INDIGOSKIN ยีนส์สัญชาติไทยที่บุกเบิกตลาดยีนส์ระดับไฮเอนด์ให้ลุกฮือ ตั้งแต่ปี 2009 จากการใส่ ‘ลายกนก’ และ ‘ผ้าไทยพื้นบ้าน’ ได้อย่างลงตัว

กว่า 7 ปี ก้อ-ธัชวีร์ สนธิระติ ผู้ก่อตั้ง สนใจจิตรกรรมฝาผนังไทยและเป็นนักสะสมยีนส์ตัวยงพิสูจน์แล้วว่า ยีนส์ไทยยังมีที่ยืน

จากไอเดียที่เกิดขึ้นในพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ณ มหานครปารีส ภายหลังมีฝรั่งหลายคนเดินเข้ามาขอซื้อเสื้อลายกนกที่เขาใส่ วันนี้ก้อสร้างยีนส์ INDIGOSKIN มาไกลจนกลายเป็นยีนส์สัญชาติไทยที่อยู่ในใจใครหลายคน

The Momentum จะมาหาคำตอบว่า อะไรคือวิธีคิดสู่ความสำเร็จของยีนส์สัญชาติไทยที่ชื่อ INDIGOSKIN

ความพิเศษเหนือยีนส์แบรนด์อื่น

จุดเด่นและเอกลักษณ์ของแบรนด์ INDIGOSKIN คือการผสมผสานเอาศิลปะ เอกลักษณ์ และงานดีไซน์แบบไทยๆ ผนวกเข้ากับผ้ายีนส์จากประเทศญี่ปุ่น หนึ่งในประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องการผลิตผ้ายีนส์ จนออกมาเป็นยีนส์คุณภาพสูงที่มีเอกลักษณ์แบบไทยๆ

เริ่มต้นด้วยการใช้ผ้ายีนส์จากโรงผ้า KAIHARA ประเทศญี่ปุ่น โรงผ้าที่แบรนด์ยีนส์ชื่อดังระดับโลกไว้วางใจ ผ้าพิมพ์ลายไทยด้านในกระเป๋ากางเกงจากห้องผ้าโขมพัสตร์ ด้วยความพยายามในการเลือกสรรวัตถุดิบที่ดีที่สุดให้กับแบรนด์ กระทั่งปัจจุบัน ก้อสามารถผลิตวัตถุดิบสุดเอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะแบรนด์ INDIKOSKIN ซึ่งเกิดจากการร่วมพัฒนาผ้ายีนส์พิเศษจาก KAIHARA และผ้ากระเป๋ากางเกงย้อมครามสกัดจากธรรมชาติ ที่ได้จากการทำงานร่วมกับชาวบ้าน จ.สกลนคร

นอกจากนี้กางเกงยีนส์ของ INDIGOSKIN ยังมีรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่ก้อตั้งใจซ่อนไว้ยังจุดต่างๆ ของยีนส์ ทั้งกระดุมทองหน้าเงินลายกนกบัวผลิตจากทองสามกษัตริย์ ด้ายทองหน้าเงินที่ใช้ในการเย็บขอบเอวด้านหลัง ความพิเศษเหล่านี้จึงทำให้ยีนส์ของ INDIGOSKIN แตกต่าง และเหนือกว่าแบรนด์ยีนส์เจ้าอื่นๆ

“ผมคิดว่าความแตกต่างของเรากับแบรนด์อื่นๆ คือการมุ่งผลิตสินค้าใหม่ๆ และพัฒนาให้ดีอยู่เสมอ อย่างปัจจุบันเราพัฒนาผ้าเอ็กซ์คลูซีฟจากญี่ปุ่นที่ผลิตขึ้นมาเพื่อแบรนด์เราโดยเฉพาะ ลวดลายศิลปะ วัตถุดิบ หรือลูกเล่นที่เลือกใช้ก็มีความเป็นกันเองกับลูกค้า เราเน้นร่วมงานกับดีไซเนอร์เจ๋งๆ พยายามหาอะไรใหม่ๆ มาใช้กับคอลเลกชั่นของเราอยู่เสมอ”

“พฤติกรรมผู้บริโภคยุคนี้ค่อนข้างเปลี่ยนไป คนกล้าทุ่มเงินเพื่อการแต่งตัว
และไว้วางใจแบรนด์ไทยไฮเอนด์มากขึ้น”

Photo: INDIGOSKIN

ความไฮเอนด์ที่ใครๆ ก็ยอมควักกระเป๋า

เนื่องจากสินค้าส่วนใหญ่ถูกผลิตออกมาในจำนวนจำกัด มีราคาที่ค่อนข้างสูง สนนราคารุ่นทั่วไปอยู่ที่ประมาณ 4,000 บาท ไปจนถึงรุ่นพิเศษที่มีราคาหลัก 10,000 บาทขึ้นไป จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้กับการถูกจัดให้อยู่ในหมวดของแบรนด์แฟชั่นไฮเอนด์ อย่างไรก็ตาม ระดับของแบรนด์ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อยอดขาย เพราะตลอดทั้งปี 2015 พวกเขาสามารถขายยีนส์ได้มากกว่า 3,000 ตัว โตขึ้นกว่าปี 2014 ถึง 40% และในปีนี้พวกเขายังตั้งเป้ายอดขายให้สูงถึง 7,000 ตัว

สาเหตุหลักที่ทำให้ยีนส์ของ INDIGOSKIN แพงกว่ายีนส์ทั่วๆ ไป คือ คุณภาพในกระบวนการผลิต และวัสดุที่เลือกใช้ ก้อเล่าให้เราฟังว่า คอร์สของการทอผ้าในประเทศญี่ปุ่นมีค่าใช้จ่ายสูง อาจเรียกได้ว่าสูงที่สุดในโลกด้วยซ้ำ และถึงแม้จะทำการตัดเย็บที่ไทย แต่เขาก็เลือกใช้ช่างเย็บระดับหัวหน้าที่มีประสบการณ์มากกว่า 10 ปีขึ้นไปเท่านั้น

ในทุกปีจะมีการเปลี่ยนผ้าใหม่ทั้งหมด รวมถึงกระดุม ป้ายหนัง และผ้าในกระเป๋า ซึ่งการเปลี่ยนครั้งหนึ่งต้องใช้บล็อกแม่พิมพ์ใหม่ทั้งหมด ก้อบอกว่าเขาพยายามอธิบายและให้ข้อมูลกับลูกค้ามาตลอดว่า วัสดุที่เขาใช้มีที่มาอย่างไร แตกต่างจากยีนส์ทั่วๆ ไปอย่างไร เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจให้ลูกค้าไปในตัว

“ผมว่าพฤติกรรมผู้บริโภคยุคนี้ค่อนข้างเปลี่ยนไป คนกล้าทุ่มเงินเพื่อการแต่งตัว และไว้วางใจแบรนด์ไทยไฮเอนด์มากขึ้น แต่ก็ไม่จำเป็นว่าผู้ผลิตจะเน้นจับแต่ลูกค้ากลุ่มเดียวตลอดเวลา ตัว INDIGOSKIN เองก็มีความยืดหยุ่นสูง เราไม่ปิดโอกาสผลิตสินค้าเพื่อตอบสนองลูกค้ากลุ่มแมส เพียงแต่ไม่ให้หลุดไปจากคอนเซปต์หลักของเรา”

“เราต้องทำให้เขาเกิด Brand Loyalty สร้างความรู้สึกภูมิใจให้แก่เขาเมื่อได้สวมใส่สินค้าของเรา ทำยังไงก็ได้ให้เขาต้องเดินเข้ามาซื้อสินค้าที่ร้านเรา
แม้ว่าเขาจะเดินผ่านร้านขายสินค้าประเภทเดียวกับเรามามากกว่า 10 ร้านก็ตาม

สร้างร้านขายยีนส์ให้กลายเป็นคอมมูนิตี้ของคนรักยีนส์

หากใครเคยแวะไปที่ร้าน INDIGOSKIN สาขาสยามสแควร์ ซอย 1 จะพบว่าบรรยากาศของร้านมีความเป็นกันเองอย่างมาก มุมรับแขกอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากราวแขวนสินค้าซึ่งถูกจัดไว้พร้อมรอต้อนรับผู้เข้ามาเยือนทุกราย (บางวันคุณอาจพบเจ้าของร้านกำลังนั่งหาไอเดียใหม่ๆ) หรือหากเกิดคำถามและข้อสงสัยเรื่องยีนส์ พนักงานร้านเกือบทุกรายที่เริ่มต้นจากการเป็นลูกค้าของร้านมาก่อนก็พร้อมจะไขข้อข้องใจให้คุณ

ด้วยความตั้งใจในการสร้างบรรยากาศของร้านให้เหมือนเป็นบ้านของคนรักยีนส์ ก้อจึงนำโต๊ะ เก้าอี้ และหนังสือเกี่ยวกับยีนส์มาตกแต่ง เพื่อให้แฟนยีนส์ได้มาแฮงก์เอาต์ และแลกเปลี่ยนข้อมูลกันในคอมมูนิตี้ที่เขาต้องการอยากจะเห็น

“ผมไม่ต้องการให้ลูกค้าเข้ามาซื้อสินค้าที่ร้านแล้วจบแค่นั้น เขาสามารถมานั่งเล่นที่ร้านเรา พูดคุยเรื่องยีนส์กับเราได้ ผมอยากให้ลูกค้าเข้ามาซื้อสินค้าที่ร้านพร้อมความอุ่นใจ ที่สำคัญเราต้องทำให้เขาเกิด Brand Loyalty สร้างความภูมิใจให้แก่เขาเมื่อได้สวมใส่สินค้าของเรา ทำยังไงก็ได้ให้เขาต้องเดินเข้ามาซื้อสินค้าที่ร้านเรา แม้ว่าเขาจะเดินผ่านร้านขายสินค้าประเภทเดียวกับเรามามากกว่า 10 ร้านก็ตาม”

ไม่จำเป็นต้องหวือหวาเสมอไป เรียบง่าย แต่ขายได้ตลอด!

ส่วนใหญ่สินค้าของ INDIGOSKIN จะไม่เน้นการออกแบบที่เล่นใหญ่เกินความจำเป็น ลวดลายต่างๆ งานดีไซน์ ของยีนส์แต่ละรุ่น จึงถูกเล่าผ่านเรื่องราวที่มีที่มาที่ไปของยีนส์คอลเลกชั่นนั้นๆ ได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ และถูกจัดวางด้วยการเน้นความเรียบง่าย และลูกเล่นที่ซ่อนลงไปอย่างมีชั้นเชิง

ความไฮเอนด์ของ INDIGOSKIN จึงไม่ได้เกิดจากความเป็นแฟชั่นสุดโต่งล้ำยุค แต่เกิดจากคุณภาพที่ดีของวัสดุ การตัดเย็บ กิมมิกความเป็นไทย ตลอดจนลูกเล่นรายละเอียดต่างๆ ที่ก้อเป็นคนเลือกสรร ด้วยความปรารถนาให้แบรนด์ INDIGOSKIN เป็นงานดีไซน์ที่ไร้กาลเวลา

“ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ 10 ปีก็ตาม ผมอยากให้ผลงานของผมสามารถหยิบมาประยุกต์ใส่ได้ทุกยุค สินค้าของผมไม่แฟชั่นจ๋าไปทางใดทางหนึ่ง จะค่อนไปทางวางตัวเป็นกลาง แต่สามารถเกาะร่วมไปกับทุกยุคทุกกระแส บางครั้งเราอาจจะออกไอเท็มพิเศษๆ บ้าง แต่ก็คงไม่ได้ทำออกมาถี่ อย่างตอนนี้กระแสสตรีทแวร์ ค่อนข้างมาแรง เราก็ออกแบบเสื้อผ้าของเราให้เข้ากับการแต่งตัวของคนในยุคนี้มากขึ้น ไลน์สินค้าของเราจึงกว้างและหลากหลาย”

“พ่อมักจะสอนผมว่า พึงระลึกไว้เสมอว่าผลงานที่ดีที่สุดอยู่ในครั้งถัดไป
ชื่นชมผลงานตัวเองได้ แต่อย่าอยู่กับมันนาน เพราะคุณจะหยุดพัฒนา
จงคิดว่างานครั้งหน้าของคุณจะต้องดีกว่าเดิม”

อย่าหยุดพัฒนาตัวเอง เพราะผลงานที่ดีที่สุดอยู่ในครั้งถัดไป

เพราะเชื่อว่าสมัยนี้มีแต่คนเก่งๆ หากมัวแต่ชื่นชมความสำเร็จเดิมๆ สักวันคลื่นลูกใหม่ก็คงตามทัน INDIGOSKIN จึงสร้างโปรเจกต์ใหม่ๆ ออกมาตลอดเวลา ทั้งการเพิ่มไลน์สินค้าใหม่ เช่น การผลิตเสื้อยืดแนวสตรีทแวร์ออกมามากขึ้นเพื่อให้ตรงกับความต้องการในตลาด ร่วมงานกับดีไซเนอร์เจ๋งๆ สร้างพันธมิตรทางการค้าด้วยการ collaboration กับแบรนด์อื่นๆ ทั้ง MOMOTARO, VANQUISH และ CARNIVAL โดยที่ทั้งหมดยังดำเนินไปตามแนวทางที่ก้อวางไว้

“พ่อมักจะสอนผมว่า พึงระลึกไว้เสมอว่าผลงานที่ดีที่สุดอยู่ในครั้งถัดไป ชื่นชมผลงานตัวเองได้ แต่อย่าอยู่กับมันนาน เพราะคุณจะหยุดพัฒนา จงคิดว่างานครั้งหน้าของคุณจะต้องดีกว่าเดิม ทุกวันนี้มีแบรนด์ใหม่ๆ เกิดขึ้นอยู่ตลอด เราต้องไม่หยุดพัฒนาตัวเอง พยายามคิดกลยุทธ์ที่ทันสมัย มองทิศทางภาพรวมของตลาดให้ออก หมุนตามให้ทัน การคิดอะไรออกมาใหม่ๆ ร่วมสมัยจะทำให้เรานำหน้าคนอื่น ต่อให้เวลาผ่านไปนานแค่ไหนเราก็จะเอาตัวรอดได้”

“อย่ากลัวที่จะถาม อย่าอายที่จะแสดงว่าตัวเองไม่รู้ หากทำตัวฉลาด คุณก็จะไม่มีวันฉลาดขึ้น”

คำสอนจากผู้ใหญ่ + ความเด็ดเดี่ยว = ความสำเร็จ

สิ่งที่ก้อย้ำอยู่ตลอดบทสนทนาคือ เขามีผู้ใหญ่หลายคนคอยให้คำปรึกษาและแนะนำ หากมีเวลาว่างเขาจะไปนั่งคุยกับนักธุรกิจเก่งๆ เพื่อแลกเปลี่ยนไอเดีย ซึ่งเขาเปรียบช่วงเวลาดังกล่าวว่าเป็นช่วงเวลาล้ำค่า เพราะบางครั้งการได้คุยกับคนที่มีความสามารถเพียงชั่วโมงเดียว ก็อาจเท่ากับการเรียนปริญญาตรี 4 ปี

“อย่ากลัวที่จะถาม อย่าอายที่จะแสดงว่าตัวเองไม่รู้ หากทำตัวฉลาด คุณก็จะไม่มีวันฉลาดขึ้น จริงอยู่ว่าคุณเป็นนักธุรกิจใหม่ไฟแรง คุณสมบัติพร้อมจะลุยอยู่ตลอดเวลาย่อมเป็นเรื่องที่ดี แต่การรับฟังคำสอนและประสบการณ์จากผู้ที่เคยผ่านเรื่องราวด้านนี้มาก่อน แล้วนำมาปรับสมดุลระหว่างกัน เมื่อหาจุดตรงกลางได้ลงตัวก็จะทำให้ธุรกิจของคุณดำเนินได้อย่างราบรื่น”

ยลผลงานยีนส์ INDIGOSKIN ของ ก้อ-ธัชวีร์ สนธิระติ ได้ที่ www.indigoskinjeans.com หรือ www.facebook.com/indigoskinjeans

Tags: , ,