ด้วยไลฟ์สไตล์คนดื่มกาแฟทุกวันนี้ ไม่ใช่แค่การเดินเข้าร้านกาแฟแล้วสั่งกาแฟกลับบ้านเท่านั้น หากแต่ยังต้องการประสบการณ์บางอย่างที่พิเศษออกไป โดยร้านกาแฟหลายร้านจึงมีบาร์กาแฟเพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้า ได้ทำความรู้จักพูดคุยกันถึงเรื่องราวของกาแฟ พร้อมกับที่บาริสต้าแสดงโชว์การทำกาแฟตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนถึงเสิร์ฟให้เราเป็นเครื่องดื่มตรงหน้า
ไม่เว้นแม้แต่เชนกาแฟยักษ์ใหญ่เบอร์หนึ่งในไทยอย่าง ‘สตาร์บัคส์’ ที่จำเป็นต้องปรับตัวตามวัฒนธรรมการดื่มกาแฟที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะในสาขาใหญ่ๆ ย่านธุรกิจหรือใจกลางเมือง มักมีบาร์กาแฟ สำหรับลูกค้าที่ไม่รีบร้อนอะไร อยากจะนั่งดูบาริสต้าค่อยๆ ทำกาแฟดริปให้ดื่ม เป็นการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า
ซึ่งไม่แค่นั้น สตาร์บัคส์ ยังจัดเวิร์คช้อป เป็นครั้งแรกในประเทศไทย เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจได้เรียนรู้ และเปิดประสบการณ์แห่งโลกกาแฟตามแบบฉบับของสตาร์บัคส์ ตั้งแต่ที่มาของกาแฟจากทวีปต่างๆ เทคนิคการชงด้วยเครื่องชงที่หลากหลาย วิธีการชิมและแยกรสชาติของกาแฟ เป็นต้น
เรามีโอกาสได้เข้าร่วมเวิร์คช้อปทำกาแฟกับสตาร์บัคส์ โดยเป็นหลักสูตรที่เรียกว่า Hand Brew หรือการฝึกชงกาแฟด้วยตนเอง ผ่านเครื่องชง 3 ประเภทได้แก่ Pour Over Cone Brew, Chemex และ Syphon ซึ่งเราจะได้รับคำแนะนำจากคอฟฟี่มาสเตอร์ที่จะมาสาธิตและสอนการชงด้วยวิธีการต่างๆ
ในการเวิร์คช้อป เราจะได้คู่มือเป็นสมุดเล็กๆ สำหรับจดบันทึกรสชาติกาแฟ ซึ่งกาแฟที่เอามาทำการเวิร์คช้อป จะมาจากสามแหล่งเพราะปลูกหลัก ได้แก่ กาแฟจากละตินอเมริกา นั่นคือ กัวเตมาลา ซึ่งจะมีเอกลักษณ์ที่รสชาติโกโก้และถั่ว กาแฟจากแอฟริกา นั่นคือ เคนยา จะได้รสชาติความเบอร์รี่ หรือที่คนไทยชอบพูดว่ากาแฟเปรี้ยว และกาแฟจากเอเชียแปซิฟิก จากเกาะสุมาตรา อินโดนีเซีย ที่โดดเด่นด้วยกลิ่นเครื่องเทศ
สำหรับการจะแยกรสชาติของกาแฟนั่น เราจะเปรียบเทียบใน 4 ด้านคือ กลิ่นหอม (Aroma) กลิ่มหอมละมุนของกาแฟเวลาเราดมหรือแตะจมูก ความสดชื่นมีชีวิตชีวา (Acidity) รสชาติกาแฟที่ติดลิ้นหลังจากดื่มเข้าไปแล้ว น้ำหนัก (Body) น้ำหนักของกาแฟบนลิ้นหลังจากดื่ม ซึ่งมีตั้งแต่เบา ปานกลาง และหนัก รสชาติ (Flavor) รสชาติกาแฟที่สัมผัสได้ บางครั้งมีรสที่โดดเด่นตั้งแต่ดื่มครั้งแรก และมีรสที่ซ่อนอยู่หลังจากดื่มไปสักพัก
ส่วนวิธีการชิมกาแฟ ก็ง่ายๆ 4 ขั้นตอน ได้แก่ ดมกลิ่น เป็นจุดเริ่มต้นเลยที่เราจะต้องดมกลิ่นกาแฟทุกครั้งก่อนดื่ม จากนั้นก็ซดกาแฟหรือชิมกาแฟ และปล่อยให้กาแฟกระจายไปทั่วปากเพื่อรับรสสัมผัสให้ได้มากที่สุด และค่อยๆ พิจารณาถึงน้ำหนักของกาแฟ ความรู้สึกที่คุณได้ชิมกาแฟ และรสชาติของมัน ก่อนที่จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดหรือจดบันทึกเป็นตัวหนังสือเอาไว้
เริ่มกันที่เครื่องชงแบบ Pour Over Cone Brew เป็นการชงกาแฟแบบเรียบง่ายที่สุด โดยเริ่มจากการรินน้ำอย่างช้าๆ และสม่ำเสมอ เพื่อสกัดรสชาติของกาแฟผ่านฟิลเตอร์กระดาษและกรวยเซรามิก ความโดดเด่นของกาแฟที่ได้จากเครื่องชงชนิดนี้คือ รสชาติที่กระจ่างชัด ดื่มง่าย มีกลิ่นหอมบางๆ สำหรับเราแล้วชอบกาแฟกัวเตมาลามาใช้กับเครื่องชงนี้จะได้บอดี้ที่แน่น กลิ่นโกโก้และถั่วชัดเจน และรสชาติอยู่นาน
เครื่องชงแบบ Chemex จะมีความซับซ้อนในการชงมากกว่าเครื่องชงแบบ Pour Over Cone Brew ใช้ฟิลเตอร์ที่หนากว่า เพื่อให้กาแฟแช่อยู่ในน้ำร้อนได้นานกว่า ก่อนจะค่อยๆ สกัดลงสู่โถแก้วที่รออยู่ข้างล่าง การชงด้วยเครื่องชงแบบ Chemex ต้องรินน้ำอย่างสม่ำเสมอลงบนแก้วใสรูปทรงนาฬิกาทราย เพื่อสกัดรสชาติของกาแฟผ่านฟิลเตอร์กระดาษที่หนากว่าปกติ โดยความโดดเด่นของกาแฟที่ได้จากเครื่องชงนี้คือกาแฟที่มีรสชาติเข้มและลึกกว่า กลิ่นกาแฟจะชัดเจน สำหรับเราแล้วใช้กาแฟจากเกาะสุมาตรากับเครื่องชงนี้คือเพอเฟกต์ เนื่องจากกลิ่นหอมของเครื่องเทศจะชัดเจนมาก บอดี้กาแฟก็กำลังดี ไม่เข้มจนเกินไป
สุดท้ายเครื่องชงแบบ Syphon เป็นเครื่องชงสูญญากาศที่เหมือนกับเอาศิลปะและวิทยาศาสตร์มารวมกัน ซึ่งอาจจะดูยุ่งยากเสียหน่อย แต่ก็สนุกดี เริ่มต้นด้วยการต้มน้ำในเตาฮาโลเจน เมื่อน้ำเดือด ความดันไอน้ำจะผลักดันน้ำขึ้นสู่โถแก้วที่อยู่ด้านบน จากนั้นเราค่อยๆ ใส่กาแฟลงบนน้ำและทำการคน แล้วนำเครื่องออกจากเตา เพื่อให้กาแฟที่ถูกกรองแล้วไหลกลับลงมาสู่โถแก้วด้านล่าง โดยความโดดเด่นของกาแฟที่ได้จากเครื่องชงนี้คือจะได้ความเข้มของกาแฟ บอดี้แน่น แต่รู้สึกว่าสะอาด ดื่มง่าย สำหรับเราถ้าใช้กาแฟจากเคนยาจะเหมาะกับเครื่องชงชนิดนี้มาก เนื่องจากได้กลิ่นเบอร์รี่ชัดเจน
Fact Box
- สตาร์บัคส์ เวิร์คช้อป มีทั้งหมด 3 หลักสูตรด้วยกัน ได้แก่ 1. Espresso Deconstruction 2. Aroma Flavor and Perfect Pairing และ 3. Hand Brew ผู้ที่สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือสำรองที่นั่งได้ที่สตาร์บัคส์ สาขาเซนทรัลเวิลด์ ชั้น 5 โทร.06-5521-3418