ชินทาโร่ เคโกะ (Shintaro Kago) เจ้าพ่อการ์ตูนสุดพิสดารหลอนจิต ที่ทั้งเปี่ยมแรงบันดาลใจ และน่าขนหัวลุกปนขยะแขยงไปพร้อมๆ กัน ศิลปินการ์ตูนแนวกุโระมังงะ (Guro Manga) หรือการ์ตูนสายดาร์กชาวญี่ปุ่น ผู้นี้ นอกจากจะมีชื่อเสียงโด่งดังในประเทศญี่ปุ่นแล้ว ผลงานของเขาเป็นที่นิยมในหมู่ผู้หลงใหลความงามอันแปลกประหลาดมืดหม่นทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นในเอเชียและยุโรป อาทิ ไต้หวัน ฮ่องกง เกาหลี อิตาลี และฝรั่งเศส รวมถึงในประเทศไทยด้วย
ผลงานของเขามีเอกลักษณ์โดดเด่นตรงความแปลกประหลาดพิลึกพิลั่นหลุดโลก เต็มเปี่ยมไปด้วยความดาร์กสุดขั้ว การ์ตูนของเขาแสดงออกถึงจิตใต้สำนึกของเขาที่มีต่อสังคม เสียดสีวิพากษ์วิจารณ์ความเสื่อมโทรมทางศีลธรรม ตีแผ่ความป่วยไข้ทางจิต และด้านมืดของจิตใจมนุษย์ ด้วยผลงานที่เต็มไปด้วยความแปลกประหลาดพิสดาร น่าสยดสยอง หลอกหลอนป่วนจิต ความบ้าคลั่งไร้ตรรกะ รุนแรงเลือดสาด ตาแหกปลิ้น สมองไหล ไส้ทะลัก และความวิปริตวิตถารทางเพศ
ในช่วงวัยเด็ก ชินทาโร่ชอบเฝ้าจอทีวีดูหนังของคณะตลก มอนตี้ ไพธอน (Monty Python) ที่มีส่วนในการฟูมฟักอารมณ์ขันตกขอบอันเหนือจริงและลักลั่นให้กับเขาอย่างมาก เขามักจะกล่าวว่า “ผมมักจะหัวเราะให้กับเรื่องที่คนทั่วไปรู้สึกว่าไม่ควรที่จะขบขันอย่างมาก”
ช่วงอายุ 12 ปี เขาเริ่มวาดการ์ตูนมังงะที่กลายเป็นลายเซ็นเฉพาะตัวของเขาในเวลาต่อมา ถึงแม้ตอนเด็กเขาจะเคยมีความฝันว่าอยากเป็นผู้กำกับหนัง แต่เขาก็มักถ่ายทอดความคิดของตัวเองออกมาเป็นภาพวาดเสมอ จนเมื่อเขาเข้าชมรมการ์ตูนมังงะในโรงเรียนและพบเด็กคนอื่นๆ มักจะวาดการ์ตูนที่เน้นเรื่องราวดีงามเปี่ยมคุณธรรม เขาเลยตัดสินใจหันมาทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามด้วยการเปิดเผยอารมณ์ขันอันมืดหม่นออกมาให้คนอื่นเห็นผ่านงานการ์ตูนของเขา
ชินทาโร่ได้แรงบันดาลใจจากศิลปินการ์ตูนชั้นครูอย่าง มิซูกิ ชิเงรุ (ผู้วาด อสูรน้อย คิทาโร่), ฟูจิโกะ ฟูจิโอะ (ผู้วาด โดราเอมอน), โอโทโมะ คัตสึฮิโระ (ผู้กำกับอนิเมะ Akira) แต่สไตล์ที่เขาโปรดปรานมากที่สุดคือ Ero guro nansensu (Erotic grotesque nonsense) หรือกระแสเคลื่อนไหวของการ์ตูนมังงะของญี่ปุ่น ที่มุ่งเน้นในการนำเสนอประเด็นเกี่ยวกับเรื่องอีโรติก ความวิปริตทางเพศ และความเสื่อมทรามของมนุษย์ ที่ถือกำเนิดขึ้นในช่วงยุค 1930 เพื่อเป็นการการต่อต้านวัฒนธรรมกระแสหลักของญี่ปุ่น ซึ่งถือเป็นงานที่แปลกแหวกขนบและอื้อฉาวในวงการการ์ตูนมังงะญี่ปุ่นในยุคสมัยนั้น จนทำให้ศิลปินมังงะสายดาร์กในยุคนั้นต้องดิ้นรนทำงานอย่างยากลำบาก ท่ามกลางกระแสต่อต้านของสังคมรอบข้าว แม้แต่ตัวชินทาโร่เองก็เคยถูกคนรอบข้างแนะนำให้เลิกวาดการ์ตูนทำนองนี้อยู่บ่อยๆ
ถึงแม้จะเกิดและเติบโตในครอบครัวศิลปิน ที่มีพ่อเป็นนักวาดภาพประกอบผู้เชี่ยวชาญการวาดภาพสีน้ำมัน แต่ในตอนแรกๆ ชินทาโร่ก็รู้สึกกระดากใจที่จะให้ทางบ้านได้เห็นผลงานของเขา เพราะเขาคิดว่ามันอาจจะรุนแรงและยั่วยุเกินไปสำหรับครอบครัวของเขา
แต่ในปัจจุบันเขาคิดไปในทางตรงกันข้าม ด้วยความที่เขารู้ดีว่าผลงานสร้างสรรค์อันวิปริตพิสดารของตัวเองไม่ใช่งานที่เหมาะสำหรับทุกคน แต่ในขณะเดียวกันก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่ชื่นชอบผลงานของเขามากพอที่จะทำให้เขาทำงานในแนวนี้ต่อไปได้ และเมื่อเขาเห็นว่ามีคนตอบสนองต่อผลงานของเขาด้วยท่าทีขยะแขยง เขากลับรู้สึกว่ามันเป็นเหมือนคำชมเสียด้วยซ้ำไป
“เมื่อคนดูงานของผมแล้วรู้สึกช็อคหรือหวาดกลัว นั้นแสดงว่าผมมาถูกทางแล้ว ในการทำงานศิลปะคุณต้องทำในสิ่งที่ปกติคนทั่วๆ ไปไม่กล้าทำให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้”
ชินทาโร่กล่าวว่า ปกติงานของเขาตั้งใจทำเพื่อผู้ชมชาวญี่ปุ่นเท่านั้น เขาไม่รู้สึกว่างานแบบนี้จะเหมาะกับชาวต่างชาติเลยแม้แต่น้อย แต่สื่อออนไลน์และอินเทอร์เน็ตก็เป็นช่องทางที่ทำให้งานของเขาเผยแพร่ไปสู่ผู้ชมในวงกว้างอย่างที่เขาไม่เคยนึกฝัน ทำให้งานการ์ตูนและภาพวาดสุดดาร์กของเขาเผยแพร่ไปในหลายประเทศทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นอิตาลี ฝรั่งเศส สเปน กรีซ หรือแม้แต่ในประเทศไทยเองก็ตาม
นอกจากงานสุดวิปริตพิสดารแล้ว เขายังวาดการ์ตูนมังงะแนวไซไฟเชิงทดลองที่เต็มไปด้วยความแปลกประหลาดมหัศจรรย์ โดยมักจะทลายกำแพงกั้นระหว่างตัวละครในการ์ตูนและผู้อ่าน และมักจะทดลองกับเทคนิคการแบ่งช่องและการจัดหน้าหนังสือการ์ตูนอย่างพิลึกสุดโต่ง เพื่อกระตุ้นเร้าผู้ชมด้วยอารมณ์อันพิลึกพิลั่น
เขามีนิทรรศการแสดงผลงานทั้งในญี่ปุ่นและหลายประเทศทั่วโลก และยังออกแบบปกอัลบั้มให้ศิลปินฮิปฮ็อปอเมริกัน Flying Lotus ในปี 2014 อย่าง You’re Dead! แถมยังวาดภาพประกอบเพลงทุกเพลงในอัลบั้มนี้อีกด้วย
ชินทาโร่ไม่คิดว่าตัวเองเป็นศิลปินที่ประสบความสำเร็จอะไร เขาคิดว่ายังมีหนทางอีกยาวไกลที่ต้องเดิน และหวังว่าจะได้ย่างก้าวไปสู่พรมแดนใหม่ๆ ในการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการทำงานประติมากรรม หรือแม้แต่ภาพยนตร์ แต่ตอนนี้เขาขอมุ่งมั่นกับการสร้างความช็อคให้กับผู้ชมด้วยการ์ตูนของเขาก่อนก็แล้วกัน
“คำชมที่ดีที่สุดที่ผมได้รับจากผู้ชมก็คือ เมื่อเขาเห็นผลงานของผมแล้วคิดว่า มันเป็นไอเดียที่น่าทึ่ง และอดสงสัยไม่ได้ว่า มีใครในโลกนี้ที่วาดภาพแบบนี้ออกมาด้วยเหรอวะ! นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ผมมีความสุขเอามากๆ”
และในครั้งนี้ก็มีข่าวดีมาฝากแฟนๆ ชาวไทยของเจ้าพ่อการ์ตูนสุดดาร์กผู้นี้ นั่นก็คือ ชินทาโร่ เคโกะ กำลังมีงานแสดงเดี่ยวของเขาที่กรุงเทพฯ ที่นำเอาผลงานสุดพิสดารหลอนจิตของเขามาแสดงให้แฟนๆ ชาวไทยได้สัมผัสกับผลงานของเขาอย่างใกล้ชิด ในนิทรรศการที่มีชื่อว่า「Strange collection」ที่นอกจากจะมีทั้งผลงานภาพวาดการ์ตูนสีสุดพิสดารพันลึกหลากหลายชิ้น ไปจนถึงภาพวาดต้นฉบับการ์ตูนช่องชาวดำสุดดาร์กที่หาดูได้ยากแล้ว ยังมีการจำหน่ายภาพพิมพ์, หนังสือภาพ, โปสการ์ด, เข็มกลัด และของที่ระลึกต่างๆ ที่ทำขึ้นจากผลงานของเขาในงานอีกด้วย
และในวันที่ 28 – 29 กันยายนที่ผ่านมา ศิลปินการ์ตูนสุดดาร์กผู้นี้ยังเดินทางมาพบปะเหล่าบรรดาแฟนานุแฟนเพื่อแจกลายเซ็นแถมยังลงมือวาดภาพพอร์ตเทรตสุดพิเศษโดยมีแฟนๆ ผู้เข้าชมงานเป็นแบบวาดภาพอีกด้วย
ด้วยความที่เรามีโอกาสได้พูดคุยกับศิลปินผู้นี้มาพอหอมปากหอมคอ (โดยมีคิวเรเตอร์หนุ่ม จอห์น เคลวิน หว่อง (John Calvin Wang) แห่งแกลเลอรี 靜月 Moon of Silence ฮ่องกง อาสาเป็นล่ามแปลภาษาญี่ปุ่นให้) เลยขอหยิบเอาบทสนทนามาของเขามาเป็นของฝากเรียกน้ำย่อยให้ผู้อ่านก่อนไปชมนิทรรศการนี้ก็แล้วกัน.
คุณเริ่มวาดการ์ตูนตั้งแต่เมื่อไหร่
ผมเริ่มต้นวาดการ์ตูนตั้งแต่ตอนเรียนอยู่ชั้นประถม ตอนนั้นผมวาดการ์ตูนเยอะมาก พอตอนมัธยมก็เริ่มวาดการ์ตูนสไตล์โหดๆ ที่ร่างกายคนถูกตัดเป็นส่วนๆ แบบนี้ พออายุ 19 ปี ผมก็เริ่มเป็นศิลปินมังงะ
ทำไมคุณถึงสนใจวาดการ์ตูนสไตล์ฮาร์ดคอร์แบบนี้
ผมก็แค่ชอบวาดแบบนี้ ไม่มีเหตุผลอะไร (หัวเราะ)
คุณได้แรงบันดาลใจในการทำงานมาจากอะไรบ้าง ดูท่าทางคุณจะชอบดูหนังไม่เบา (ที่ถามเพราะสังเกตเห็นว่าเขาใส่เสื้อยืดลายหนัง The Exorcist)
ใช่ ผมรักหนังมาก! โดยเฉพาะหนังสยองขวัญ ผมดูหนังสยองขวัญของทุกประเทศทั่วโลก ผมชอบซื้อดีวีดีหนังสยองขวัญเก็บเอาไว้ ทั้งหนังฝรั่ง หนังจีน ฮ่องกง ผมชอบหนังฮ่องกงเรื่อง “ผีกัดอย่ากัดตอบ” มากๆ ผมยังชอบดูหนังผีไทยเอามากๆ ด้วย ผมเพิ่งได้ดูหนังผีไทยเรื่องหนึ่งมา (ก้มลงไปกดกูเกิ้ลในมือถือสักพัก ก็โชว์รูปโปสเตอร์หนัง แสงกระสือ ให้เราดู) ผมชอบเรื่องนี้มากๆ เลย
จะว่าไปผมก็ได้แรงบันดาลใจในการวาดการ์ตูนมาจากการดูหนังพวกนี้แหละ พอผมดูหนังมากๆ ผมก็จำหนังเหล่านั้นเอาไว้ แต่ผมจะไม่เอามาวาดเป็นการ์ตูนในทันทีนะ แต่จะเก็บเอาไว้เป็นข้อมูลในหัว เหมือนเป็นคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์วิกลจริตน่ะนะ (หัวเราะ) นอกจากนั้นก็ได้แรงบันดาลใจจากสิ่งต่างๆ รอบตัวที่ผมเห็นและชอบ แล้วก็เก็บข้อมูลเอาไว้ในหัว ส่วนงานเพ้นติ้ง ผมทำโดยไม่มีหัวข้อและไม่มีเหตุผล ผมวาดในสิ่งที่ผมชอบออกมาอย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลอะไรรองรับ อ้อ ผมชอบการ์ตูนมังงะเรื่อง Akira มากๆ ด้วย
ระหว่างการ์ตูนมังงะกับงานเพ้นติ้งคุณทำอะไรมากกว่ากัน
อ้า! ตอบยากนะ ผมวาดการ์ตูนมังงะมา 50 เล่มแล้ว ตอนนี้ผมกำลังวาดการ์ตูนเล่มใหม่ให้สำนักพิมพ์ของอิตาลี เป็นงานที่หนักมาก กำลังปั่นงานอยู่ (หัวเราะ)
เป็นการ์ตูนภาษาอิตาเลียนอย่างเดียวเลยเหรอ
ตอนนี้ทำออกมาเป็นภาษาอิตาเลียนก่อน หลังจากนั้นก็อาจจะแปลเป็นภาษาอื่นๆ ก็ได้
คุณเคยมีงานการ์ตูนแปลเป็นภาษาไทยบ้างไหม
ยังไม่เคยมี ถ้ามีสำนักพิมพ์ไหนอยากจะทำก็ยินดีนะ (หัวเราะ)
คนญี่ปุ่นคิดยังไงกับงานการ์ตูนแบบนี้ของคุณบ้าง
ในประเทศอื่นที่ไม่ใช่ญี่ปุ่นจะบอกว่างานของผมเป็นงานการ์ตูนสยองขวัญ แต่ในญี่ปุ่นจะไม่บอกว่างานของผมเป็นการ์ตูนสยองขวัญแบบเดียวกับงานของ จุนจิ อิโต้ พวกเขาบอกว่างานของผมมีอะไรบางอย่างที่มากไปกว่าความสยองขวัญ เพราะในญี่ปุ่นมีการ์ตูนหลาย genre (ประเภท) มากๆ ที่นั่นจัดให้การ์ตูนของผมเป็นงานแบบเซอร์เรียลลิสต์ (Surreal manga) มากกว่า และผมเองก็ได้แรงบันดาลใจมากจากงานศิลปะเซอร์เรียลลิสม์ (Surrealism) ด้วยเหมือนกัน
คุณวาดการ์ตูนโหดๆ แบบนี้ เคยมีปัญหาเรื่องโดนเซ็นเซอร์ที่ไหนบ้างไหม
สำหรับที่ญี่ปุ่น ค่อนข้างมีอิสระในการทำงานสำหรับผมนะ เพราะการ์ตูนของผมบางเล่มก็ตีพิมพ์มาตั้งแต่เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ลองนึกดูว่าเมื่อ 20 ปี ที่ญี่ปุ่นก็อนุญาตให้ทำอะไรแบบนี้แล้วน่ะ ถึงจะมีบางคนจะบอกว่าเนื้อหารุนแรงก็เถอะ แต่ก็ไม่เคยมีปัญหาอะไร
ถึงตรงนี้ จอห์น คิวเรเตอร์ชาวฮ่องกงที่ช่วยเป็นล่ามให้เราเสริมว่า “อย่างตอนที่ไปแสดงงานที่ฮ่องกงก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะก่อนหน้านี้ฮ่องกงเองก็มีเสรีภาพกว่านี้ (แอบแขวะ) เราเคยมีปัญหาที่เดียวคือตอนที่เราจะไปแสดงงานที่เซี่ยงไฮ้ ทางการจีนเข้ามาตรวจสอบผลงานของเรา และห้ามแสดงงานหลายชิ้น ชิ้นนี้ก็ไม่ได้ ชิ้นนั้นก็ไม่ได้ เราก็เลยตัดสินใจยกเลิกการแสดงที่เซี่ยงไฮ้ แล้วมาแสดงที่เมืองไทยแทน ที่นี่ไม่มีปัญหา โอเคเลยยย (หัวเราะ) เพราะเจ้าของแกลเลอรีเป็นคนฮ่องกง และเป็นแฟนตัวยงของ ชินทาโร่ เคโกะ ตอนเขาไปดูงานของชินทาโร่ที่แสดงในแกลเลอรีของผมที่ฮ่องกง ก็ถามผมว่า เขาจะมาแสดงงานเมืองไทยด้วยได้ไหม ผมก็บอกว่า โอเค ไปเลย! แล้วเราก็มาแสดงงานในเมืองไทยนี่แหละ”
ช่วงนี้ที่ฮ่องกงมีสถานการณ์รุนแรงทางการเมือง ในประเทศไทยเองก็มีสถานการณ์ทางการเมืองที่ลักลั่นหลุดโลกเช่นเดียวกัน คุณคิดจะหยิบเอาประเด็นเหล่านี้มาวาดในการ์ตูนของคุณบ้างไหม
ปกติผมไม่ได้จงใจวาดการ์ตูนในประเด็นไหนโดยเฉพาะ ผมวาดตามความรู้สึกมากกว่า ถ้าผมอยาก ผมก็จะวาด ถ้าไม่อยาก ผมก็จะไม่วาด อย่างเรื่องการเมืองเนี่ย ถ้าผมจะวาด ผมจะไม่วาดออกมาแบบเต็ม 100% แต่ผมจะได้แรงบันดาลใจมาแบบทางอ้อมมากกว่า อย่างเช่นผมอาจจะวาดโลกอนาคตของฮ่องกง หรือกรุงเทพออกมาเป็นการ์ตูนไซไฟดาร์กๆ อะไรแบบนี้มากกว่า
ก่อนที่จะวาดการ์ตูน คุณเคยเรียนศิลปะมาก่อนไหม หรือคุณหัดวาดด้วยตัวเอง
ผมไม่ได้เรียนศิลปะมาก่อน ผมหัดวาดด้วยตัวเอง ตั้งแต่จำความได้ผมก็วาดรูปมาตลอดแล้ว
แล้วคุณฝึกฝนเรียนรู้เทคนิคการวาดภาพและการ์ตูนเหล่านี้ได้ยังไง
ผมก็เอาแต่ วาดภาพๆๆๆ ไม่หยุด อย่างที่บอกว่าผมวาดการ์ตูนมาตั้งแต่ตอนประถมแล้ว พอตอนมัธยมผมก็เริ่มวาดการ์ตูนโหดๆ ไส้ทะลัก เลือดสาดกระเซ็น ตอนเรียนมหาวิทยาลัย ผมเข้าเรียนด้านอักษรศาสตร์ แต่ก็ไม่ได้ไปเรียนหรอก เพราะมัวแต่วาดการ์ตูนอย่างเดียว (หัวเราะ)
นี่เป็นครั้งแรกที่คุณมาแสดงงานในประเทศไทยไหม
ใช่ ก่อนหน้านี้ผมเคยแสดงงานที่ฮ่องกงมาแล้วสองครั้ง แล้วก็เดินทางมาแสดงงานที่นี่ หลังจากนี้ก็จะไปแสดงงานในอีกหลายประเทศทั่วโลก.
ขอบคุณแกลเลอรี 靜月 Moon of Silence, ขอบคุณ Code Corner เอื้อเฟื้อข้อมูลและสถานที่ในการให้สัมภาษณ์
ข้อมูล:
https://en.wikipedia.org/wiki/Shintaro_Kago
https://www.huckmag.com/art-and-culture/manga-artist-interview-shintaro-kago/
Fact Box
สำหรับใครที่สนใจจะเข้าชมนิทรรศการ เขาจำหน่ายบัตรเข้างานในราคา 200 บาท พร้อมของที่ระลึกสุดพิเศษที่ทำจากผลงานของศิลปิน
นิทรรศการ Shintaro Kago「Strange collection」Bangkok Thailand
เปิดแสดงให้ชมตั้งแต่วันที่ : 27 ก.ย - 20 ต.ค 2019 *หยุดทุกวันจันทร์
เวลา : 14.00 – 20.00 น.
สถานที่ : Code Corner 849/50 จุฬาฯ ซอย 6 ถ.บรรทัดทอง ปทุมวัน กรุงเทพฯ
***ผู้เข้าชมงานควรมีอายุ 18 ปี ขึ้นไป***
ติดต่อสอบถาม : 091 725 0674
Instagram : codecornerbkk
Facebook group : Codecorner BKK Art toy Gallery
https://www.facebook.com/groups/1082901285431897/?ref=share
email: [email protected]