แสงกระสือ หรือที่ใช้ชื่อภาษาอังกฤษอย่างเก๋ว่า Inhuman Kiss ถือเป็นหนังไทยที่น่าจับตาอย่างยิ่งในช่วงต้นปี 2019 หนังได้รับเสียงชื่นชมล้นหลามทั้งจากนักวิจารณ์และคนทั่วไป ทั้งรสชาติของหนัง ความงาม และส่วนประกอบที่ชวนตีความไปได้อย่างหลากหลาย

เราได้คุยกับผู้กำกับ โดม—สิทธิศิริ มงคลศิริ ก่อนจะได้ดูหนัง ทำให้ระหว่างดู ปากคำของผู้กำกับลอยเข้ามาในหัวแทบจะตลอดเวลา —อ้อ ที่เขาพูดหมายถึงสิ่งนี้เอง โอ้โห ที่ว่าคัมมิ่งออฟเอจ มันคัมมิ่งกันอย่างนี้เลยเชียว ฯลฯ — แต่ถึงอย่างนั้น แม้จะคาดหวังกับหนังมาประมาณหนึ่งแล้ว แต่ผลที่ได้รับจากการดูก็ยังถือว่าเกินคาด นับเป็นความกล้าหาญของหนังซึ่งคงต้องยกความดีความชอบหลายส่วนให้กับผู้กำกับ กับผลงานภาพยนตร์เรื่องยาวอย่างเป็นทางการครั้งแรกของเขาเรื่องนี้

สิทธิศิริเล่าว่าเขาชอบตัวละครหญิง และวิธีทะนุถนอมตัวละครหญิงของเขาก็นับว่าน่าทึ่ง ตัวละครชายของเขาเองมีฟังก์ชันที่วางโครงเอาไว้อย่างแน่นหนา โลกในชนบทที่เขาสร้างขึ้นมาก็เช่นกัน เรารู้สึกได้ว่าผู้กำกับรักหนังเรื่องนี้เอามากๆ จนไม่น่าเชื่อว่าตอนที่ วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง กับ M Picture ชักชวนให้มาทำ เขาไม่ได้อยากทำ ถึงขั้นรังเกียจกระสือเสียด้วยซ้ำ

แต่เริ่มแรก คุณไม่ค่อยอยากทำหนังกระสือ?

ใช่ ตอนที่พี่วิศิษฏ์ กับ เอ็ม พิกเจอร์ส์ชวนมาทำเรื่องกระสือ เราก็นิ่งไปนิดนึง โห กระสือเลยเหรอวะ ตอนแรกก็ไม่อยากทำนะ ผมว่าด้วยความที่เป็นคนเมืองมั้ง ไม่รู้เป็นเพราะอะไร รู้สึกรังเกียจกระสือ คือพอฟังแล้วรู้สึกว่ามันจะตลก รู้สึกว่าดูเป็นละคร นี่พูดด้วยความสัตย์จริงเลย

แล้วพี่วิศิษฏ์ก็ถามว่า มึงรังเกียจแล้วทำไมไม่ลองทำมันให้ดีล่ะ หมายถึงว่า ทำไมไม่ทำให้มันเปลี่ยนความคิดคนให้ได้ ว่ากระสือมันก็เป็นหนังที่มันเอาจริงเอาจัง มีเรื่องราว มีโปรดักชั่นได้ มันไม่จำเป็นต้องเป็นหนังตลกเสมอไป พอคิดได้แบบนั้นเราก็เลยตกลง มันกลายเป็นอีกความท้าทาย แบบ เฮ้ย มันไม่ใช่แค่หนังแล้วนะ แต่มันต้องทำให้คนดูรู้สึกว่าเป็นกระสือที่ใหม่ วัยรุ่น ให้คนรู้สึกว่าอยากมาดูหนังเรื่องนี้ เพราะมันดี มันสวย มันตีความใหม่ เพราะมันมีเรื่องมีราว เหมือนได้รับคฑาอันยิ่งใหญ่ (หัวเราะ)

คุณมีความทรงจำเกี่ยวกับ ‘กระสือ’ อย่างไรบ้าง

ถ้าพูดกันจริงๆ ผมคิดว่าคนเมืองหรือคนรุ่นใหม่ เรามองเรื่องกระสือเหมือนบ้านผีปอบ คือมีคำถามกับมันเต็มไปหมด ทำไมมันต้องออกมาเป็นอย่างนี้ มีไส้ มีอวัยวะภายในห้อยออกมา พอมาอยู่ในหนังในละครมันก็วนอยู่กับความเชื่อเรื่องกรรม อะไรแบบนี้ เหมือนกับว่ามันไม่ไปไหนเลย คือสมัยก่อนมันก็มีหนังกระสือที่ดีนะอย่าง กระสือวาเลนไทน์ แล้วมันก็หยุดไปเลย ไม่มีใครได้ทำมันต่อ แล้วจริงๆ พอถึงตาเรา มันเป็นซับเจกต์ที่ไกลตัวมาก เราเลยตั้งใจจะให้มันใกล้ตัวคนมากขึ้น ด้วยความเป็นหนังวัยรุ่นและความโรแมนติกของมัน

อยากให้ลองเดาใจคุณวิศิษฏ์​ ว่าทำไมถึงเลือกชวนคุณมาทำเรื่องนี้

ผมว่างานผมส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะทำโฆษณาหรืออะไรก็ตาม ผมจะมีตัวเอกเป็นผู้หญิง ผมชอบผู้หญิง (หัวเราะ) ชอบเห็นผู้หญิงในหนัง ผมว่าพี่วิศิษฏ์เขารู้เรื่องนี้ แล้วถ้าให้ผมเดา ผมว่าผมมีความแฟนตาซีอยู่ในตัวเองมั้งครับ เช่นใน Last Summer ตอนที่ผมทำก็จะหลอนๆ หน่อย หรือตอนผมทำแนนโน๊ะ ( ep.2 ตอน Apologise) ตัวละครก็จะเพี้ยนๆ หน่อย หรือแม้กระทั่งหนังโฆษณาที่ผมทำให้แบรนด์ก็มักจะมีผู้หญิงและเกินจริงนิดๆ เหมือนกัน

จากภาพจำเดิมของกระสือ คุณทำงานกับมันอย่างไรบ้าง

กระสือมันแปลกอย่างหนึ่งคือไอ้ดีไซน์ที่เป็นหัวแล้วมีไส้ห้อยออกมา ที่จริงแล้วมันมาจากนักเขียนการ์ตูนคนหนึ่ง ชื่ออาจารย์ทวี (ทวี วิษณุกร) ก่อนหน้านั้นคำว่ากระสือถูกบันทึกมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ว่าเป็นดวงไฟ ชอบกินของโสมม แต่ถามว่าไอ้รูปลักษณ์ที่คนจำๆ กัน เกิดจากที่นักเขียนการ์ตูนท่านนี้เขียนขึ้น แล้วหนังทุกเรื่องก็ใช้รูปแบบนี้ต่อกันมา นั่นหมายความว่า รูปลักษณ์จริงๆ ของกระสือยังไม่เคยมีใครเห็นนะ ที่ชาวบ้านบอกว่าเห็นกันก็เห็นเป็นแค่ดวงไฟ

เมื่อผมรู้ตรงนี้แล้วปุ๊บ แปลว่ามันมีช่องว่างนี่หว่า มันไม่มีใครเป็นเจ้าของนี่ เราเลยดีไซน์ได้เลยว่ากระสือในแบบของเรา รูปร่างหน้าตาจะเป็นยังไง ผมก็เลยเก็บเฉพาะแก่นของมันก็คือ หนึ่ง กระสือต้องถอดหัวได้ ไม่งั้นมันก็คงเป็นผีดูดเลือด หรือสัตว์ประหลาด a สัตว์ประหลาด b สอง ก็คือ น้ำลาย ยังคงติดต่อกันทางน้ำลาย แต่แทนที่จะให้คายน้ำลายลงแก้วน้ำเฉยๆ พอเป็นหนังวัยรุ่น เราเลยเปลี่ยนเป็นการจูบกัน

ผมเริ่มต้นจากความคิดคร่าวๆ ประมาณนี้ แล้วค่อยๆ ขยายออกไปว่า รูปลักษณ์จะเป็นยังไง เรื่องราวของผู้หญิงคนนี้จะเป็นยังไง โดยที่ไม่ได้สนใจเรื่องกรรมหรืออะไรเลย เราไม่ได้สนใจว่ากระสือมันเป็นกันเพราะอะไร แต่เราสนใจว่า ถ้าคุณเป็นกระสือ คุณจะมีชีวิตยังไงวะ ตอนกลางวันเราก็น่ารักดีนะ แต่พอตกกลางคืน ชีวิตเราแม่งทุเรศอะ แล้วพอเป็นเด็กผู้หญิงอายุแค่นี้เองอะ เขาจะอยากโตขึ้นไปเป็นอะไร เขาจะอยากมีแฟนมั้ย เขามีความฝันไหม เราสนใจเรื่องแค่นี้เลย ไม่ได้ไปโฟกัสที่ว่าที่คนเป็นกระสือมันเป็นเพราะอะไรอีกต่อไปแล้ว

เรารู้สึกว่าถ้าจะ disrupt ทั้งที เราต้องเลิกถามหาเรื่องนี้แล้ว เราต้องโฟกัสอีกแบบ ผมว่ามันก็เหมือนคนเป็นเอดส์ เป็นโรคผิวหนัง ความคิดผมจะประมาณนี้นะ เรื่องของคนที่เป็นชายขอบ มีความลับต้องปกปิด มันเป็นหนังที่เจาะไปที่ตัวละครเลย

เขาจะอยากโตขึ้นไปเป็นอะไร เขาจะอยากมีแฟนมั้ย เขามีความฝันไหม เราสนใจเรื่องแค่นี้เลย ไม่ได้ไปโฟกัสที่ว่าที่คนเป็นกระสือมันเป็นเพราะอะไรอีกต่อไปแล้ว

พูดได้ไหมว่านี่เป็นหนัง coming of age

ใช่ๆ นี่เป็นหนังที่เล่าชีวิตเด็กผู้หญิงวัยรุ่นคนหนึ่ง เป็นเด็กผู้หญิงอายุ 15 ที่เป็นกระสือ โดยที่มีเด็กผู้ชายสองคนเข้ามาเกี่ยวข้องและนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงบางอย่างในตัวพวกเขา

ทำไมกระสือถึงต้องผูกติดอยู่กับสังคมชนบท

คือเรายืนพื้นที่ชนบท แต่หนังมันได้สร้างโลกของมันขึ้นมาเลย จะสังเกตได้ว่ามันไม่จริงมากๆ ถ้าเป็นคนชนบทในยุคนั้นมาดูคงบอกว่านี่มันไม่จริงสิ้นดี แต่เราอยากทำแบบนี้ เราอยากสร้างโลกที่กลางคืนเป็นสีฟ้า แสงพระจันทร์สีฟ้า ในป่าแม่งจะมีควัน ควันจะมาจากไหนไม่รู้แหละ (หัวเราะ)

ทีนี้ถามว่าทำไมต้องเป็นชนบท ความมืดมันมีผลมั้งครับ ถ้าถามในมุมมองของผมเอง คิดว่ากระสือมันอาจจะไม่ได้มีตัวตนนะ คิดว่าคงเป็นคนแปลกๆ มั้ง เพราะในอยุธยาก็บอกว่า ถ้าอีบ้านไหนเป็นกระสือ มันจะมีพฤติกรรมแบบนี้ๆๆ เราว่ามันเหมือนคนเป็นปอบ สมมติว่าคุณใช้ชีวิตไม่เหมือนคนอื่น ไอ้บ้านนี้มันเป็นอะไรวะ ชอบออกไปตอนกลางคืน ชาวบ้านก็คงต้องหาคำเรียกบางอย่าง สร้างปีศาจร่วมกัน ผมว่ามันเป็นวิธีคิดเชิงจิตวิทยาแบบนั้นมากกว่า และผมคิดว่าชนบทยังคงมีเรื่องแบบนั้น การใช้กฎหมู่ อยู่กันห่างๆ มีทุ่งนา มีความมืด ความไม่รู้ แล้วนั่นเป็นชนบทในยุคสงครามด้วยนะ ยุคที่เรื่องผีมันยังมีพลังอยู่มากๆ

สมมติว่าคุณใช้ชีวิตไม่เหมือนคนอื่น ไอ้บ้านนี้มันเป็นอะไรวะ ชอบออกไปตอนกลางคืน ชาวบ้านก็คงต้องหาคำเรียกบางอย่าง สร้างปีศาจร่วมกัน ผมว่ามันเป็นวิธีคิดเชิงจิตวิทยาแบบนั้นมากกว่า

ในหนังของคุณ ตั้งใจให้มีแง่มุมแบบนี้มากน้อยแค่ไหน การสร้างปีศาจร่วมกันของสังคม

มีแต่บางๆ ครับ หนังของผมมองในแง่ว่าเราสงสารเขามากกว่า ดังนั้นจึงต้องมีผู้ล่า กระสือเป็นผู้ถูกล่า แล้วก็เผอิญไปตรงกับคอนเซปต์ที่เราคิดพอดี ที่เรารู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้น่าเห็นใจ คิดง่ายๆ ว่าก็มีคนจำนวนมากในสังคม ที่ข้างนอกจะดูเป็นมนุษย์ แต่ข้างในกลับเป็นปีศาจ เรามีเรื่องแบบนี้อยู่ในหัวมานานแล้วน่ะนะ ว่าสิ่งที่เราเห็นจากภายนอกข้างในมันคงไม่ได้เป็นแบบนั้นหรอก คำว่าปีศาจกับมนุษย์มันแทบจะเบลอระหว่างกัน ไม่ได้มีอะไร มันแค่การอยู่ร่วมกันของต่างเผ่าพันธุ์แค่นั้นเอง ถ้าคุณรักกันคุณก็จูบกันได้ หรือมนุษย์บางคนที่เป็นปีศาจ มันก็แค่ต้องไล่ล่าปีศาจอีกตัวหนึ่งเท่านั้นเอง

ทำไมถึงเลือกเก็บคำว่า ‘แสง’ เอาไว้ในชื่อหนัง

แสง มันเป็นคำที่เราเห็นเลยว่านี่คือกระสือ กระสือมันมีแสง แล้วด้วยความตั้งใจที่อยากจะนิยามมันใหม่ ในแง่หนึ่งก็คือนิยามด้วยดีไซน์ของมัน แล้วพอไปแตะเรื่องงานดีไซน์ อวัยวะเดียวที่ผมเก็บไว้คือหัวใจ กระสือจะมีแค่หัวกับหัวใจ แล้วก็มีเส้นสายอะไรก็ว่ากันไป หัวใจตรงนี้มันจะเต้น แล้วก็ส่องแสงได้ มันก็จะโรมานซ์หน่อยมั้ง ในความมืด ก็ยังมีหัวใจนำทาง (หัวเราะ)

อวัยวะเดียวที่ผมเก็บไว้คือหัวใจ กระสือจะมีแค่หัวกับหัวใจ แล้วก็มีเส้นสายอะไรก็ว่ากันไป หัวใจตรงนี้มันจะเต้น แล้วก็ส่องแสงได้ มันก็จะโรมานซ์หน่อยมั้ง

สำหรับคุณแล้ว ตัวละครชายในหนังมีฟังก์ชั่นอย่างไร

ผมสร้างตัวละครขึ้นมาสองตัว เป็นสองตัวที่ต่างกันอย่างชัดเจน ผมเริ่มสร้างตัวละครผู้ชายขึ้นมาโดยมองมันเป็นหนังวัยรุ่น ก็จะมีคนหนึ่งที่ติดอยู่กับที่เดิม อีกคนหนึ่งมีโอกาสได้เข้าไปในเมือง แล้วถ้ามันเจอสถานการณ์แบบนี้ ความเมืองหรือความชนบท โอกาสต่างๆ ที่ตัวละครได้รับจะมีผลต่อตัวละครไหม มันทำให้เขาคิดหรือตัดสินใจเปลี่ยนหรือเปล่าในสถานการณ์เดียวกันนี้

ดังนั้นตัวละครสองตัวจะมีฟังก์ชันนี้ ที่รีแอคต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกันคนละแบบ เหมือนคนทำหนังพยายามจะยื่นสเตทเมนต์ให้สองฝั่ง ลองดูฝั่งนี้นะ แล้วลองดูอีกฝั่ง ดูซิว่าตัวละครสองตัวนี้จะนำพาเราไปตรงไหน มันจะแก้ปัญหานี้ยังไง แล้วมันอายุ 16-17 เองนะ มันจะแก้ยังไง ด้วยความเชื่อ ความซื่อบื้อ ความดันทุรัง พลังของวัยรุ่น รู้แหละว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่กูจะทำ ผมว่าตัวละครพวกนี้จะแสดงออกถึงสิ่งเหล่านี้

 

ในการสร้างตัวละคร คุณทำงานกับคุณมะเดี่ยว ชูเกียรติ (ผู้เขียนบท) อย่างไรบ้าง

ผมเขียนเรื่องย่อขึ้นมาก่อน แล้วก็มีตัวละครชื่อสาย จริงๆ ถ้าไปดูในสมุดโน้ต ประโยคแรกที่ผมเขียนคือ “สายตื่นขึ้นมาตอนเช้า พบว่าเธอเป็นเมนส์วันแรก” เป็นวันแรกของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่พบว่าตัวเองมีเมนส์กองอยู่ และวันนั้นก็เป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นกระสือ ผมเริ่มด้วยประโยคนี้ เป็นกระสือที่วัยรุ่นมากๆ แล้วก็ขยายต่อ พอได้เรื่องย่อ ก็ไปหามะเดี่ยว ผมเป็นแฟนหนังเขา ก็ขอให้มะเดี่ยวช่วยเขียนบทให้หน่อย

ผมว่าความแจ๋วของมะเดี่ยวคือมะเดี่ยวเก็บตัวละครผู้หญิงของผมไว้ แล้วก็มะเดี่ยวก็สร้างตัวละครชายที่ดีมากๆ ขึ้นมา ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เขาเก่งมาก ตั้งแต่ รักแห่งสยาม หรือ เกรียนฟิกชั่น ผมว่าความเป็นเกย์ของมะเดี่ยวสำคัญมาก ตัวละครชายของเขาจะมีความละเอียดอ่อน มะเดี่ยวได้เติมความลึกซึ้ง ความ sentimental ลงไปในตัวหนัง เขาเจาะลึกลงไปในความเป็นผู้ชาย ผู้ชายที่อ่อนไหวจะเป็นยังไง นี่เป็นสิ่งที่เราได้จากเขา แล้วบทก็ดีมาก อ่านแล้วน้ำตาไหลอะ มันขนาดนั้นน่ะ

ก่อนออกไปทำหนังกัน ตอนที่อ่านบทแบบ read-through นักแสดงก็ร้องไห้ คนทำเมคอัพเอฟเฟกต์ก็ร้องไห้ แล้ววันนั้นเราเลยพบว่าบทมันเวิร์กจริงๆ จี๊ดหัวใจ อกหัก ใจสลาย

แปลว่าตั้งใจให้หนังจบเศร้าแน่ๆ แล้ว

มันคงไม่มีทางจบแล้วดีนะผมว่า หนังแบบนี้ คิดว่าคนคงเก็ตกัน

อยากให้เล่าถึงการคัดเลือกนักแสดงสักหน่อย

ตอนทำแคสต์ พอโจทย์เป็นต่างจังหวัด แต่เราอยากให้เป็นต่างจังหวัดที่ร่วมสมัย คือพอหนังมันย้อนยุคตัวละครก็ต้องใส่พวกผ้าถุง ผ้าพื้นเมือง เราอยากให้ตัวละครใส่แล้วรอด แต่ก็ไม่ได้อยากให้มันหลุดไป ถ้าเกาหลีจ๋าๆ มาเลยก็คงไม่ไหว แต่เราก็ไม่ได้อยากได้อารมณ์ไทยมากๆ จนเกินไป มีหนังย้อนยุคเรื่องหนึ่งที่ผมชอบ ก็คือ มนต์รักทรานซิสเตอร์ ของพี่ต้อม เป็นเอก ผมว่าอย่างเรื่องนี้เนี่ย ใช่เลย พี่อุ้ม สิริยากร ผู้หญิงคนนี้ใส่ผ้าถุงสวยมั้ย สวย ดูต่างจังหวัดไหม ก็ดูต่างจังหวัด ก็เป็นคนสวยในอยุธยาได้ แต่พอเขาเปลี่ยนชุดเดินพารากอนก็ยังได้อยู่ โจทย์เราก็ประมาณนี้ เราก็ให้แคสติ้งหาคนแบบนี้ให้หน่อย

ทีมนาดาวก็ได้น้องโอบมา หน้าคมเข้ม ใช่เลย ส่วนมินนี่ เราดูในไอจีเขาก็เป็นวัยรุ่นเลย แต่พอไปอยู่ต่างจังหวัดก็โอเค เกรท เขาก็เป็นเจิดได้ ดูเป็นลูกครึ่งจีนนิดๆ ในยุคนั้นเราก็มีลูกครึ่งจีน แล้วพอลุคได้ ที่เหลือก็เป็นเรื่องของการแสดงกับแอตติจูดแล้ว ว่าอยากมาทำอะไรแบบนี้กันมั้ย ซึ่งสามคนนี้เขาก็โอเค เล่นดีมาก อยากให้ไปดูการแสดงของน้องๆ ทุกคนแจ๋วมาก

ส่วนที่ยากที่สุดในหนังเรื่องนี้คืออะไร

เอาจริงๆ มันเป็นเรื่องส่วนตัวเลย เราแค่กลัวว่าคนดูเขาจะโอเคมั้ยวะ หรือความพอดีของเรื่องมันอยู่ตรงไหน เวลาเราทำหนังน่ะครับ ถ้าหนังเรื่องนั้นมันไปขัดกับความเชื่อของคน เราจะตกอยู่ในความกังวลตลอดเวลา คือถ้าเราทำหนังที่มันไหลไปตามความเชื่อของคน คุณทำให้ดี ได้อารมณ์ สนุก เศร้า หัวเราะ ถ้าทำได้คุณวินแล้ว คนชอบแล้ว ได้เงิน ขายได้ในเชิงธุรกิจ แล้วก็เป็นหนังที่ดี แต่เรื่องนี้ เราทำกระสือแบบแฟนซี ตั้งแต่นาทีแรกยันนาทีสุดท้ายไม่มีอะไรจริงเลย มันเหมือนกับว่า เฮ้ย ทุกคน มานั่งฟังนะ ผมจะเล่านิทานของผมเองให้ฟัง

ซึ่งตรงนี้ผมว่ายาก คือเราจะมีความสามารถเก่งกาจพอที่จะเล่าเรื่องไม่จริงให้คนนั่งฟังได้มั้ยวะ แล้วเป็นเรื่องที่มันอาจจะแย้งกับความคิดของชาวบ้านอีก อะไรแบบนี้เลยเป็นความไม่สบายใจมั้ง ส่วนเรื่องโปรดักชั่นผมไม่ได้ห่วงแล้ว เพราะเราก็ทำงานมาประมาณหนึ่ง ก็มีอายุประมาณหนึ่งแล้ว

อีกข้อหนึ่งคือกลัวมะเดี่ยวด่า (หัวเราะ) บทเขียนมาขนาดนี้ กลัวเราทำแล้วไม่ได้อย่างที่คนเขียนบทเขาเขียนมา

แล้วพอดูแล้ว คุณมะเดี่ยวชอบไหม

ก็ชอบนะ ไม่รู้ว่ามันโกหกไหม (หัวเราะ) มันก็บอกว่าได้อย่างที่คิดไว้เหมือนกัน แต่มันก็จะเป็นรสชาติแบบผมนะ ไม่ใช่รสชาติของมะเดี่ยว ถ้าเขามากำกับเอง ก็จะได้รสชาติอีกแบบหนึ่ง

คุณออกกองกันที่ไหน

นครนายก ฉะเชิงเทรา สระบุรี ปทุมธานี เป็นอีกโจทย์หนึ่งว่าเราไม่อยากถ่ายหนังจังหวัดเดียว เพราะเราอยากสร้างโลกใบใหม่ ผสมมันขึ้นมา ไม่ได้อยากให้มีโลเคชั่นว่าเรื่องราวนี้เกิดขึ้นที่จังหวัดนี้ เพียงแต่เบสว่าอยู่ภาคกลาง

ความยากอีกอย่างหนึ่งคือ ผมว่านักแสดงก็วัยรุ่นมาก อาบน้ำสะอาด นอนสบาย มีรถขับ แต่พอไปอยู่ตรงนั้นจริงๆ แล้วถ่ายกันแต่ตอนกลางคืน ยุงเยอะ ถ่ายในป่าช้าหลังวัด แล้วเราก็ถ่ายกันแบบเรียงซีน เพื่อให้อารมณ์ของนักแสดงไต่ระดับขึ้นไปได้อย่างที่เราอยากให้เป็น เรียกได้ว่าตอนถ่ายทำไม่มีอะไรเลยที่ทีมงานทั้งหมดจะได้เผชิญอยู่ตอนมีชีวิตปกติ เราตัดขาดจากโลกภายนอก นักแสดงก็ต้องฝึกถอดรองเท้าเดิน เอามือคลุกดิน แต่เราโชคดีอย่างหนึ่ง เราได้นักแสดงที่เขาอยากเล่น แล้วเขาก็เต็มที่กับมัน

การมีประสบการณ์ทำโฆษณา เป็นข้อได้เปรียบอย่างไรกับการทำหนังยาว

จริงๆ แล้วการทำโฆษณากับหนังใหญ่แทบจะคนละเรื่องเลย หนังยาวมันคือเรื่องของมนุษย์ โฆษณามันเป็นระยะสั้นๆ ความเลอะๆ เทอะๆ ความผิดพลาดบางอย่างในนั้นมันจะถูกกลบลงไปมากๆ ดูแวบเดียว ตลก ผ่านละ แต่พอเป็นจอใหญ่ ยาวๆ เราทำแบบนั้นไม่ได้ เอาอะไรมากลบอย่างอื่นไม่ได้

ผมว่าข้อเสียของมันเยอะมาก แต่ถ้าถามถึงข้อดีมันมีอย่างนี้ พอทำโฆษณา ผมโดนคอมเมนต์เยอะ มันทำให้ผมเป็นคนฟังคนไปโดยนิสัย ผมต้องฟัง เพราะเขาเป็นลูกค้า เขาบอกว่าไม่ตลกเลยว่ะ ตอนแรกผมก็จะโกรธนะ แต่พอได้คิด มันเป็นโอกาสนะ อ๋อ โอเค ไม่ตลกใช่ไหม ขอแก้หน่อย มันต้องแก้ไปเรื่อยๆ คือถ้าไม่มีใครทักงานอาจจะเสร็จไปนานแล้วนะ เวิร์กไม่เวิร์กไม่รู้ แต่พอมีคนทัก คุณอาจจะโกรธ แต่แน่นอน มันทำให้คุณได้มีโอกาสที่จะแก้ไขให้งานมันดีขึ้น

จากตรงนั้น พอมาทำตรงนี้ผมก็ฟังหมดเลยอะ ใครบอกว่ายังไง ผมก็เหรอๆๆ ฟังทั้งหมด เพราะยังไงเราก็เป็นแม่ทัพอยู่แล้ว เราจะเป็นคนเลือกอยู่แล้วว่าจะทำอะไรหรือไม่ทำ แล้วทำไมเราต้องไม่ฟังล่ะ ฟังไปมันก็ได้ประโยชน์ ก็ยังดีกว่าไม่มีคนเตือนนะ ผมว่า

อยากทำหนังใหญ่อีกไหม

อยากทำ จริงๆ เราเรียนภาพยนตร์มา เราอยากทำหนังมาตลอดชีวิต แต่ในยุคนั้นไม่รู้เป็นเพราะอะไร ไม่มีโอกาสได้ทำอะ ในยุคหนึ่งผมว่าหนังมันยากมาก กว่าจะได้เข้าไปทำงานในวงการภาพยนตร์มันไม่ใช่เรื่องง่าย ผมก็เลยไม่ได้ทำ มาถึงโอกาสนี้เลยดีใจกับมันมากๆ

ทิ้งท้ายสักหน่อย กับแสงกระสือ

อยากให้ไปดูครับ ลองไปดู ผมว่าเวลาเราอยากได้ความแปลกใหม่ เราก็พยายามทำให้แปลกใหม่โดยคราฟต์ด้วย มันเป็นงานฝีมือ ทุกคนตั้งใจทำ โดยส่วนตัวคนทำคิดว่าเป็นหนังที่ดีเรื่องหนึ่งเลย ก็อยากให้คนให้โอกาสไปดูมัน สนับสนุนมัน ถ้าอยากได้หนังแบบนี้อีก คุณก็ต้องออกแรงหน่อย ให้หนังมันมีที่ของมัน แล้วในอนาคตเราอาจจะได้ดูจักรวาลผีไทย (หัวเราะ) เรามีวัตถุดิบเยอะนะ ตัวละครเราน่าหยิบมาทำอีกเยอะมาก และ ณ ตอนนี้ยังไม่ได้ถูกหยิบมาทำในแบบร่วมสมัย ถ้าหนังเรื่องนี้ทำสำเร็จในระดับหนึ่ง ผมว่าเรื่องราวอื่นๆ ที่มันอยู่ในท้องถิ่นไทย จะได้ถูกสร้างมากขึ้น

Fact Box

สิทธิศิริ มงคลศิริ จบการศึกษาจากคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เอกภาพยนตร์ มีอาชีพหลักเป็นผู้กำกับโฆษณา เขาเคยมีผลงานหนังคือ Last Summer ฤดูร้อนนั้น ฉันตาย และ เด็กใหม่ หรือ แนนโน๊ะ ตอน Apologise

 

Tags: , , ,