ดังที่ฉากแรกของหนังได้กล่าวไว้ เขาทำหนังเรื่องนี้ขึ้นในช่วงเวลาหลังการรัฐประหารในประเทศนี้ 

แต่นี่ไม่ใช่หนังว่าด้วยเรื่องของประเทศไทยในรัฐบาลทหาร แต่มันเป็นหนังว่าด้วยโลกของรัฐทหารที่แท้ ที่ๆ การสู้รบยังดำเนินไป โลกของคนไทใหญ่ในเขตชายแดนไทยพม่าที่ชายชนกลุ่มน้อยชาวไทยังต้องฝึกทหารทุกคนขั้นต่ำเป็นเวลาห้าปีเพื่อป้องกันการรุกรานและแสวงหาอธิปไตยจากพม่า ตามที่หลายสิบปีก่อน นายพลอองซานได้ตกลงกับพวกเขาไว้ในสนธิสัญญาปางโหลง

แต่นี่ไม่ใช่หนังที่พาผู้ชมเข้าไปข้างในชีวิตของผู้คนในนั้น ไม่ใช่สารคดีเลือดเดือดที่ิติดตามโลกของชนกลุ่มน้อยนำเสนอปัญหาและการดิ้นรน ไม่ใช่สารคดีสงครามหรือเล่าประวัติศาสตร์หรือแม้แต่การเมืองระหว่างประเทศ

แต่มันคือสารคดีที่เริ่มจากคนกับคน คนทำสารคดีติดตามคนหนุ่มคนหนึ่งที่เคยลงมาใช้ชีวิตเป็นเด็กเสิร์ฟร้านคาราโอเกะในเชียงใหม่ก่อนจะกลับขึ้นไปบ้านทั้งเพราะไม่มีบัตรและรู้สึกเป็นห่วงทางบ้าน เขากลับมาเขารับการฝึกทหารหนังติดตามเขาขณะเข้าค่ายทหารจนฝึกจบติดตามไปดูพิธีเฉลิมฉลองทหารใหม่ประจำปี ตามไปจนถึงการออกไปปฏิบัติการตามป้อมค่ายต่างๆ 

อย่างเชื่องช้า หนังดำเนินไปด้วยภาพของการฝึกทหารชีิวิตในค่ายทหาร การสวมเครื่องแบบทหาร การกินนอนอยู่ในนั้นคลอไปกับภาพชีวิตของเขากับน้องๆ ซ้อนทับเข้ากับเสียงสัมภาษณ์เขาโดยคนทำหนังทั้งเรื่องชีวิตในเชียงใหม่ไปจนถึงความจำเป็นของการที่ต้องเป็นทหาร 

สารคดีสามเรื่องและสารคดีกึ่งหนังอีกเรื่องหลังของนนทวัฒน์ใช้วิธีการเล่าผ่านเรื่องเล่าที่เป็นเรื่องส่วนบุคคล โดยเริ่มจากการติดตามใครคนใดคนหนึ่งแล้วค่อยๆ ให้ชีวิตชายขอบของพวกเขาคลี่เผยโลกอันเต็มไปด้วยข้อขัดแย้งโดยที่กล้องยังคงเลือกโฟกัสที่มนุษย์จุลภาคแล้วปล่อยให้ฉากหลังมหัพภาคคู่เล่าตัวมันเอง ใน ฟ้าต่ำแผ่นดินสูง เขาเริ่มจากการติดตามเด็กหนุ่มทหารเกณฑ์คนหนึ่งไปจนถึงพรมแดนเขาพระวิหารในช่วงเวลาที่เกิดความขัดแย้งของสองประเทศในเรื่องการเป็นเจ้าของปราสาทโบราณนี้ เช่นเดียวกัน ใน สายน้ำติดเชื้อ เขาติดตามชายชาวกะเหรี่ยง คนหาปลาแห่งหมู่บ้านคลิตี้ล่างไปยังสายน้ำที่ปนเปื้อนสารพิษในหมู่บ้านที่ต้องทุกข์ทรมานจากการทำเหมือง

สารคดีของนนทวัฒน์มักขับเคลื่อนด้วยความสงสัยใคร่รู้แต่มักจำกัดตัวเองไว้ด้วยการสังเกตสังกา การโฟกัสอยู่ที่จุดเล็กๆ มากกว่าจุดใหญ่ๆ เขาไม่กระโดดลงไปในวงขัดแย้งเพื่อตีแผ่ข้อมูล แต่ยึดมั่นอยู่กับการมองจากจุดใดจุดหนึ่ง มุมมองใกล้ชิดต่อตัวละครที่เขาถ่ายทำเป็นทั้งความงามและข้อจำกัดในงานของเขาเอง 

พิจารณาจากหนังเรื่องนี้ เราพบว่าด้วยการโฟกัสอยู่ที่ จาย แสงลอด หนังค่อยๆ เผยให้เราเห็นว่าชีวิตของเขานั้นไม่ใช่ของเขาเลยแม้แต่น้อย หนังเปิดฉากด้วยการจ้องมองเด็กหนุ่มนอนหลับ และเมื่อตื่นมา เขาลุกขึ้นสวมเครื่องแบบทหารแล้วออกไปฝึก การฝึกเป็นไปอย่างจำกัดจำเขี่ยเท่าที่ความสามารถของหน่วยทหารจะหามาได้ทั้งเครื่องแบบอาหารหรืออาวุธ ในอีกภาพหนึ่งเราเห็นเขาอยู่กับน้องๆ ที่บ้าน รื้อหารูปของแม่ผู้ล่วงลับมาเก็บไว้อย่างยากเย็น เขาย้ำหลายครั้งว่าเขาอยู่เชียงใหม่ไม่ได้เพราะไม่มีบัตรประชาชน ราวกับว่าเขาคือเด็กวัยรุ่นว่างเปล่า ที่ร่างกายของเขามีคุณค่าเหนือจิตใจหรือความใฝ่ฝันของตนในฐานปัจเจกชนของโลกเสรี เขาเป็นเพียงวัตถุที่ถูกควบคุม ร่างกายใต้บงการทั้งจากประวัติศาสตร์การสู้รบของแผ่นดินเกิด จากโลกทุนนิยมที่เรียกร้องให้ต้องหาเลี้ยงปากท้อง และจากเส้นแบ่งพรมแดนที่ทำให้เขาเป็นคนไร้รัฐ หนังเรื่องนี้จึงไม่ใช่หนังว่าด้วยชีวิตรวมไปชาวไทใหญ่ที่ยากแค้น แต่ว่าด้วยการไม่สามารถที่จะเป็นอื่นได้นอกจากเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดไว้ของวัยรุ่นชาวไทยใหญ่เพียงคนเดียว ความเคว้งคว้างของการไม่สามารถฝันได้นี้จึงเป็นจุดตัดข้ามกับความเคว้งคว้างของการไม่รู้จะฝันอะไรของเด็กวัยรุ่นกรุงเทพในสารคดีกึ่งหนังอย่าง #BKKY เรื่องก่อนหน้าของเขา 

หนังย้ำหลายครั้งเรื่องการสวมเครื่องแบบ หนังถ่ายภาพชิดใกล้ของการสวมกางเกงติดกระดุม สวมรองเท้า ผูกเชือกสวมหมวกและจ้องลึกเข้าไปในกระจก ภาพฉายของเด็กหนุ่มในเครื่องแบบทหาร การสวมเครื่องแบบทหารทำให้เขาเป็นทหาร เครื่องแบบควบคุมเขาที่ไม่มีตัวตนจนกระทั่งสวมชุดเครื่องแบบและเช่นกัน ทหารไม่มีตัวตนที่เป็นปัจเจก ทหารเป็นภาวะร่วมหมู่ใต้บังคับบัญชา เพื่อปฏิบัติภารกิจ ไกลกว่านั้นร่างกายของเขายังอยู่ใต้บงการของรัฐข้างเคียงผ่านการไม่มีบัตรประชาชน  และที่สุดใต้บงการของตัวหนังผ่านทางการพูดของเขา เรื่องที่ชวนขัดใจแต่ไปได้ดีกับประเด็นหลักของหนังคือการที่นนทวัฒน์ เลือกสัมภาษณ์ตัวเอกของเขาด้วยภาษาไทย การใช้ภาษาไทยกลายเป็นข้อจำกัดใหญ่หลวงในการพูดถึงตัวเอง จนราวกับว่าเขาไม่ได้พูดอะไรออกมาเลย การเป็นเรื่องที่ไร้เสียงเล่าเช่นเดียวกันกับดินที่ไร้แดนของเขา เด็กหนุ่มตอบคำถามผ่านการเรียบเรียงคำให้ออกมาเป็นประโยคที่สุภาพและเป็นทางการอย่างยิ่ง การต้องข้ามภาษามาสู่ภาษาที่เขารู้จักแต่ไม่อาจใช้มันได้คล่องแคล่วราวกับว่าเขาจะพูดถึงตัวเขาเองก็ด้วยการพูดผ่านภาษาที่ผู้ฟังรู้จักเท่านั้นทำให้เสียงของเขาไม่ถูกนำเสนออย่างสมบูรณ์ การพูดแทนเขาโดยตัวเขาเองผ่านทางการเปลี่ยนภาษายิ่งทำให้เขาไม่มีตัวตนมากขึ้น ยังไม่นับว่าสิ่งที่พูดได้มีขอบเขตจำกัดจากประเด็นความมั่นคงของชาติ การพูดไม่ได้ การพูดได้บางส่วน แถมยังถูกกีดกันด้วยกำแพงภาษา เรารู้จักเด็กหนุ่มน้อยลงไปเรื่อยๆ เพราะเขาไม่สามารถพูดถึงตัวเองได้อย่างแท้จริงอีกต่อไป

และเมื่อเขาพูดด้วยภาษาของเขาเองผ่านการลอบฟังในฉากต่างๆ สิ่งที่พวกเขาพูดเล่นกันเป็นเรื่องของความกลัวการลงโทษจากการหนีทหาร ความว่างเปล่าของการปฏิบัติภารกิจ ไม่มีอะไรให้พูดมากกว่านั้น ชีวิตของพวกเขาคือการอยู่ไปในฐานะเครื่องมือป้องกันประเทศชาติในทางหนึ่ง และเครื่องมือหาเลี้ยงปากท้องประการหนึ่ง 

ความไร้ตัวตนไม่ได้จำกัดอยู่แค่ตัวเขาเองเท่านั้น ในฉากที่สะเทือนมากฉากหนึ่ง เขาให้น้องรื้อเอารูปถ่ายของแม่มาถ่ายซ้ำไว้ด้วยโทรศัพท์มือถือ ภาพถ่ายเบลอๆ ของแม่ในกรอบ ค่อยๆ ถูกทำให้เห็นว่าไม่ใช่ภาพถ่ายของแม่จริงๆ แต่เป็นภาพที่ถูกขยายจากภาพหมู่ที่แม่ไปถ่ายไว้ แม่ที่ตายไปแล้วก็ไร้ตัวตนเช่นเดียวกันกับแสงลอด การควานหาตัวตนของแม่จึงทำได้เพียงขยายจุดเล็กๆ ของแม่ออกมาจนได้ภาพจางๆ ภาพหนึ่งเพื่อกอดเก็บไว้ 

ภาพส่วนใหญ่ของหนังโฟกัสอยู่กับการฝึกทหาร หลายครั้งหนังพยายามควานหาเด็กหนุ่มท่ามกลางหมู่ทหารที่เหมือนกันไปหมด ดึงภาพของเขาออกมา ขณะที่เขากลืนไปกับเพื่อนทหารคนอื่นๆ นนทวัฒน์ถามเขาว่าสภาวะจริงๆ เป็นอย่างไร เขาบอกว่าเคยเห็นการสู้รบ แต่เขาไม่เคยสู้รบอะไร ในเวลาต่อมาเมื่อเขาถูกส่งไปประจำการพวกเขาก็คุยกันเรื่องนอนจนหัวแบน เพราะไม่มีอะไรทำ ไม่ใช่สำหรับชาวไทใหญ่ทั้งหมดที่ยังอยู่ในภาวะสงครามกับทหารพม่า แต่สำหรับแสงลอด สรรพสิ่งล้วนอยู่ไกลออกไป สงครามอยู่ในเพลงที่ร้องตอนฝึกทหารว่าพม่าเป็นศัตรูชั่วร้าย ประวัติศาสตร์อยู่ในเรื่องเล่าระหว่างการทำพิธีสำเร็จการศึกษาทหารจบใหม่ ตัวตนของเขาอยู่ในบัตรชนิดเดียวที่เขาได้รับ บัตรนายทหารสำเร็จการฝึก และความรื่นรมย์ของเขาอยู่ในการเต้นรำในงานพิธีประจำปี 

มันจึงเป็นหนังที่ว่าด้วยความว่างเปล่าของคนหนุ่มร่วมสมัยที่ไม่ได้เกิดจากการมีจนล้นเกินแต่เกิดจากการขาดพร่องจนไม่สามารถก่อร่างตัวตนขึ้นมาได้ หรือพูดให้เจ็บปวดกว่านั้น แสงลอดคือนักไม่ฝัน เพราะมันไม่ประโยชน์ที่จะฝัน เพราะแค่เพียงการอิ่มท้อง และมีดินที่มีแดนสำหรับเหยียบยืนก็ยากยิ่งแล้ว 

อย่างไรก็ดี ด้วยการโฟกัสตัวตนสูญหายของคนใดคนหนึ่งดูเหมือนว่าหนังจางไปตามตัวตนของคนที่เขาเฝ้าสังเกตด้วย จนเสียดายว่าหากหนังเจือตัวตนที่ไร้ตัวตนของเด็กหนุ่มออก ไปพ้นจากร่างกายจำเพาะของเขาเพียงคนเดียวสู่ร่างกายใต้บงการของผู้คนอื่นๆ ในหน่วยทหาร และใช้เวลามากขึ้นในการสังเกตสังกา จนคิดว่าหนังเรื่องนี้อาจเข้มข้นและเคลือบไปด้วยอารมณ์อีกแบบหากหนังยาวกว่านี้ สังเกตสังกาไม่จบสิ้นกว่านี้ 

ถึงที่สุดหนังยังกลายเป็นภาพแทนการเมืองไทยกลายๆ ด้วยเมื่อหนังเริ่มต้นจากรัฐทหารที่ยังต้องฝึกทหารกันอย่างไม่รู้ในชะตากรรมอันไม่มั่นคงของตนเองต่อไป แม้จะพม่าจะมีแสงเรืองจากความหวังหลังการชนะเลือกตั้งของรัฐบาลนางอองซานซูจี การที่แสงลอดบอกว่าหลังเลือกตั้งสถานการณ์ของพวกเขาก็เลวร้ายเท่าเดิม หรืออาจจะเลวร้ายลงยิ่งเป็นภาพแทนประเทศข้างเคียงที่ชวนขำขื่นเป็นอย่างยิ่ง

Tags: , ,