อดีตรองประธานาธิบดีโจ ไบเดน กำลังลงสนามแข่งขันชิงตำแหน่งสูงสุดทางการเมืองในปีนี้ หลังจากชนะคะแนนโหวตในพรรคเดโมแครตของตนเองมาได้ และผลโหวตที่นำหน้าผู้สมัครของพรรคอย่าง เบอร์นี แซนเดอร์ส เอลิซาเบธ วอร์เรน กมลา แฮร์รีส และแอนดรูว์ หยาง เป็นตัวบ่งชี้ว่าการเลือกตั้งปี 2020 เขาจะเหลือคู่แข่งขันเพียงคนเดียว นั่นคือ โดนัลด์ ทรัมป์
โจเซฟ โรบินเน็ตต์ ไบเดน จูเนียร์ (Joseph Robinette Biden Jr.) เจ้าของฉายา ‘อังเคิล โจ’ เกิดเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 1942 ในสแคนตัน รัฐเพนซิลวาเนีย รัฐที่เต็มไปด้วยอุตสาหกรรมหนักอย่างถ่านหิน ความขัดสนในครอบครัวทำให้เขามีวัยเด็กที่มากด้วยปัญหา กระทั่งอายุสิบขวบ พ่อแม่ของเขาก็อพยพครอบครัวไปยังเดลาแวร์ ที่นั่นโจมีโอกาสได้ร่ำเรียนจนสำเร็จด้านกฎหมาย และทำงานเป็นทนายความ นับแต่ปี 1973 เขาได้รับเลือกเป็นสภาชิกวุฒิสภา ครองตำแหน่งมายาวนานถึง 36 ปี
ในยุคของบารัก โอบามา ระหว่างปี 2009 ถึง 2017 ไบเดนเคยดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดี มีบทบาทเป็นที่จับตามองและเป็นที่รู้จักของคนทั้งประเทศ โดยเฉพาะนโยบายการต่างประเทศที่โดดเด่นของเขา
โจ ไบเดน ไม่ต่างอะไรกับเบอร์นี แซนเดอร์ส ที่เคยล้มเหลวในการโหวตเลือกผู้สมัครตำแหน่งประธานาธิบดีในพรรคของตนเองถึงสองครั้ง เมื่อคราวเลือกตั้งปี 1988 และ 2008 ครั้งแรกไบเดนสะดุดกับเรื่องลอกเลียนถ้อยความปราศรัยของผู้นำพรรคแรงงานในอังกฤษ ครั้งที่สองเขาไม่มีทางสู้บารัก โอบามาและฮิลลารี คลินตัน ต้องถอนตัวตั้งแต่หลังการโหวตรอบแรก
ย้อนกลับไปเมื่อปี 1972 หลังได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาไม่นาน โจ ไบเดนก็เผชิญกับความสูญเสียในครอบครัว นีเลีย ฮันเตอร์ (Neilia Hunter) ภรรยาของเขาประสบอุบัติเหตุรถยนต์พร้อมกับลูกๆ สามคน นีเลียและลูกสาววัย 13 เดือนเสียชีวิตในทันที พี่สาวของเขายื่นมือเข้ามาช่วยรับภาระเรื่องการเลี้ยงดูลูกชายทั้งสอง กระทั่งไบเดนแต่งงานใหม่อีกครั้งในหลายปีต่อมา
ปี 2015 เขาต้องเผชิญชะตากรรมอีกหน เมื่อโบ (Beau) ลูกชายของเขาเสียชีวิตขณะอายุ 46 ปีด้วยโรคมะเร็งในสมอง ครั้งนั้นทำให้เขาต้องถอนตัวออกจากการโหวตชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในพรรค
…..
ถนนบาร์ลีย์ มิลล์ ชานเมืองวิลมิงตัน ในรัฐเดลาแวร์ วิลลาสองฟากถนนแทรกตัวอยู่ในพื้นที่สีเขียว บนเนินของบ้านเลขที่ 1209 มีรถลีมูซีนสีขาวจอดเรียงกันเกือบปิดซอยทางเข้า เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในชุดกางเกงสีกากีและเสื้อแจ็กเก็ตสีดำคอยตรวจตราสอดส่องทุกคนที่เดินผ่านบริเวณนั้น บ้านของโจและจิลล์ (Jill) ไบเดนตั้งอยู่ริมน้ำตรงปลายซอย
บ้านมีความสำคัญสำหรับไบเดนเสมอ ตั้งแต่เริ่มอาชีพทนายเขาเคยซื้อบ้าน บูรณะมัน และปล่อยเช่า ทั้งที่ไม่ได้มีแผนอะไรเป็นพิเศษ เขาเพียงรู้สึกว่ามันเป็นคุณค่าเชิงสัญลักษณ์ของอสังหาริมทรัพย์ และเขาบุกเบิกทำมันจนกระทั่งย่านคนจนของวิลมิงตันกลายเป็นย่านที่น่าพักอาศัยในท้ายที่สุด
โจเซฟ โรบินเน็ตต์ ไบเดน ซีเนียร์ (Joseph Robinette Biden Sr.) พ่อของเขาเคยเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมาจนถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่สองยุติ ก่อนสิ้นเนื้อประดาตัว ครอบครัวตกทุกข์ได้ยาก นับแต่นั้นมาไบเดนต้องผันตัวเองเป็นพนักงานขายรถยนต์เพื่อจุนเจือครอบครัว ในหนังสืออัตชีวประวัติ เขาเคยเขียนพรรณนาชื่นชมในผู้เป็นพ่อที่ไม่เคยแม้แต่จะด่าทอหรือทุบตีลูกๆ “มีแต่คนเล็กๆ เท่านั้นที่ทุบตีเด็กเล็กๆ”
ไบเดนใฝ่ฝันอยากเป็นนักการเมืองหรือไม่ก็นักฟุตบอลอาชีพมาตั้งแต่วัยเด็ก ด้วยความเพียรพยายามอย่างมาก ทำให้ไบเดนสามารถเอาชนะอะไรหลายอย่าง รวมทั้งเอาชนะการพูดติดอ่างที่เขาเป็นมาตั้งแต่ครั้งเยาว์วัย
หลังจากสำเร็จการศึกษาด้านกฎหมายจากเซราคิวส์ รัฐนิวยอร์ก ไบเดนเลือกงานอาชีพทนาย เนื่องจากเขามองว่ามันคือจุดเริ่มต้นอาชีพทางการเมืองของเขา เหมือนบุคคลต้นแบบของเขาอย่าง จอห์น เอฟ. เคนเนดี หรือริชาร์ด นิกสัน
…..
ในวัย 77 ปี และในช่วงวิกฤตไวรัสโคโรนา โจ ไบเดนมักใช้เวลาส่วนใหญ่เก็บตัวอยู่ภายในบ้าน และปรากฏตัวเพื่อหาเสียงผ่านทางออนไลน์ เขาใช้พื้นที่ชั้นใต้ดินของบ้านส่วนตัวเป็นสตูดิโอชั่วคราวสำหรับการถ่ายวิดีโอ มีฉากเบื้องหลังที่ดูคล้ายเป็นเครื่องหมายการค้าของผู้สมัครตำแหน่งประธานาธิบดีของพรรคเดโมแครต นั่นคือ ชั้นวางหนังสือ ลูกฟุตบอลหนัง อีกทั้งแสงไฟปลอมๆ ที่ทำให้ไบเดนดูชราภาพเกินความเป็นจริง
“ผมหวังจริงๆ ว่าเขาจะตะกายออกจากชั้นใต้ดินได้สำเร็จ” โดนัลด์ ทรัมป์เคยเหยียดนักการเมืองคู่แข่งของเขา
ช่วงต้นเดือนพฤษภาคมไบเดนก้าวออกจากชั้นใต้ดิน แต่ก็ไม่ห่างจากบันไดหน้าบ้าน เพื่อประชุมออนไลน์กับประชากรเชื้อสายละตินอเมริกัน เขาเลือกนั่งบริเวณริมหน้าต่างชั้นล่างของบ้าน ด้านนอกมีลมพัดโบก ต้นไม้ไหวเอน ท้องฟ้าโปร่ง จู่ๆ ใบหน้าของไบเดนก็ดูอ่อนวัยกว่าปกติเมื่อต้องแสงธรรมชาติ
ว่าแต่ทำไม ด้วยวัยขนาดนี้ โจ ไบเดนจึงยังคิดอยากเป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา? คำตอบเดียวน่าจะเป็นเพราะโดนัลด์ ทรัมป์ ในการให้สัมภาษณ์ผ่านเว็บฯ วิดีโอครั้งหนึ่ง เขากล่าวว่า ทรัมป์กำลังเป็นภัยต่อสหรัฐอเมริกา หากว่ายังครองตำแหน่งไปถึงแปดปี “ทรัมป์จะทำให้เอกลักษณ์ของชาติเปลี่ยนไปตลอดกาล ผมไม่อาจทนดูหรือปล่อยให้มันเกิดขึ้นเด็ดขาด”
อดีตรองประธานาธิบดีไบเดนปรารถนาจะสืบต่อนโยบาย ‘โอบามา แคร์’ เขาคิดว่าประชาชนควรมีประกันสุขภาพใหม่และราคาถูกของรัฐ เคียงคู่ไปกับประกันสุขภาพราคาแพงของเอกชน รวมถึงนโยบายเกี่ยวกับสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อมก็อยู่ในหัวข้อหาเสียงของไบเดน ที่ต้องการเห็นสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่ไม่มีการปล่อยคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศให้ได้ภายในปี 2050 และจะนำประเทศกลับเข้าไปร่วมกับประชาคมโลกตามข้อตกลงปารีส
ระหว่างการดีเบตของพรรคเดโมแครตถ่ายทอดทางโทรทัศน์ครั้งที่สองในดีทรอยต์ ไบเดนตอบโต้เสียงวิจารณ์เรื่องนโยบายผู้อพยพทั้งจากสมาชิกภายในพรรคและพรรคคู่แข่ง เขายืนยันว่านโยบายของเขาจะแตกต่างกว่าของประธานาธิบดีคนปัจจุบัน นอกจากจะยกเลิกการปิดกั้นกลุ่มประเทศมุสลิมแล้ว เขายังจะยกเลิกการลดโควตาผู้อพยพและผู้ขอสัญชาติอเมริกัน รวมทั้งเพิ่มโควตาผู้ลี้ภัยให้มากขึ้นกว่าเดิม
ล่าสุด ไบเดนยังหยิบยกประเด็นความไม่สงบภายในประเทศ ที่เพิ่งเกิดขึ้นที่พอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอน และเคโนชา รัฐวิสคอนซิน เขากล่าวโทษทรัมป์ที่ปกป้องและเข้าข้างผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกันที่กระทำความผิด พร้อมทั้งเรียกร้องให้ทรัมป์ยุติความขัดแย้ง ความรุนแรง อันสืบเนื่องมาตั้งแต่การประท้วง ‘Black Lives Matter’ ด้วยนโยบายความเท่าเทียมและยุติธรรมสำหรับคนผิวสีอย่างเป็นรูปธรรม
นอกจากนั้นเขายังเห็นดีกับการปฏิบัติที่เสมอภาคและเป็นธรรมต่อกลุ่มโฮโมเซ็กชวลและทรานสเซ็กชวลในแง่กฎหมาย ซึ่งต้องทำให้ลุล่วงและโดยเร็ว
…..
โจ ไบเดนมีประสบการณ์มากกว่าคู่แข่งขันคนอื่นๆ ข้อนี้เป็นคำชมของสื่อต่างประเทศ เขาเป็นคนจริงจังกับการทำงาน เคยเป็นทนายที่พึ่งของชนชั้นล่าง เคยประชุมรับฟังปัญหากับสมาพันธ์แรงงานต่างๆ บ่อยครั้ง เขาเป็นคนถ้อยทีถ้อยอาศัย สงบเสงี่ยม ทั้งยังตอบสนองความปรารถนาของใครบางคนที่ชื่นชอบยุคสมัยของโอบามา
ถึงกระนั้นเขา รวมถึงเบอร์นี แซนด์เดอร์สไม่ได้อยู่ในกลุ่มคนรุ่นใหม่วัยหนุ่ม “โดยพื้นฐานแล้ว อดีตรองประธานาธิบดีของโอบามาต้องการฟื้นฟูสภาพเดิมให้เหมือนยุคก่อนที่ทรัมป์จะเข้ารับตำแหน่ง” ตามวิเคราะห์ของสื่อ ไบเดนไม่ต่างอะไรกับไมค์ เพนซ์ (Mike Pence) รองประธานาธิบดีของทรัมป์ ซึ่งเป็นตัวแทนของจุดยืนทางศาสนาแบบอนุรักษนิยม
แต่ท่ามกลางสถานการณ์วิกฤตเช่นนี้ บางทีสหรัฐอเมริกา ในฐานะประเทศมหาอำนาจของโลก อาจต้องการคนสูงวัย ผู้พรั่งพร้อมประสบการณ์ และไม่ฉุนเฉียวเกรี้ยวกราดมาเป็นผู้นำก็ได้
อ้างอิง:
Tags: โจ ไบเดน
