เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2019 ที่ผ่านมา เขาเพิ่งอายุครบ 50 ปี มีชื่อเสียงเป็นลำดับต้นของวงการแข่งรถ ไม่เคยมีนักขับคนไหนเคยครองแชมป์โลกได้ถึง 7 ครั้ง ไม่เคยมีใครชนะรายการแข่งรถฟอร์มูลา-วันถึง 91 ครั้ง และไม่มีใครเคยได้ขึ้นไปยืนบนแท่นโพเดียมบ่อยถึง 155 ครั้ง…เท่าเขา ก่อนที่ทุกอย่างจะกลายเป็นตำนาน หลังจากเขาประสบอุบัติเหตุแบบเฉียดตายระหว่างเล่นสกีเมื่อปี 2013  

มิคาเอล ชูมัคเกอร์ (Michael Schumacher) เกิดเมื่อปี 1969 ในเฮือร์ต-แฮร์มึลไฮม ใกล้เมืองโคโลญน์ เริ่มสนใจเล่นโกคาร์ตของพ่อมาตั้งแต่อายุ 4 ขวบ พ่อของเขาเองก็รับรู้ได้ว่าลูกชายมีพรสวรรค์ในเรื่องความเร็วและการขับขี่รถสปอร์ต จึงส่งตัวเขาเข้าสโมสรโกคาร์ต

‘ชูมี’ สร้างชื่อเสียงให้ตัวเองได้ตั้งแต่วัย 15 ด้วยการครองแชมป์กีฬาโกคาร์ตรุ่นจูเนียร์ ก่อนไต่อันดับขึ้นสู่แชมป์ยุโรปในปี 1987 และในปีถัดมาก็คว้าตำแหน่งแชมป์ฟอร์มูลา คิงของเยอรมนี ตามด้วยรองแชมป์ยุโรปในการแข่งขันฟอร์มูลา ฟอร์ด 1600

ปี 1990 ชูมัคเกอร์เริ่มขับรถสปอร์ตให้กับค่ายไดม์เลอร์-เบนซ์ จนถึงปี 1991 ซึ่งถือว่าเป็นปีทองของเขา เมื่อมีโอกาสได้ทำความฝันให้เป็นจริง ด้วยการลงแข่งขันฟอร์มูลา-วัน แถมคว้าชัยชนะมาได้ด้วย ในครั้งนั้นเขาเองก็ไม่อยากจะเชื่อว่า ตนเองจะสามารถสานฝันให้เป็นจริงได้ เพราะพ่อแม่ของเขาไม่มีเงินมากพอที่จะสนับสนุนลูกชายได้อย่างเต็มที่

มิคาเอล ชูมัคเกอร์คว้าตำแหน่งแชมป์โลกครั้งแรกเมื่อปี 1994 ปีต่อมาเขาแข่งขันป้องกันแชมป์ไว้ได้ และแต่งงานกับโครินนา เบตช์ (Corinna Betsch) ทั้งคู่มีลูกด้วยกันสองคน ลูกสาว-จีนา และลูกชาย-มิค ที่ต่อมาก็เป็นนักขับรถแข่งตามรอยพ่อ

ปี 1996 ชูมัคเกอร์ย้ายค่ายจากเบเนตตองไปเฟอร์รารี และสามารถคว้าตำแหน่งแชมป์โลกได้ติดต่อกันตั้งแต่ปี 2000-2004 ซึ่งถือเป็นช่วงพีคที่สุดของเขา ขณะเป็นนักขับรถแข่ง เขาเคยประสบอุบัติเหตุครั้งร้ายแรงที่สุดระหว่างการแข่งกรังด์ปรีซ์ในอังกฤษ ครั้งนั้นรถของเขาไถลออกนอกเส้นทาง และเสียหลักพลิกคว่ำ จนกระดูกหน้าแข้งและน่องหัก ต้องพักรักษาตัวเป็นเวลานาน กระทั่งในปี 2006 เขาตัดสินใจประกาศวางมือจากการแข่งขัน

แต่แล้วในปี 2010 เขาก็หวนกลับเข้าสู่วงการอีกครั้ง คราวนี้เป็นนักขับในสังกัดของเมอร์เซเดส แต่ผลงานของเขากลับสร้างความผิดหวัง ท้ายที่สุด ชูมักเคอร์ต้องประกาศถอนตัวจากการแข่งขันฟอร์มูลา-วันอีกครั้งในปี 2012 หลังจากเมอร์เซเดสไม่ต่อสัญญา

“ผมคงหมดแรงจูงใจและพลังงานที่จำเป็นอย่างไม่ต้องสงสัย” เขาบอกระหว่างแถลงข่าว และหลังจากเสร็จสิ้นการแข่งกรังด์ปรีซ์ครั้งสุดท้ายในบราซิล เขายังกล่าวอีกว่า “ตอนนี้ผมยังไม่มีแผนการอนาคตที่ชัดเจน”

29 ธันวาคม 2013 มิคาเอล ชูมักเคอร์ นักสกีมีฝีมือ ออกจากที่พักเวลา 11 นาฬิกาเพื่อขึ้นไปยังจุดความสูง 2,700 เมตรของพื้นที่เล่นสกีในเมริเบล ประเทศฝรั่งเศส บนหมวกนิรภัยของเขามีกล้องติดอยู่ด้วย และกล้องตัวนี้เองที่ในเวลาต่อมาได้เล่าถึงเหตุการณ์ช่วงนาทีที่เขาประสบอุบัติเหตุว่า ชูมักเคอร์เคลื่อนตัวออกจากรันเวย์ที่ทำเครื่องหมายไว้ประมาณสามถึงหกเมตร ระหว่างที่เหวี่ยงตัวไปมาเขาเริ่มเสียหลัก พุ่งไปยังแอ่งที่มีหิมะตกใหม่ สกีของเขาสะดุดจนเขาล้มลง ศีรษะกระแทกเข้ากับโขดหิน หมวกนิรภัยของเขาชำรุด ชูมักเคอร์ได้รับบาดเจ็บที่สมองอย่างรุนแรง

หน่วยกู้ภัยฉุกเฉินทำการพยาบาลเขาในเบื้องต้น ก่อนที่เฮลิคอปเตอร์จะมา ชูมักเคอร์ถูกส่งตัวไปที่มูติเยร์ แต่แพทย์ที่นั่นวินิจฉัยพบว่า อาการบาดเจ็บของเขาสาหัสเกินกว่าจะทำการรักษาที่นั่นได้ เขาถูกเคลื่อนย้ายอีกครั้งไปยังโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยในเกรอน็อบล์

ช่วงบ่าย ซาบีเน เคห์ม ผู้จัดการของชูมักเคอร์ให้ข่าวยืนยัน “มิคาเอลเดินทางไปเล่นสกีบนเทือกเขาแอลป์ของฝรั่งเศส และประสบอุบัติเหตุได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ตอนนี้เขาอยู่ในความดูแลของหมอที่โรงพยาบาลแล้ว”

30 ธันวาคม 2013 มิคาเอล ชูมักเคอร์มีอาการบาดเจ็บที่สมองอย่างรุนแรง แพทย์สรุปอาการของเขาว่าอยู่ใน ‘ขั้นวิกฤติ’ เขาได้รับการผ่าตัดสมองถึงสองครั้ง และยังอยู่ในอาการโคม่า

ข่าวชูมักเคอร์ประสบอุบัติเหตุได้รับความสนใจอย่างมาก นอกจากชาวเยอรมันนับล้านคนแล้ว นายกรัฐมนตรีอังเกลา มาร์เคล รวมทั้งคณะรัฐบาล ยังแสดงออกถึงความห่วงใย

ตลอดช่วงเวลากว่าห้าเดือนที่มิคาเอล ชูมักเคอร์อยู่ในอาการโคม่า ไม่เคยปรากฏข่าวหรือรายละเอียดเกี่ยวกับอาการหรือการรักษาพยาบาลเขาให้คนภายนอกรับรู้เลย กลางเดือนมิถุนายน 2014 สื่อมวลชนได้รับแจ้งจากผู้จัดการส่วนตัวของเขาเพียงว่า ชูมักเคอร์ฟื้นจากอาการโคม่าแล้ว และถูกส่งตัวไปพักฟื้นที่คลินิกในเมืองโลซานน์ และขอร้องให้เคารพความเป็นส่วนตัวของสมาชิกทุกคนในครอบครัวชูมักเคอร์ หลังจากนั้นก็ไม่มีข่าวคราวจากเขาอีกเลย

ปลายปี 2014 ผู้จัดการส่วนตัวของชูมักเคอร์ให้สัมภาษณ์สื่อทีวีว่า ชูมักเคอร์มีพัฒนาการที่ดีขึ้น แต่ก็เหมือนทุกครั้งคือ ปราศจากรายละเอียดใดๆ เกี่ยวกับอาการ หรือแม้กระทั่งชีวิตความเป็นอยู่ของเขา

นอกจากไม่มีข้อมูลบอกกล่าวต่อสาธารณชนแล้ว สมาชิกครอบครัวชูมักเคอร์ยังฟ้องร้องเอาความกับสื่อทุกประเภทที่รายงานข่าวเกี่ยวกับมิคาเอล ชูมักเคอร์ด้วย ในเดือนพฤษภาคม 2017 ศาลแพ่งรัฐฮัมบวร์กตัดสินคดีให้นิตยสารบุนเต ซึ่งเป็นนิตยสารข่าวคนดังและดารา จ่ายค่าเสียหายแก่มิคาเอล ชูมักเคอร์เป็นจำนวนเงิน 50,000 ยูโร สาเหตุเพราะนิตยสารดังกล่าวรายงานข่าวจากภาพปกฉบับหนึ่งในเดือนธันวาคม 2015 ว่า “ยิ่งกว่ามหัศจรรย์วันคริสต์มาส – มิคาเอล ชูมักเคอร์กลับมาเดินได้อีกครั้งแล้ว”

เมื่อวันครบรอบวันคล้ายวันเกิดปีที่ 50 ของมิคาเอล ชูมักเคอร์ ครอบครัวของเขาพยายามนำเรื่องราวของราชานักแข่งรถออกเผยแพร่ทางสื่อโซเซียล แอปพลิเคชัน และในรูปแบบของนิทรรศการ อีกทั้งยังมีแผนการจะจัดทำพิพิธภัณฑ์จำลองโดยเทคนิคคอมพิวเตอร์ เพื่อแสดงผลงานความสำเร็จของชูมักเคอร์

นอกจากนั้น เรื่องราวชีวิตของมิคาเอล ชูมักเคอร์ยังได้รับการสร้างเป็นหนังสารคดี Schumacher อีกด้วย ซึ่งจะแล้วเสร็จพร้อมออกฉายในวันที่ 5 ธันวาคม 2019 เป็นเรื่องราวจากคำบอกเล่าผ่านการสัมภาษณ์โครินนา-ภรรยา รอล์ฟ-ผู้เป็นพ่อ รวมทั้งจีนาและมิค-ลูกทั้งสองของเขา พร้อมภาพและวิดีโอส่วนตัว

ชีวิตและเรื่องราวความสำเร็จของราชานักแข่งรถ-เท่านั้น ที่ทุกคนที่เกี่ยวข้องอยากเล่า แต่ชีวิตและเรื่องราวขณะ-หรือยังเป็นเจ้าชายนิทรา กลับไม่มีใครที่รู้เห็นอยากจะเล่า

เทรลเลอร์ของหนังสารคดีเรื่องนี้พร้อมออกฉายในเทศกาลภาพยนตร์ที่เมืองคานส์ และได้รับการติดต่อขอซื้อลิขสิทธิ์ทั้งจาก Netflix และ Amazon เรียบร้อยแล้ว

 

อ้างอิง:

Tags: , , , , , ,