชื่อว่าหลายคนต้องสะดุดตากับอาคารขนาดใหญ่รูปร่างคล้ายสองอุโมงค์ยักษ์ สิ่งก่อสร้างที่ว่าคือ Rike Park Concert Hall & Exhibition Center ซึ่งออกแบบโดย Studio Fuksas บริษัทสถาปนิกสัญชาติอิตาลี โดยทำหน้าที่เป็นห้องจัดแสดงนิทรรศการ และโรงละครที่สามารถจุได้กว่า 560 ที่นั่ง
Rike Park ถ่ายจากจุดชมวิว
Rike Park Concert Hall & Exhibition Center
และแล้วก็มาถึงอีกหนึ่งกิจกรรมยอดฮิตของนักท่องเที่ยวในทบิลิซี ที่ไม่ว่าอย่างไรก็ควรได้นั่งรถกระเช้าไฟฟ้าชมเมืองแบบ 360 องศาสักครั้ง เราเดินดุ่มๆ ไปที่สถานีรถกระเช้าและจ่ายค่าตั๋ว 2.5 ลารี (25 บาท) หย่อนก้นนั่งลงในกระเช้าเพียงไม่กี่อึดใจ พาหนะก็พาเราทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าเหนือใจกลางเมืองทบิลิซี และมุ่งหน้าตรงไปยังป้อมนาริกาลา (Narikala Fortress)
ป้อมนาริกาลาคือป้อมปราการหินขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขา ประวัติของป้อมดังกล่าวนั้นย้อนไปไกลถึงศตวรรษที่ 4 ซึ่งเป็นช่วงที่ป้อมถูกสร้างขึ้นเพื่อปกป้องกรุงทบิลิซีจากการรุกรานของศัตรู ผ่านกาลเวลาและนักปกครองหลายยุคหลากสมัยจนเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวในปี 1827 ส่งผลให้ป้อมเกิดความเสียหาย ทั้งยังทำให้บางส่วนต้องถูกรื้อทำลายออกไปอย่างที่เห็นทุกวันนี้
ซากปรักหักพังของป้อมนาริกาลา (Narikala Fortress)
โบสถ์เซนต์นิโคลัส (St.Nicholas Church) ภายในป้อมนาริกาลา
หากเดินต่อจากป้อมนาริกาลาไปทางทิศตะวันตก จะพบอนุสาวรีย์พระแม่แห่งจอร์เจีย (Mother of Georgia หรือ Kartlis Deda) ที่ถูกสร้างขึ้นในปี 1958 เพื่อเฉลิมฉลองในโอกาสที่กรุงทบิลิซีมีอายุครบ 1,500 ปี อนุสาวรีย์ดังกล่าวเป็นประติมากรรมทำจากอลูมิเนียมสูง 20 เมตร มีรูปร่างเป็นสตรีสวมชุดพื้นเมือง มือขวาถือดาบ แสดงความพร้อมเผชิญหน้ากับศัตรูเมื่อถูกโจมตี ส่วนมือซ้ายถือแก้วไวน์ แสดงถึงการต้อนรับด้วยความยินดีเมื่อมิตรมาเยือน (เชื่อแล้วว่าของดีประเทศนี้คือไวน์จริงๆ)
หลังถ่ายรูปเมืองทบิลิซีจากด้านบนจนหนำใจ เราเดินลัดเลาะลงเนินเขามายังจุดศูนย์กลางของโรงอาบน้ำโบราณ นับว่าเป็นย่านที่คึกคักเป็นพิเศษเพราะมีนักท่องเที่ยวแห่กันมาถ่ายรูป จิบกาแฟ (หรือไวน์) และใช้บริการแช่บ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติ ซึ่งอุดมไปด้วยกำมะถันและแร่ธาตุอื่นๆ ที่สามารถช่วยบำรุงผิวพรรณและรักษาโรคผิวหนังบางชนิดได้ (พนักงานโรงอาบน้ำโฆษณาสรรพคุณมาอย่างนั้น)
ย่านโรงอาบน้ำโบราณในทบิลิซี
เป็นเวลาบ่ายคล้อย เราเดินผ่านตรอกซอกซอยมาหยุดที่อีกหนึ่งแลนด์มาร์กสำคัญ นั่นคือ หอนาฬิกาเอียง (The Leaning Tower of Tbilisi) ที่ตั้งอยู่ติดกับโรงละครหุ่นกระบอก Rezo Gabriadze Marionette Theater โดยคนออกแบบและสร้างหอนาฬิกาบิดเบี้ยวดังกล่าวก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็น Rezo Gabriadze เจ้าของโรงละครนั่นเอง
ทุกๆ ชั่วโมง เมื่อเข็มนาทีเลื่อนไปชี้ที่เลขโรมัน XII (12) รูปปั้นนางฟ้าที่อยู่ชั้นบนสุดของหอนาฬิกาจะเปิดประตูออกมาทักทายผู้คนที่ระเบียง ก่อนจะใช้ค้อนคู่ใจตีระฆังดังเหง่งหง่างบอกเวลา ชวนบรรดานักท่องเที่ยวให้หยิบกล้องขึ้นมาถ่ายวิดีโอเป็นที่ระลึก ใครที่พลาดจังหวะนี้ไปก็ต้องรอชมในชั่วโมงถัดไป
หอนาฬิกาเอียง (The Leaning Tower of Tbilisi) เวลา 16:00น. นักท่องเที่ยวรอดูนางฟ้าออกมาตีระฆังบอกเวลา
ตะวันใกล้ลับฟ้า แสงแดดสนธยาสาดใส่มหาวิหารศักดิ์สิทธิ์ของทบิลิซี (Holy Trinity Cathedral of Tbilisi) จนทั้งตัวโบสถ์ฉาบไปด้วยสีเหลืองส้มอมทอง โดดเด่นสง่างามเกินใครในทบิลิซี มหาวิหารแห่งนี้เป็นโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในจอร์เจีย และยังเป็นโบสถ์อีสเทิร์นออร์โธด็อกซ์ (Eastern Orthodox) ที่สูงติดอันดับต้นๆ ของโลก โดยใช้เวลาสร้างนานเกือบ 10 ปี (ปี 1995 – 2004) เลยทีเดียว
ด้วยขนาดที่สูงใหญ่ทำให้เราสามารถมองเห็นตัววิหารได้จากแทบทุกจุดของเมืองทบิลิซี หลังพระอาทิตย์ตกดิน จะมีการเปิดไฟสีเหลืองอร่ามส่องไปที่ตัวโบสถ์ ยิ่งเพิ่มความสวยงามและโรแมนติกไม่แพ้ตอนกลางวัน
มหาวิหารศักดิ์สิทธิ์ของทบิลิซี (Holy Trinity Cathedral of Tbilisi)
แม้ในยามค่ำคืน ทบิลิซีก็ยังมีกิจกรรมอีกมากมายให้นักท่องเที่ยวทุกวัยทุกไลฟ์สไตล์ได้เลือกสรร ตั้งแต่กิจกรรมนั่งเรือล่องไปตามแม่น้ำ ตีตั๋วดูละครโอเปร่า หรือแม้แต่นั่งรถราง (Funicular) ขึ้นไป Mtatsminda Park ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่สูงที่สุดของทบิลิซี (ระดับความสูง 770 เมตร)
นอกจากนี้ก็ยังมีร้านกินดื่มอีกนับไม่ถ้วน จะเลือกนั่งจิบไวน์แบบชิลๆ ก็ดี หรือดื่มไวน์จับคู่กับอาหารพื้นเมืองก็ได้เช่นกัน ใครเป็นนักดื่มหน้าใหม่ก็ไม่ต้องรู้สึกเขินอาย เพราะร้านส่วนใหญ่จะมีพนักงานคอยแนะนำไวน์ชนิดที่เข้ากันดีกับอาหารที่เราสั่ง พร้อมวิธีการรับประทานที่จะช่วยเพิ่มอรรถรสให้มื้ออาหารของเรามากขึ้นทวีคูณ
วิวเมืองทบิลิซีในยามค่ำคืนเมื่อมองจาก Mtatsminda Park ซึ่งสามารถขึ้นมาได้ด้วยรถราง (funicular)
ในบทความหน้า เราจะกระโดดขึ้นรถไฟตู้นอน เดินทางออกจากทบิลิซี มุ่งหน้าไปยังเมืองเมสเทีย (Mestia) ดินแดนมรดกโลกที่ฝังตัวอยู่ในเทือกเขาคอเคซัส