สิ้นสุดการรอคอยอย่างเป็นทางการสำหรับสาวก Apple หรือบรรดาแฟนขาจรที่ตั้งตารอซีรีส์ Gen7 ของโทรศัพท์ยอดฮิตตลอดกาลอย่าง iPhone
การกลับมาในครั้งนี้ยิ่งทวีคูณความพิเศษมากขึ้น เมื่อตัวเครื่องมีสีดำให้เราเลือกจับจองเสียที หลังจากที่ก่อนหน้านี้ตัวเครื่องสีดำได้ห่างหายจาก iPhone มาเป็นระยะเวลานาน ทั้งๆ ที่เปรียบเป็นสีคู่บุญของ iPhone มาตั้งแต่แรก แต่หลังจากที่ Apple ประสบปัญหาสีดำบนตัวเครื่องอะลูมิเนียมลอกใน iPhone 5 จากนั้นเป็นต้นมา Apple ก็ตัดใจไม่ผลิต iPhone สีดำอีกเลย จนกระทั่ง iPhone 7
นอกจากนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจอีกเช่นกันว่า ปุ่มโฮมแบบใหม่ที่ฝั่ง Apple พัฒนาจะสามารถแก้ปัญหาปุ่มเสียแบบไม่เข้าท่าของ iPhone รุ่นที่ผ่านๆ มาได้หรือไม่
The Momentum ได้พูดคุยกับผู้ที่ได้ใช้ iPhone 7 ก่อนใคร อย่าง Khajochi หรือ ขจร เจียรนัยพานิชย์ แฟนพันธุ์แท้ สตีฟ จ็อบส์ และผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ MacThai และ ศุภเดช สุทธิพงศ์คณาสัย อดีตผู้ดำเนินรายการ แบไต๋ไฮเทค ว่าเหตุใดคุณถึงไม่ควรพลาดสิ่งประดิษฐ์ชิ้นล่าสุดจาก Apple ตลอดจนคำถามเรื่องความคุ้มค่าคุ้มราคา และปัญหาที่เกิดขึ้นหลังการใช้งาน เพื่อเป็นคู่มือประกอบการตัดสินใจของคุณในการเลือกซื้อ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus
นอกจากสีดำและดำโคตรๆ! กล้อง 2 ตัว และปุ่มโฮมแบบใหม่ ก็ถือเป็นความตื่นตาตื่นใจ
ภายใต้การเปิดตัวสินค้ารุ่นใหม่ ทุกสายตาต่างโฟกัสไปที่สีของตัวเครื่อง จนเรียกได้ว่า ณ ปัจจุบันตัวเครื่องสีดำกลายเป็นสีที่ขายดีที่สุดไปโดยปริยาย แต่นอกจากสีดำ และดำโคตรๆ (Jet Black) แล้ว ฟังก์ชันการกันน้ำก็เป็นหนึ่งในจุดเด่นที่น่าจะมีประโยชน์เช่นกัน หรือฟีเจอร์กล้อง 2 ตัวอย่าง กล้องเลนส์ไวด์ และเลนส์เทเล บน iPhone 7 Plus ก็เป็นความพิเศษที่เกิดขึ้นครั้งแรกกับสินค้าตระกูล iPhone
ขจร เจียรนัยพานิชย์ บอกว่า “แม้ก่อนหน้านี้กล้องของ iPhone จะถ่ายภาพสวย ให้สีธรรมชาติ แต่มีจุดอ่อนเรื่องการถ่ายภาพในที่มืด คู่แข่งก็จะเกทับตลอดว่าพวกเขาถ่ายภาพในที่มืดได้ดีกว่า เมื่อมาถึงรุ่นนี้ Apple ก็พัฒนากล้อง iPhone ให้สามารถถ่ายภาพในที่มืดได้ดีขึ้น
“แต่ฟีเจอร์ที่เพิ่มขึ้นมาแล้วเกินความคาดหวังของผู้บริโภคคือ กล้อง 2 ตัวบนรุ่น 7 Plus ที่ทำให้เราสามารถถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอได้ดีพอๆ กับกล้อง DSLR โดยรุ่น 7 Plus จะมีกล้อง 2 ตัว ตัวหนึ่งเป็นเลนส์ไวด์ ขณะที่อีกตัวเป็นเลนส์เทเล แล้วเอาความสามารถของกล้อง 2 ตัวมารวมเข้าด้วยกัน ด้วยเหตุนี้ยอดคนสั่งซื้อ 7 Plus จึงสูงกว่า 7 ธรรมดา เนื่องจากความแตกต่างเรื่องจำนวนกล้อง”
ขณะที่ ศุภเดช สุทธิพงศ์คณาสัย มองต่างว่า “พอได้ตัวเครื่องมา การถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอใน Portrait Mode กลับเต็มไปด้วยความยุ่งยาก เช่น ต้องอยู่ห่างจากวัตถุ 8 ฟุต ต้องถ่ายในที่สว่าง ไม่เช่นนั้นภาพจะแตก ยอมรับว่ากล้องปกติถ่ายภาพกลางคืนได้ดีขึ้น แต่พอเป็นการถ่ายแบบหน้าชัดหลังเบลอ ภาพกลับแตก จากเดิมที่คิดว่าซื้อ 7 Plus มาแล้ว จะได้ใช้ฟังก์ชันหน้าชัดหลังเบลอบ่อยๆ เมื่อมีข้อจำกัดและความยุ่งยากเกิดขึ้น กลับกลายเป็นว่านานๆ ครั้งเราจึงจะได้ใช้ฟังก์ชันนี้ บางครั้งยังแอบคิดเลยว่า ใช้รุ่นธรรมดาตั้งแต่แรกก็ได้นะ”
แต่ในข้อเสียก็มีข้อดี เมื่อมีการคาดการณ์กันว่า ปุ่มโฮมแบบใหม่ที่ใช้ใน iPhone 7 จะช่วยลดปัญหาเรื่องปุ่มโฮมที่มักจะเจ๊งได้ง่ายๆ ในรุ่นที่ผ่านมา โดยขจรบอกว่า
“ปุ่มโฮมแบบใหม่จะเป็นปุ่มแบบแผ่นเดียวกับตัวหน้าจอ เมื่อกดลงไปจะมีมอเตอร์สั่น แต่ในเชิงเทคนิคมันจะไม่เหมือนกับปุ่มโฮมแบบเดิมที่มักจะชำรุดได้ง่ายของ iPhone ในรุ่นที่ผ่านๆ มา”
ใช้มือถือกันน้ำได้ให้เหมือนกันน้ำไม่ได้
แม้คุณสมบัติใหม่กันน้ำที่เพิ่มเข้ามาใน iPhone 7 จะทำให้หลายคนตื่นเต้นกันยกใหญ่ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ฟังก์ชันนี้ก็ดูเหมือนจะเป็นการกล่าวอ้างสรรพคุณที่ไม่สามารถใช้งานได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยเท่าที่ควร
ศุภเดช บอกว่า “ผมคิดว่าเขาแอบทำระบบนี้กันมาตั้งแต่ 6s แล้ว แต่เขาอาจจะยังไม่บอกเรา เคยมีคลิปหนึ่งที่ทดสอบการกันน้ำ โดยนำ Galaxy S7 และ iPhone 6s มาวางในกล่องแล้วเทน้ำอัดลมลงไป ก่อนจะนำไปแช่ตู้เย็น ผลสรุปว่าเมื่อนำเครื่องออกมา Galaxy S7 สามารถใช้ได้ปกติ ขณะที่ 6s เครื่องดับ แต่เมื่อเปิดเครื่องใหม่ก็สามารถใช้งานได้ตามปกติ ส่วนตัวเลยไม่แน่ใจว่าเขามีการทดลองอย่างลับๆ อยู่หรือเปล่า”
ศุภเดช เล่าต่อว่า “แม้ iPhone 7 จะเคลมว่าตัวเองกันน้ำได้ในระดับ IP67 อย่างไรก็ตามกรณีมือถือที่กันน้ำได้ก็ทำให้หลายค่ายเจ็บตัวกันมาเยอะแล้ว เพราะทุกค่ายจะโชว์ว่าตัวเองกันน้ำได้เต็มที่ ทำโฆษณาดำลงไปถ่ายรูปใต้น้ำ แต่ในทางกลับกันเมื่อเกิดปัญหาขึ้น ค่ายมือถือทุกค่ายจะอ้างเป็นเสียงเดียวกันหมดว่าหากน้ำเข้าเครื่องจะไม่รับเคลมสินค้า มันก็เป็นความย้อนแย้งที่ต้องบอกผู้บริโภคว่าอยากให้ใช้มือถือกันน้ำประหนึ่งว่ามันกันน้ำไม่ได้ เพราะฝั่งผู้ผลิตก็คงรู้อยู่แล้วว่ากันน้ำในที่นี้มันคงไม่ได้เป็นน้ำระดับสึนามิ สุดท้ายผู้บริโภคอย่างเราจึงต้องสงวนคุณสมบัตินี้ไว้ใช้ยามคับขัน เช่น ฝนตก หรือเผลอทำตกคอห่าน”
ตัดพอร์ตหูฟัง การตัดสินใจที่ทำให้เกิดทาง 2 แพร่ง?
อีกหนึ่งข้อถกเถียงที่เกิดขึ้นกับ iPhone 7 คือกรณีการตัดช่องหูฟังขนาด 3.5 mm ออกไป ที่ดูเหมือนว่าจะเป็นการบังคับทางอ้อมให้ผู้บริโภคใช้ช่องหูฟังร่วมกับช่อง Lightning (ช่องชาร์จแบตเตอรี) มากกว่าจะลดขนาดตัวเครื่องให้บางลง
เพราะในแง่ความบาง iPhone 7 (0.28 นิ้ว) และ iPhone 7 Plus (0.29 นิ้ว) ที่ไร้พอร์ตหูฟัง กลับมีขนาดความหนาของตัวเครื่องเท่ากับ iPhone 6s (0.28 นิ้ว) และ iPhone 6s Plus (0.29 นิ้ว) ทุกประการ
หรือไม่เช่นนั้นคุณก็คงต้องไปซื้อหูฟังอัจฉริยะไร้สายแบบ AirPods มาใช้ ที่ทางฝั่ง Apple โวว่าเป็น “หูฟังที่ผสานความเรียบง่ายเข้ากับเทคโนโลยีในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน”
ศุภเดชเล่าถึงปัญหาที่เจ้าตัวต้องประสบหลังการตัดช่องหูฟังว่า “แม้ Apple จะชวนเราท่องยุคไร้สายของเขา แต่ในความเป็นจริงผมกลับเจอปัญหาของการใช้หูฟังบลูทูธฟังเพลงเป็นประจำ อธิบายก่อนว่าหูฟังเพลงบลูทูธเป็นหูฟังที่ใช้คลื่นความถี่แบบ 2.4 GHz ซึ่งเป็นคลื่นความถี่แบบเปิด อุปกรณ์ใดๆ ก็สามารถใช้ได้ โอกาสที่ความถี่ของหูฟังที่เราใช้จะไปชนกับความถี่ของอุปกรณ์อื่นก็เกิดขึ้นได้ง่าย ส่งผลให้เกิดคลื่นรบกวนเวลาฟังเพลงแล้วกระตุกยามที่เดินห้างสรรพสินค้า หรือนั่งมอเตอร์ไซค์อยู่เป็นประจำ กลายเป็นว่าจากที่ผมเป็นคนชอบฟังเพลงผ่านมือถือ พอมาใช้ iPhone 7 Plus ผมกลับมีโอกาสฟังเพลงน้อยลงมาก
“โดยส่วนตัวผมเชื่อว่า การตัดช่องหูฟังออกคือการที่ Apple ต้องการสร้างแรงกดดัน 2 ทาง ทางแรกคือการผลักยอดขายหูฟังไร้สายในเครือเดียวกันอย่าง Beats ให้สูงขึ้น
“ทางที่สองคือการกดดันให้ผู้ผลิตหันมาผลิตหูฟังสำหรับพอร์ต Lightning เพื่อรองรับเฉพาะสินค้าจาก Apple เพราะการจะผลิตอุปกรณ์ที่ใช้กับพอร์ต Lightning ได้ ผู้ประกอบการจะต้องเสียค่าใบอนุญาต MFI (Made for iPhone) ซึ่งเงินในส่วนนี้เป็นจำนวนเงินที่มหาศาล ในอดีตการจะได้ตรา MFI ผู้ผลิตจะต้องเสียเงินราว 9 เหรียญสหรัฐฯ ต่อสินค้าหนึ่งชิ้น (315 บาท) นั่นเท่ากับว่า Apple จะได้ประโยชน์ทั้งขึ้นทั้งล่องเลยก็ว่าได้
“ส่วนหูฟัง AirPods ผมยังไม่ได้ใช้ เลยยังพูดอะไรไม่ได้ แต่ Apple ก็นำเสนอชิปอัจฉริยะ W1 ที่สามารถจับคู่กับโทรศัพท์ได้อัตโนมัติเมื่อวางใกล้กัน หรือเล่นเพลงได้ทันทีเมื่อเราใส่หูฟังเข้าหู แต่ผมก็ยังไม่แน่ใจว่ามันจะช่วยสร้างความถี่จำเพาะในแบบของ Apple เพื่อไม่ให้ไปชนกับคลื่นความถี่อื่นในการฟังเพลงได้ไหม ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็ต้องบอกว่าเป็นวิธีแก้ปัญหาที่ดีแหละ แต่มันก็เป็นวิธีที่ Apple แก้ปัญหาด้วยเทคโนโลยีของตัวเองอีกแล้ว ไม่ปรับตามโลก ไม่ได้เป็นการสร้างโลกไร้สายขึ้นมาอย่างแท้จริง”
คุ้มค่าต่อการเปลี่ยนเป็นรุ่นใหม่?
เป็นการตัดสินใจที่ยากลำบากทุกครั้งที่ iPhone ออกรุ่นใหม่ เพราะกิเลสในใจต่างร่ำร้องเป็นเสียงเดียวกันว่า “เจา-เจา-เจา” (จะ+เอา) อยู่ร่ำไป แต่เมื่อหยิบ iPhone ในมือขึ้นมาแล้วพบว่ามันก็ยังใช้ได้ดีอยู่ เช่นนั้นแล้วคุณควรทำอย่างไร
ขจรให้คำแนะนำว่า “สำหรับผม ผมมองว่าคนที่ใช้ 6s อาจจะยังไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนก็ได้นะ เปลี่ยน iPhone เครื่องใหม่แล้วคุณภาพต่างจากเดิมไม่ถึง 15% ก็อาจจะไม่คุ้มค่าเท่าไร แต่ถ้าใช้รุ่น 5s ลงมา ก็อยากแนะนำว่าเปลี่ยนได้เลย เพราะในด้านอื่นๆ มันดีกว่าเดิมเยอะแบบก้าวกระโดด
“แต่ถ้าเปลี่ยนจาก 6s มา 7 ผมอาจจะไม่แนะนำ เพราะโดยส่วนตัวรู้สึกว่า iPhone 7 จะมีความเป็น iPhone 6 เบิ้ล s อยู่ แต่สิ่งที่จะลืมไม่ได้เลยคือความคุ้มค่าคุ้มราคาของมัน ปกติ iPhone จะออกมาใหม่ทุกปี แต่ในปีนี้คุณจ่ายราคาเดิม คุณจะได้ความจุของตัวเครื่องที่มากกว่าเดิมเท่าตัว เช่นคุณอาจจะเคยจ่ายราคาเท่านี้แล้วได้ iPhone 6s ที่มีความจุ 64 GB แต่สำหรับ iPhone 7 คุณจะได้ตัวเครื่องที่มีความจุ 128 GB ในราคาที่เท่าเดิม”
ทางด้านศุภเดช มองไม่ต่างกันว่า “หากคุณใช้รุ่น 6s ก็อาจจะเปลี่ยนมาใช้ 7 ได้ แต่ในกรณีที่อยากได้ฟังก์ชันหน้าชัดหลังเบลอ คุณก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากซื้อ 7 Plus ซึ่งผมมองว่าถ้าผมย้อนเวลาได้ผมก็อาจจะย้อนกลับไปซื้อ iPhone 7 ธรรมดาแทนนะ (หัวเราะ)
“ว่ากันตามจริงในมุมมองของผม บางที iPhone SE อาจจะคุ้มค่าที่สุด ณ เวลานี้ ด้วยสเปกระดับน้องๆ 6s แต่มีราคาถูกกว่า 3 เท่า ต่อให้ต้องจ่ายเงินเท่านี้แล้วเรายังอยู่ใน Environment ของ Apple ก็ถือเป็นเม็ดเงินที่คุ้มค่าต่อการลงทุน”
การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ที่อาจจะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้
เชื่อว่าหลายๆ ฝ่ายน่าจะเกิดข้อสงสัยไม่ต่างกันว่า ในช่วงระยะหลัง Apple เริ่มแผ่วลงหรือยังกับการออกไลน์สินค้าใหม่ๆ เนื่องจากเริ่มมีการปรับรูปโฉมที่น้อยลงเรื่อยๆ หรือพูดง่ายๆ ว่าเราเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงของผลิตภัณฑ์จาก Apple น้อยลง เป็นไปได้หรือไม่ว่า Apple อาจจะตันแล้ว?
ขจรเสนอทัศนะไว้ว่า “จริงๆ แล้วผมว่าวงการมือถือทั่วโลกตอนนี้เป็นเหมือนกันหมด ที่มีการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีเพียงเล็กน้อย ไม่เฉพาะแค่ iPhone ที่เผชิญสถานการณ์นี้ เพราะในอดีต ช่วง 4-5 ปีแรกในวงการมือถือเป็นช่วงที่การพัฒนามีการก้าวกระโดดอย่างรวดเร็ว แต่หากนับช่วงหลังยุค 4G ที่ผ่านมา วงการมือถือก็มีการพัฒนาที่น้อยลง พอมีการเปลี่ยนแปลงแต่ละทีก็มักจะเป็นการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบความเร็วที่เพิ่มขึ้น หรือความจุที่มากขึ้น มันเลยเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับทุกค่ายทุกแบรนด์”
ฝั่งศุภเดชเสริมว่า “จุดเปลี่ยนใหม่ๆ อาจจะไปอยู่ที่เทคโนโลยีเบื้องหลังเครื่องมือถือ ปีนี้ที่เห็นได้ชัดเลยคือ Machine Learning หรือ AI ที่ทุกค่ายเริ่มหันมาสนใจกันมากขึ้น ดังนั้นผมมองว่าผู้ช่วยดิจิทัลที่อยู่เบื้องหลังสมาร์ตโฟนมากกว่าที่จะก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลง ต่อไปสมาร์ตโฟนอาจจะกลายเป็นแค่ฮาร์ดแวร์ ธรรมดาๆ ก็ได้ ดังนั้นการพัฒนาต่อไปนี้จะไปอยู่ที่ส่วนของ Cloud, AI หรือ Machine Learning มากขึ้น
“อย่าง iPhone ในอนาคตก็อาจจะกลายเป็นอุปกรณ์ที่สามารถควบคุมบ้านทั้งหลังได้ เช็กสถานะของเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกตัว หรือปรับบ้านให้อยู่ใน Sleep Mode ได้ยามที่ไม่มีคนอยู่
“ส่วนตัวผมเชื่อว่าทุกคนจะเลิกเล่นเรื่องความก้าวหน้าของมือถือแล้ว แต่อาจจะไปเน้นพัฒนาเรื่องความก้าวหน้าของระบบในมือถือแทน” ศุภเดชกล่าวทิ้งท้าย
ถึงอย่างไรก็ตาม คู่มือประกอบการตัดสินใจในการซื้อ iPhone 7 จากเราเป็นเพียงข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ ที่หวังว่าจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น (หรืออาจจะยากขึ้นกว่าเดิม)
ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุดที่เราอยากจะแนะนำคือ หากคุณสบายใจที่จะซื้ออะไรแล้วไม่เดือดร้อนกระเป๋าเงินคุณหรือใคร ก็ ‘Let’s do it’ เลยครับ เพราะเงินของคุณ คุณมีสิทธิ์ซื้อความสุขให้ตัวเองได้เต็มที่ ถึงอย่างนั้นก็ควรจะศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจรูดบัตร หรือจ่ายเงินในขั้นตอนสุดท้าย เพื่อที่คุณจะได้รับประโยชน์สูงสุดในการใช้งานสมาร์ตโฟนคู่ใจนั่นเอง
FACT BOX:
- IP67 มาตรฐานที่ใช้วัดระดับการป้องกันสิ่งแปลกปลอมของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ยกตัวอย่างเช่น 67 ของ iPhone เลข 6 หมายถึงระดับความสามารถในการป้องกันฝุ่นเข้า เลข 7 ด้านหลังหมายถึง ความสามารถในการกันน้ำเข้าเครื่องในระดับตั้งแต่ 15 เซนติเมตร จนถึง 1 เมตร (อ้างอิง: http.aceeca.com/handhelds/ip67)
- W1 เป็นชิปอัจฉริยะที่ Apple ฝังลงไปใน AirPods โดยว่ากันว่าเป็นชิปที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพด้านการเชื่อมต่อแบบไร้สายและคุณภาพเสียง ที่สำคัญยังช่วยในการจัดการทรัพยากรแบตเตอรีในเครื่องได้เป็นอย่างดี โดยต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง คุณสามารถฟังติดต่อกันได้นานถึง 5 ชั่วโมง (อ้างอิง: http.apple.com/airpods)
- เข้าชมรายละเอียด ตรวจสอบราคา ก่อนตัดสินใจซื้อ iPhone 7 ได้ที่ www.apple.com/th/iphone