ผู้อำนวยการสร้างค่อนข้างหงุดหงิดและผิดหวัง ที่ทีมงานเลือกดาราชายผู้นี้มารับบทมาเฟีย ตัวก็เล็ก ขี้อาย แถมไม่ค่อยมีคนรู้จัก ทำไมไม่มีใครเลือกนักแสดงอย่างแจ็ค นิโคลสันมาเล่น
ถ้าไม่ติดขัดจริงๆ ละก็ โรเบิร์ต อีแวนส์-ผู้อำนวยการสร้าง อยากจะบอกเลิกและไสหัวดาราโนเนมไปให้พ้นๆ แต่เพราะทำไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงมีอคติที่จะเรียกชื่อนักแสดงชายผู้นี้ โดยเรียก ‘คนแคระ’ แทนชื่อจริง หรือบางครั้งก็เรียก ‘ไอ้ล่ำเตี้ย’
คนแคระที่หมายถึงคือ อัล ปาซิโน เจ้าของรางวัลออสการ์ และนักแสดงรุ่นใหญ่ของฮอลลีวูด
ครั้งนั้น-เมื่อปลายฤดูร้อน 1970 มีเพียงฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลาเท่านั้นที่รับรู้ในความสามารถของปาซิโน ตอนนั้นผู้กำกับฯ คนดังกำลังจะนำนิยายขายดีเรื่อง The Godfather ของมาริโอ พูโซมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ ผู้อำนวยการสร้างอีแวนส์เองก็คาดหวังว่าหนังน่าจะประสบความสำเร็จ เพราะหนังสือ The Godfather ติดอันดับหนังสือขายดีของนิวยอร์ก ไทม์ส มานานถึง 67 สัปดาห์แล้ว
แต่แล้วจู่ๆ เขาก็มีเรื่องขัดใจกับผู้กำกับฯ หัวรั้น – คอปโปลายืนยันจะเลือกมาร์ลอน แบรนโดมาเล่นบทนำ ‘ดอน วิโต คอร์เลโอเน’ ซึ่งอยู่นอกสายตาของอีแวนส์ บทนำตัวรอง ‘ไมเคิล’ ที่เป็นลูกชายของดอน วิโตนั้น อีแวนส์จึงคาดหวังจะได้ดาราฮอตมาเล่น แต่เขาก็ต้องผิดหวัง เมื่อคอปโปลากลับตัดสินใจไปเลือกปาซิโน ซึ่งเป็นนักแสดงที่แทบไม่มีใครรู้จัก มารับบทดังกล่าว ผู้กำกับฯ และนักแสดงที่เขาโอบอุ้มต้องทำงานด้วยกันตลอดหลายสัปดาห์ภายใต้แรงกดดัน ที่อาจส่งผลให้พวกเขาต้องหลุดจากงานโปรเจ็กต์นี้ได้
กว่าจะรู้ว่าอีแวนส์คิดผิดก็เมื่อภาพยนตร์ออกฉายรอบปฐมฤกษ์ปี 1972 The Godfather พลิกประวัติศาสตร์วงการภาพยนตร์ และอัล ปาซิโนกลายเป็นดาราดังในชั่วข้ามคืน ศิลปะการแสดงของเขาจู่ๆ ก็กลายมาตรฐาน นักแสดงรุ่นหลังพากันศึกษาแนวทางการแสดงของเขาใน The Godfather และ The Godfather II โดยเฉพาะช่วงฉากสำคัญ ที่หลังจากผ่านความทุกข์ทรมานใจจนทำให้ไมเคิล คอร์เลโอเนกลายเป็นนักฆ่า
เขายิงศัตรูฝ่ายตรงข้ามและตำรวจกังฉินในภัตตาคาร ปาซิโนเล่นเป็นผู้ชายที่ดูคล้ายนั่งกินดื่มอยู่กับคู่ค้าทางธุรกิจอย่างผ่อนคลาย ทว่าสายตาของเขาส่อแววสับสน ลังเล และความตึงเครียดจากภายในพลุ่งพล่านขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงวินาทีที่เขาผุดลุกขึ้น และยิง เป็นช่วงเวลาแห่งตำนานของประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ที่กลายเป็นมาตรฐานในการวัดผลของปาซิโน ซึ่งในขณะที่กำลังถ่ายทำนั้น เขาคิดอยู่ว่าตนเองจะตกงานคืนนั้นเลยหรือไม่-ไม่รู้
มันอาจจะเป็นงานที่เขาเตรียมพร้อมมาอย่างดี หรือไม่ บางทีก็อาจจะมาจากประสบการณ์ชีวิตที่ขมขื่นของเขาเองก็ได้
อัลเฟรโด เจมส์ ปาซิโน (Alfredo James Pacino) มีชื่อเล่นว่า ‘ซันนี’ เป็นทายาทของครอบครัวผู้อพยพจากอิตาลี เกิดและเติบโตขึ้นมาในย่านบรองซ์ของนครนิวยอร์ก พ่อกับแม่แยกทางกันตอนที่เขาอายุสองขวบ ปาซิโนเริ่มดื่มเหล้าและสูบบุหรี่ตั้งแต่ตอนอายุเก้าขวบ สูบกัญชาตอนอายุ 13 และเลิกเรียนตอนอายุ 17 โดยที่ยังไม่จบ เขาออกทำงานหาเลี้ยงตัวเอง เป็นเด็กส่งของ พนักงานล้างจาน ภารโรง แต่ได้เงินไม่พอยาไส้อยู่ดี บ่อยครั้งเขาต้องนอนตามข้างถนน
และตั้งแต่วัยเด็กแล้ว ที่เขามักหนีโลกความจริงไปสู่โลกแห่งความฝัน ตามโรงหนังและโรงละคร เคยถึงกับยอมทำงานเป็นพนักงานเดินตั๋วเพื่อประหยัดค่าดูหนัง สมัยเป็นวัยรุ่นเขาเคยขึ้นเวทีแสดงในโรงละครใต้ดินของนิวยอร์ก ก่อนจะสมัครเข้าเรียนการแสดงที่ Actors Studio ในเฮลส์ คิตเชน ที่ซึ่งมาร์ลอน แบรนโดเคยร่ำเรียนมาก่อน แต่เขาถูกปฏิเสธ จึงต้องเร่ไปสมัครเรียนที่อื่น และกลับมาลองสมัครใหม่ที่ Actors Studio อีกครั้งเมื่อสี่ปีให้หลัง ปรากฏว่าได้ ครูของเขาที่นั่นเป็นผู้กำกับละครชื่อดัง-ลี สตราสเบิร์ก ผู้ชี้ทาง ‘method acting’ (วิธีการแสดงแบบเข้าถึงตัวละคร) ให้กับเขา และต่อมาก็ร่วมแสดงด้วยใน The Godfather II
ปาซิโนในวัยหนุ่มน่าจะซึมซับวิธีการแสดงแบบนี้เป็นทุนรอน มันไม่ใช่เป็นเพียงบทบาทที่เขาเล่น หากมันกลายเป็นคาแรกเตอร์ และปาซิโนทำได้ดีตลอดมา กระทั่งบ่อยครั้งเขารู้สึกคล้ายไม่หลุดพ้นจากบทที่เขาแสดง บางครั้งก็มีผลกระทบกับชีวิตประจำวัน
อย่างช่วงที่เขาถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Serpico ทุกครั้งหลังเลิกงานเขามักไล่บี้ตามจับคนขับรถบรรทุกที่ปล่อยควันดำ หรือเมื่อครั้งที่เล่นเรื่อง Insomnia ในบทตำรวจที่มีปัญหาเรื่องการนอน หลังจากถ่ายทำเสร็จแล้วเขาก็มีปัญหาเรื่องนอนไม่หลับอยู่นานเป็นปี
แต่ทุกบทบาทที่ปาซิโนสวม เขาใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ และผลตอบแทนที่เขาได้รับก็คือ รางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในปี 1993 จากผลงานภาพยนตร์เรื่อง Scent of a Woman แม้ว่าก่อนหน้านั้นเขาจะเคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยประสบความสำเร็จ
ในช่วงทศวรรษ 1970s ที่ปาซิโนทุ่มเทความสามารถให้กับงานภาพยนตร์อย่าง Serpico หรือ …And Justice for All อย่างสุดตัวนั้น เขาแทบจดจำอะไรได้ไม่ชัดเจน จังหวะย่างก้าวของเขารวดเร็วมาก “ผมคิดว่าทุกคนคงรู้จักความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ได้ดี ระหว่างมาร์ตินีแก้วที่สองและสาม นั่นคือสิ่งที่ผมต้องการ…ตลอดเวลา” ปาซิโนเคยให้สัมภาษณ์ แต่น้อยครั้งนักที่เขาจะหยุดแค่แก้วที่สาม เขาดื่มแบบหัวราน้ำเลยทีเดียว
กระทั่งถึงจุดหนึ่งที่เขาทรุดโทรม แสดงความสามารถต่อหน้ากล้องได้ไม่เหมือนเดิม อย่างเช่นในภาพยนตร์คอเมอดี Author! Author! (1982) ที่นอกจากชื่อเรื่องจะฟังดูตลกแล้ว รายได้ของหนังเรื่องนี้ยังตกต่ำอีกด้วย หรือในเรื่อง Cruising (1980) ที่ปาซิโนเล่นเป็นตำรวจนอกเครื่องแบบใส่ชุดหนังออกสืบคดีฆาตกรรมเกย์ต่อเนื่อง ทั้งโฮโมเซ็กฌวลและผู้ชมทั่วไปก็พากันประท้วงอย่างไม่ปรานี
แต่ในช่วงเวลานั้น ปาซิโนก็ได้รับบทบาทหนึ่งซึ่งทำให้เขากลับกลายมาเป็นพระเอกของบรรดามาโชและพวกอยากเป็นนักเลงทั้งหลาย นั่นคือบทพ่อค้ายาเสพติดผู้มีพื้นเพจากคิวบา ‘โทนี มอนทานา’ ในเรื่อง Scarface (1983) หนังที่เต็มไปด้วยคำสบถหยาบคาย แฟนหนังนับคำว่า “fuck” ตลอดทั้งเรื่องได้มากกว่า 200 คำ ปาซิโนเล่นบทหัวหน้าแก๊งด้วยลีลาที่แตกต่างจากบทไมเคิล คอร์เลโอเนใน The Godfather
ช่วงชีวิตที่ผ่านมา แม้อัล ปาซิโนจะมีความเชื่อในศาสนาโรมันคาทอลิก แต่เขาไม่เคยแต่งงาน เขามีลูกสามคน ลูกสาวหนึ่งคนกับแจน ทาร์แรนต์ และลูกแฝดหญิง-ชายกับเบเวอร์ลี ดีแอนเจโล
ปัจจุบันเขายังใช้ชีวิตในวัย 79 ปีอยู่ที่บ้านในอีสต์ ฮาร์เล็ม นครนิวยอร์กถิ่นกำเนิด
อ้างอิง:
- http://www.whoswho.de/bio/alfredo-james-pacino.html
- https://www.bild.de/unterhaltung/leute/al-pacino/ich-war-klein-haesslich-und-hatte-einen-starken-akzent-40063188.bild.html
Tags: The God Father, อัล ปาซิโน