กิจวัตรประจำวันตลอดห้าปีระหว่างการถูกจับกุมเป็นตัวประกันของเขาคือ ตื่นนอน สวดมนต์ และท่องคัมภีร์ซูราฮ์ กระทั่งสตีเฟน แม็คกอว์น (Stephen McGown) ได้รับอิสรภาพอีกครั้ง น้ำหนักตัวของเขาหายไป 15 กิโลกรัม และนัยน์ตาฝ้าฟาง
หกเดือนหลังจากถูกจับเป็นตัวประกัน สตีเฟนก็อยากเป็นมุสลิม เขาเรียนภาษาอาหรับ เรียนคัมภีร์อัลกุรอ่าน เขาสวดมนต์ก่อนพระอาทิตย์ขึ้นและก่อนเข้านอน ช่วงกลางวันเวลาพระอาทิตย์แผดเผาทะเลทราย เขามักเดินกลับเข้าไปในกระท่อมของเขา เพื่อท่องคัมภีร์ซูราฮ์ เขาไม่อยากให้คนที่จับเขาไปเป็นตัวประกันดูถูกภาษาอาหรับของเขา เขาไม่อยากให้ชีวิตที่หายไปในทะเลทรายซาฮาราต้องสูญเปล่าหรือกลับออกไปเหมือนเป็นซากมนุษย์ เขาบอกในเวลาถัดมาว่า เขานับถือศาสนาคริสต์ ซึ่งมีประวัติความเป็นมาใกล้เคียงกับศาสนาอิสลาม ศาสนาช่วยให้เขามีพลัง
สตีเฟน ผู้ซึ่งกลับมาสู่อ้อมกอดของภรรยาอีกครั้งในฤดูร้อนปี 2017 แม้ไม่อยู่ในสภาพซากมนุษย์ แต่ก็ไม่ปกติเหมือนเดิม แผ่นหลังโค้งงอ น้ำหนักลดลง 15 กิโลกรัม และกระจกตาฝ้าฟางอันเป็นผลจากแสงแดดจ้ากลางทะเลทราย ดูแก่ โทรม ภาษาอังกฤษค่อยๆ ถูกกลืนไปในระหว่างถูกกักขัง กระทั่งเขานึกความหมายของบางคำไม่ออก แต่แคเธอรีน (Catherine McGown) ภรรยาของเขายืนยันว่า สตีเฟนยังยิ้มกว้างเหมือนเดิม ยังทำให้เธอหัวเราะได้ และสิ่งที่ทำให้เธอรักเขาไม่คลาย คือความเป็นคนเสมอต้นเสมอปลายของเขา
สตีเฟน แม็คกอว์น ตกเป็นตัวประกันของกลุ่มอัลกออิดะฮ์อยู่นานกว่าห้าปี ตลอดเวลากว่าห้าปีนั้นเขาต้องใช้ชีวิตอยู่ในกระท่อมเล็กๆ กลางทะเลทรายของประเทศมาลี เป็นห้าปีกว่าที่เขาต้องใช้ชีวิตอยู่กับความกลัว ความหวัง และความสิ้นหวัง
ฝันร้ายของสตีเฟนเริ่มต้นขึ้นในเดือนตุลาคม 2011 ระหว่างที่เขาตระเวนผจญภัยกับมอเตอร์ไซค์ Fokke คู่ชีพ ในช่วงเวลาก่อนหน้านั้นเขาและภรรยาใช้ชีวิตอยู่ในลอนดอน เขาเป็นพนักงานธนาคาร ส่วนภรรยาเป็นนักภาษาบำบัด ทั้งสองคิดอยากเดินทางกลับไปบ้านเกิดเมืองนอนที่แอฟริกาใต้อีกครั้ง ขณะที่แคเธอรีนมีภารกิจนำสัมภาระและสิ่งของต่างๆ ไปโจฮันเนสเบิร์ก สตีเฟนตัดสินใจจะควบมอเตอร์ไซค์ผ่านยุโรปไปแอฟริกาสักครั้ง ผ่านฝรั่งเศส สเปน โปรตุเกส และจิบรอลตาร์ เพื่อข้ามไปโมร็อกโก เขาบอกภรรยาว่าขอเวลาเดินทางราวหกเดือน ทว่ามันกลับเป็นการผจญภัยที่เขาต้องใช้เวลานานกว่านั้น
เมื่อเดินทางไปถึงเมืองทิมบักตู สตีเฟนมีโอกาสได้รู้จักกับนักผจญภัยคนอื่นๆ ฌาก และทิลลี ไรเค (Sjaak-Tilly Rijke) จากฮอลแลนด์ โยฮาน กุสตาฟส์สัน (Johan Gustafsson) จากสวีเดน และมาร์ติน (Martin) จากเยอรมนี วันที่ 25 พฤศจิกายน 2011 เมื่อพวกเขากลับการตระเวนเดินทางเที่ยวมาถึงโรงแรมที่พัก สตีเฟนปลีกตัวไปพักผ่อนที่ระเบียงห้อง พอดีกับที่ชายติดอาวุธกลุ่มหนึ่งโผล่เข้ามา เสียงตื่นตระหนกดังขึ้นพร้อมกับเสียงปืน จากนั้นพวกเขาก็กรูเข้าไปจับตัวสตีเฟน ฌาก และโยฮาน ส่วนมาร์ติน หนุ่มเยอรมันที่ขัดขืนการจับตัวถูกยิงและเสียชีวิตทันที
ตัวประกันสามคนถูกบังคับให้เดินไปขึ้นรถ และถูกจับนอนคว่ำหน้าที่ท้ายรถนานราว 15 ชั่วโมง จนไปถึงที่ไหนสักแห่งกลางทะเลทราย สักพักพวกเขาจึงรู้ว่า พวกเขาตกอยู่ในเงื้อมมือนักสู้ของอัลกออิดะฮ์แล้ว
สตีเฟนพูดเล่าให้นักข่าวบีบีซีฟังหลังจากได้รับอิสรภาพ ถึงชั่วโมงของการตกเป็นตัวประกันว่า ทุกอย่างเหมือนไม่ใช่เรื่องจริง เขาฉุกคิดถึงการเป็นบุคคลสองสัญชาติของตนเอง ทั้งแอฟริกาใต้และอังกฤษ กระทั่งเริ่มเฉลียวใจว่าตัวเองพกหนังสือเดินทางอังกฤษกับตัว เขาถึงกับรู้สึกหนาวเยือกหัวใจขึ้นมาทันที “ตอนนั้นผมรู้เลยว่าตัวประกันชาวอังกฤษคนอื่นต้องเจออะไร” เมื่อไปถึงภูมิภาคตอนเหนือของมาลี พวกเขาได้รับแจ้งว่า พวกเขากำลังตกเป็นตัวประกันของอัลกออิดะฮ์ในมาเกร็บ และไม่มีใครคิดจะฆ่าพวกเขา
เวลาผ่านไปไม่นาน กลุ่มนักรบอิสลามก็รับรู้เกี่ยวกับสัญชาติของสตีเฟน เมื่อพวกเขาพบหนังสือเดินทางของเขา “พวกเขาตื่นเต้นและแตกตื่นกันใหญ่เลย ผมเคยพยายามอธิบายให้พวกเขาฟังแล้ว ว่าผมมีพื้นเพเป็นคนแอฟริกาใต้ แต่พวกเขายังปักใจเชื่อว่าผมเป็นคนอังกฤษ พวกเขาไม่เชื่อใจผม” แต่ถึงแม้ว่ากลุ่มอัลกออิดะฮ์จะรู้ว่าสตีเฟนเป็นใคร มันก็ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์อะไรดีขึ้น ความไม่รู้ในชะตากรรมตนเองยังคงสืบต่อไปอย่างยาวนาน บ่อยครั้งการรอคอยทำให้ท้อแท้ สิ้นหวัง ความเคลื่อนไหวของโลกภายนอกดูสับสนและเลื่อนลอย
บริเวณกระท่อมที่คุมขัง มีนักรบอิสลาม 17 คอยเฝ้าจับตาอยู่ตลอด 24 ชั่วโมง เวลาจะเข้าห้องสุขาก็ต้องอ้อนวอน ขออนุญาต ทุกๆ สองสัปดาห์ ผู้จับตัวประกันจะสลับสับเปลี่ยนตัวเหยื่อระหว่างกระท่อมทั้งสองไปมา
ตัวประกันทั้งสามคนเคยพูดคุยกันบ่อยครั้งว่าเหตุการณ์ต่อไปจะเป็นอย่างไร การเจรจาต่อรองเพื่อปล่อยตัวประกันไปถึงไหนแล้ว และจะต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไหร่ หรือแม้แต่เรื่องการหลบหนีก็ผุดขึ้นมาในวงสนทนา “บางครั้งคนในกลุ่มเราบอกว่าอยากจะหนี แต่แล้วก็ต้องฉุกคิดกันอีกว่า เราอาจจะทำให้คนอื่นเดือดร้อนไปด้วย เราพูดภาษาของพวกเขาไม่ได้ อีกอย่างเราติดอยู่กลางทะเลทราย ระหว่างหลบหนีเราจะมีน้ำดื่มไหม หรือจะหาได้จากที่ไหน”
ราวหนึ่งปีต่อมา โยฮานพยายามหลบหนีจริงๆ แต่หลุดรอดไปได้ไม่ไกลเขาก็ถูกจับตัวได้ และตัวประกันคนอื่นๆ พลอยถูกทำโทษไปด้วย
ช่วงปี 2013 สถานการณ์ทางการเมืองในมาลีมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น รัฐบาลกลางในเมืองหลวงบามาโคประกาศพักรบกับกลุ่มกบฏ เพื่อเตรียมจัดการเลือกตั้ง หลังจากนั้นทั้งกลุ่มกบฏและกลุ่มก่อการร้ายได้ปฏิบัติการโจมตีอีกเป็นระยะ กระทั่งในปี 2014 ฝรั่งเศสและอีกห้าประเทศในแอฟริกาประกาศร่วมรบเพื่อจัดการกับกลุ่มกบฏในมาลี และในประเทศชาด โดยเฉพาะกลุ่มกบฏทูอาเร็ก (Tuareg) สตีเฟนเรียกช่วงเวลานั้นว่าเป็น ‘โมงยามแห่งความมืดมน’ เพราะเขากับคนอื่นๆ กลัวว่าจะไม่รอดชีวิตออกจากที่คุมขัง เพราะแรงกดดันด้วยอำนาจทางการทหารจากยุโรปไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น อย่างน้อยกลุ่มผู้จับตัวประกันไม่คิดอย่างนั้น พวกเขาตอบโต้ด้วยการบันทึกภาพวิดีโอสตีเฟน โยฮาน และฌาก แล้วนำออกเผยแผ่ทางยูทูบ ตลอดห้าปีมีทั้งสิ้น 15 คลิป
กิจวัตรประจำวันของสตีเฟนคล้ายกันในทุกวัน ตื่นนอน สวดมนต์ กินอาหารเช้าที่มีขนมปังกับนมผง ท่องคัมภีร์ซูราฮ์ จากนั้นเข้าโรงครัวทำสปาเก็ตตี หรือไม่ก็ข้าว ถั่ว และเนื้อแพะ แกะ หรืออูฐ ระหว่างถูกควบคุมเป็นตัวประกัน พวกเขาได้รับอนุญาตให้ติดต่อกับครอบครัวได้ แม่ของสตีเฟนเขียนจดหมายถึงเขา เล่าให้ฟังว่ามีคนซ่อมจักรยานให้เขาแล้ว ส่วนแคเธอรีนเขียนเล่าเรื่องที่เธอไปงานแต่งงานของเพื่อน ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องปกติธรรมดาจนดูคล้ายกับว่า พวกเขาแทบไม่รู้จักสตีเฟนอีกแล้ว
ที่บ้านในแอฟริกาใต้ มัลคอล์ม (Malcolm McGown) พ่อของสตีเฟนพยายามวิ่งเต้นเพื่อช่วยเหลือลูกชายให้เป็นอิสระ เขาร่วมมือประสานงานกับองค์กร ‘Gift of the Givers’ ซึ่งเคยให้ความช่วยเหลือ เจรจาต่อรองจนได้ตัวประกันของอัลกออิดะฮ์ในเยเมนกลับคืน นอกจากนั้น มัลคอล์มยังเขียนจดหมายถึงจาค็อบ ซูมา (Jacob Zuma) ประธานาธิบดีของแอฟริกาใต้ และได้รับคำตอบจากรัฐบาลในเดือนธันวาคม 2016 ว่า ฌากถูกแยกตัวออกจากสตีเฟนและโยฮาน ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขาบ้าง แต่ทั้งสองรู้สึกได้เองว่าฌากปลอดภัย ภายหลังมีข่าวลือออกมาว่า หนุ่มฮอลแลนด์ได้รับความช่วยเหลือจากกองทัพฝรั่งเศสให้เป็นอิสระ
เดือนมิถุนายน 2017 กลุ่มอิสลามเล่าให้สตีเฟนฟังว่า โยฮานก็ได้รับการปล่อยตัวเป็นอิสระแล้วเช่นกัน จากนั้น หนึ่งเดือนต่อมา จู่ๆ อัลกออิดะฮ์ก็ปล่อยตัวสตีเฟนออกจากที่คุมขัง
“ตอนแรกพวกเขาพาผมนั่งรถผ่านทะเลทรายมาสองวันครึ่ง แล้วอยู่ดีๆ คนขับรถก็หันมาบอกผมว่า นายไปได้นะ นายเป็นอิสระแล้ว” สตีเฟนเล่าย้อนความ ทีแรกเขาคิดว่าเป็นเรื่องตลก กระทั่งมีรถอีกคันแล่นเข้ามาใกล้ มีคนตะโกนบอกให้เขาเปลี่ยนไปขึ้นรถอีกคัน และเดินทางกลับบ้าน เหตุผลของการปล่อยตัวเขาเป็นอิสระนั้น สตีเฟนยังไม่รู้มาจนถึงทุกวันนี้
นิวยอร์ก ไทม์ส รายงานข่าวว่า มีการจ่ายเงินค่าประกัน 4.2 ล้านดอลลาร์โดยรัฐบาลแอฟริกาใต้ แต่เรื่องนี้รัฐบาลแอฟริกาใต้ปฏิเสธข่าว สตีเฟน แม็คกอว์นบอกความรู้สึกของตนเองว่า เขาซาบซึ้งและติดหนี้บุญคุณทุกคนที่ให้ความช่วยเหลือเขา และยังบอกด้วยว่า “ผมเห็นพ่อของผม ผมเห็นภรรยาของผม และน้องสาวของผม ทั้งหมดคล้ายเป็นภาพที่ผมเพิ่งเห็นครั้งสุดท้ายเมื่อวานนี้เอง แต่มันก็มีรูโหว่สีดำขนาดใหญ่ของห้าปี ตอนนี้ผมไม่รู้เหมือนกันว่าที่ของผมมันอยู่ตรงไหน”
อ้างอิง:
www.stern.de
www.bbc.co.uk
america.aljazeera.com