เส้นแบ่งระหว่างการเป็นคนปกติกับคนเพี้ยนอยู่ตรงไหนตอบได้ไม่ยาก ยกเว้นแต่คนที่มีทวิลักษณะในตัวเอง และเจ้าของฟาร์มผัก ‘จอน นอนไร่’ ก็เป็นคนแบบนั้น
ตุ้ย – เสกสรรค์ อุ่นจิตติ เป็นคนที่ทำโฆษณามาตลอดชีวิต เคยอยู่ในจุดสูงสุดกับการเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัท เอสซี แมทช์บ็อกซ์ จำกัด ก่อนจะตัดสินใจทิ้งเงินเดือนหลักแสน เพื่อมาเป็นเกษตรกรและเจ้าของฟาร์มผักออร์แกนิคในชื่อ ‘จอน นอนไร่’ ที่ปากช่อง นครราชสีมา
อาจฟังดูไม่แปลกนัก เพราะระยะหลังมนุษย์เงินเดือนหลายคนก็ทำอะไรคล้ายอย่างนี้ แต่ที่แปลกคือเขาเลือกที่จะปลูกผักที่เราไม่คุ้นตาและไม่คุ้นชื่อ เช่น มะเขือเทศเชอร์รี่ญี่ปุ่น เคล กะหล่ำปลียักษ์ ผักกาดขาวญี่ปุ่น ผักกาดม่วงญี่ปุ่น และแครอทหลากสีสัน
ยิ่งสโลแกนของฟาร์มที่ว่า ‘ไม่แปลก ไม่ปลูก’ และ ‘ไม่หวาน ปาทิ้ง’ เป็นการตอกย้ำว่าเขามีวิธีคิดที่แตกต่าง หรือเพราะความเป็นคนโฆษณามาก่อน เขาจึงเติมเชื้อครีเอทีฟลงไปในการทำไร่ ผสมกับความย้อนแย้งที่มีอยู่ในตัว
เมื่อมองย้อนกลับไปวัยเด็ก เขายอมรับว่าเป็นคนที่มีความขัดแย้งในตัวเองสูง เป็นเด็กเรียนศิลปะแต่ชอบวิทยาศาสตร์ เป็นคนที่ฝันอยากเรียนวิศวะแต่ดันตกเลข เป็นคนที่ชอบปลีกวิเวก แต่บางครั้งก็ดันเข้าสังคม เป็นคนที่ชอบหาคำตอบกับทุกสิ่ง แต่พอหาไม่ได้ก็บอกว่าช่างแม่ง โลกไม่แตก
เขาบอกผมแบบนี้ ในวันที่หลายคนรู้จักเขาในชื่อ ‘จอน นอนไร่’ อันเพี้ยนมาจาก ‘จอน นอนเล่น’ ที่เพี้ยนมาอีกทีหนึ่งจาก ‘จอห์น เลนนอน’ ไอดอลของเขา
จริงๆ แล้วตัวตนของคุณเป็นคนแบบไหนกันแน่
เป็นคนมีสองร่าง ผมไม่ใช่เกษตรกร ผมเป็นนักทดลอง เคยเป็นครีเอทีฟโฆษณามาตลอดชีวิต ก็ใช้วิธีการคิดนำ เพราะโลกนี้มีหลุมดำระหว่างนักคิดกับนักทำ มันเป็นครรลองของโลก จุดอ่อนของนักคิดคือไม่ได้ลงมือทำเท่าไร เป็นนักค้นคว้าหรือนักวิจัยเสียส่วนใหญ่ ส่วนนักทำ มีจุดอ่อนคือไม่มีเวลาคิดเพราะทำมาก กับอีกประเภทคือคิดไม่เป็น นั่นจึงเป็นสาเหตุที่คนเราต้องเข้าคอร์สเพื่อคิดให้เป็น แล้วนักคิดกับนักทำมักเดินขนานกัน แต่ผมเป็นคนประหลาดที่ว่าเป็นสองสิ่งนี้อยู่ในคนเดียวกัน
อย่างกลางคืนผมจะใช้เวลากับการขบคิด เพราะเรามีสมาธิและเรียบเรียงความคิดได้ว่า ในหนึ่งสัปดาห์หนึ่งเราแพลนอะไรไว้ มันเป็นอย่างไร มีปัญหาไหม ต้องแก้อย่างไร ถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย ต้องสลัดมันทิ้ง แต่ถ้าใช่ก็ต้องรีบแก้และลงมือทำ เหมือนเป็นการจัดระบบทางความคิดอย่างหนึ่ง
แล้วเราจะคิดล่วงหน้า อย่างการปลูกผักหรือทำเกษตร เราจะคิดว่าปีนี้ เราจะปลูกอะไรที่เป็นดาวเด่น แล้วคิดเผื่อปีหน้าว่าจะปลูกอะไร ที่เป็นเช่นนั้นเพราะมนุษย์มีความขี้เบื่อ ในที่สุดแล้วผมไม่เคยบอกทุกคนว่าของดีหรือที่ได้รับความนิยมมากๆ จะต้องปลูกเอาไว้ตลอด ผมอาจจะหาอะไรใหม่ๆ มาทดสอบตลาด ถ้าไปได้ดีก็จะปลูก เช่น ปีที่แล้วผมปลูกกะหล่ำปลีกับมะเขือเทศเชอร์รี่ญี่ปุ่น เป็นสองอย่างที่มีคนออเดอร์มากที่สุด ซึ่งปีนี้ผมจะปลูกเคล มันจะต้องเป็นดาวเด่นตัวใหม่ของผม
หลุมดำระหว่างนักคิดและนักทำที่คุณพูดถึงมันเป็นอย่างไร
ถูกดูดหายไปหมด คิดอย่างเดียวไม่ทำ ส่วนทำก็ไม่ได้คิด ผมว่าเป็นอุปสรรคทั้งโลก คุณไปดูดีๆ นักคิดไม่ค่อยได้ทำหรอก แต่คุณต้องฟังเขา เป็นคนที่คิดความน่าจะเป็น แต่ไม่เคยลองปฎิบัติ อย่างที่บอกกลางคืน ผมเป็นตุ้ย เป็นเวลาแห่งการใช้ความคิด ส่วนกลางวันผมเป็นจอน ที่ทำในสิ่งที่คิดเมื่อคืน เอาแผนมานั่งดู ลงมือทดลองทำ งานของผมเป็นการทดลองหมด ทำให้มีความสนุกตื่นเต้น เพราะจุดเริ่มต้นของคนเราไม่เหมือนกัน ผมมาทำเกษตรเพราะผมชอบกิน ผมตะกละ จะกินแต่ของดีๆ เหมือนเป็นคนเรื่องมากที่ดูไม่ค่อยดี แต่เราก็เปลี่ยนมาเป็นข้อดี
คนกับแบรนด์เป็นสิ่งเดียวกัน ผมเป็นคนแบบนี้ ผลผลิตของผมก็จะเป็นแบบนี้ด้วย ถ้าผมเป็นคนแบบนี้ แล้วดันไปทำอีกแบบ มันไม่ตรงกันแน่นอน แบรนด์เป็นตัวตนที่จับต้องได้ บางทีคนเขาไม่ได้แค่มากินผัก แต่เพราะผมเป็นผู้สร้างประสบการณ์การกินแบบที่จินตนาการได้ไม่รู้จบ
ผมไม่เคยบอกให้คนแหกกรอบตั้งแต่ต้น คุณต้องเรียนรู้กฎพื้นฐานทุกชนิด แล้วรีบทำลายมัน ทุกอย่างกลายเป็นของเล่นไปหมด พอเข้าใจแก่นแล้ว คุณจะมองขาดหมดเลย ถ้าคุณไม่เข้าใจแก่น คุณจะสะเปะสะปะแล้วตามเขาไม่ทัน เพราะไม่เข้าใจเนื้อแท้ของเรื่องที่คุณทำ
อะไรที่หล่อหลอมให้คุณกลายเป็นแบบที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
ถ้าดูจากลักษณะผม อาจเป็นบ้าได้ ถ้ารักษาเส้นแบ่งไม่ดี คือเป็นคนขัดแย้งในตัวเองสูงมาก มีสองสิ่งในตัวตลอด ตอนเด็กๆ ผมชอบศิลปะและดันชอบวิทยาศาสตร์ ที่เป็นแบบนั้นเพราะผมมีดีเอ็นเอของก๋งอยู่ คือเราชอบไปคลุกคลีกับก๋งในสวนย่านฝั่งธนบุรี เขามีนิสัยชอบปลีกตัว สามารถอยู่คนเดียววาดรูปได้เป็นปีๆ ขณะเดียวกันเขาก็เป็นนักประดิษฐ์ ที่บ้านจะมีห้องที่มีสิ่งประดิษฐ์ เครื่องจักรกลเต็มไปหมด เขาเป็นสองสิ่งอย่างแท้จริง ผมเลยคิดว่าผมเหมือนก๋ง แต่ข้อดีคือผมไม่ขวางโลกเท่าเขา
แต่จุดอ่อนของผมคือเรียนเลขไม่เก่ง ถ้าไม่แบบนั้นคงเรียนวิศวะไปแล้ว ตอนเด็กๆ มีความสุขมาก เวลาได้อยู่บ้านก๋ง ได้รู้ได้เห็นในสิ่งที่มากกว่าเด็กทั่วไป เพระเราจะถามตลอดเวลา วันหนึ่งเป็นร้อยคำถามได้ จนเป็นนิสัยมาถึงทุกวันนี้ แต่ตอนนี้อาจจะตั้งคำถามลดลง ใช้วิธีอยากรู้แบบผู้ใหญ่มากขึ้น แล้วผมจะพูดเสมอว่าเป็นคนปากอย่างใจอย่าง เช่น ผมอาจจะขอบคุณคุณ แต่ใจผมอาจไม่เชื่อ ผมจะเชื่อต่อเมื่อได้ลงมือทำสิ่งนั้นออกมาแล้วพบว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่ผมจะสุภาพ และถือว่าทุกวันเป็นความรู้ใหม่ ต้องลองจนกว่าจะรู้ อีกนิดเดียวคงใกล้บ้า คือผมต้องรู้ว่าทำไมต้องทำสิ่งนี้ ด้วยเหตุผลอะไร เราเป็นคนที่อยู่กับเรื่องแบบนี้ตลอดเวลา
เข้าขั้นหมกมุ่นไหม
ไม่ซีเรียส ผมมีหลักการชีวิตอยู่อย่างว่ามันเป็นเรื่องคอขาดบาดตายหรือเปล่า ถ้าไม่ โลกมันไม่แตกหรอก ช่างแม่ง แต่ถ้าเรื่องนี้ เรารู้สึกหงุดหงิดแบบต้องรู้ให้ได้ ถ้าไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล แต่ผมคิดว่าสมองของผมเหมือนไอคลาวด์ที่มีเรื่องให้สะสม และถึงเวลาเหมาะสมก็เอามาใช้ได้เลย
คุณมีวิธีจัดระเบียบความคิดอย่างไร
ไม่รู้เหมือนกัน มันเหมือนระบบคอมพิวเตอร์ที่เครื่องเป็นแบบไหนก็ไม่รู้ แต่สามารถแยกแยะ และมีความพิเศษที่ไม่เหมือนใคร เพราะวัยเด็กเราสอดรู้สอดเห็นมาก ตื่นเต้น มีความสุข เคยไฟฟ้าจะดูดตายเพราะประดิษฐ์สิ่งของ เข้าใจเลยว่าไฟดูดมันคืออะไร แล้วผมโดนครบทุกชนิด ไฟดูด ตกน้ำ หมากัด เรียกว่าแผลเต็มตัว แต่ผมชอบเพราะมันสร้างความจดจำและความรู้อย่างแท้จริง
วัยเด็กก็เป็นแบบนั้น แล้วผมชอบความสงัด ไม่ชอบการอยู่กับคนอื่นเท่าไร ซึ่งขัดแย้งกับปัจจุบันมากที่ผมอยู่งานปาร์ตี้ที่มีเสียงอึกทึกครึกโครมได้ แต่อีกแป๊ปเดียวผมจะหายตัวไปแล้ว ฟังดูเป็นโลกที่ไม่เข้ากันเลย ผมดีกว่าก๋งตรงที่ว่าผมกลบสิ่งเหล่านี้ได้ หน้าอย่างใจอย่างได้ แต่ก๋งผมเขา‘ติสท์แดก เป็นคนแข็งโป๊ก ถ้าเป็นนักวิทยาศาาสตร์ก็เป็นประเภทไม่ฟังใครทั้งสิ้น
ย้อนถึงชีวิตตอนเรียนหนังสือหน่อย ท่าทางจะมีอะไรมันส์ๆ แน่เลย
ผมเป็นคนเอาแต่ใจตัวเองเป็นที่ตั้ง ตอนแรกเรียนอัสสัมชัญ บางรัก แต่ความรู้สึกเหมือนโดนหลอกให้เรียนเป็นพ่อค้า ทั้งๆ ที่เราชอบศิลปะมาก ผมค้นพบความสุขตอนที่เรียนหนังสือ คือการรอให้ถึงวันคริสต์มาสแต่ละปี เพื่อที่ผมจะได้วาดรูปที่กระดาน หลังๆ เริ่มเป็นวัยรุ่นอายุ 14-15 ปี หนักข้อมากขึ้น หยุดเรียนมันดื้อๆ คิดว่ากูเก่ง เดี๋ยวสอบเทียบเอา ก็ประชดชีวิตด้วยความเหลวไหล เรียนโรงเรียนฝรั่งดีๆ ไม่ชอบ มาเรียนโรงเรียนแถวบ้านแบบไม่มีเป้าหมาย
แต่มีจุดหักเหตอน ม.ศ.4 ขึ้น ม.ศ.5 ไปเจอเพื่อนเก่าสมัยเด็กๆ ที่ตอนนั้นเรียนช่างศิลป์อยู่ เขาบอกว่าทำไมนายไม่เรียนศิลปะ นายเก่งเรื่องนี้ ยังเคยแย่งกระดานเราไปวาดรูปช่วงคริสต์มาสเลย มันเลยทำให้ผมหยุดคิดแล้วกลับมาเรียนใหม่ ต้องเข้าเรียนศิลปะให้ได้ ผมเลยไปเข้าอาชีวศึกษาธนบุรี มีอยู่วันหนึ่ง ผมอยู่ ปวช. ปีสอง ครูที่สอนวิชาออกแบบเรียกผมกับเพื่อนผมมาสองคน สาระที่แกคุยคือให้ผมไปสอบเข้ามัณฑนศิลป์ ศิลปากร ส่วนเพื่อนผมอีกคน ประทีป คชบัว ให้สอบเข้าจิตรกรรมฯ ผมก็ถามครูว่าผมจะสอบได้เหรอ เขารับคนน้อยมาก ครูบอกว่าเธอไม่เหมือนคนอื่น เธอสอบได้
ตรงนี้เป็นจุดสำคัญในชีวิต มีเป้าหมายใหม่หลังจากเหลวไหลมานาน ประเด็นคือว่าผมจะสอบเข้าได้อย่างไร
ในเมื่อผมไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน แล้วมีเวลาแค่ 15 วัน ก็นั่งคิดว่าคนออกข้อสอบคงไม่ขยันหรอก น่าจะออกข้อสอบวนสามปี สมัยก่อนมีข้อสอบเก่าขายอยู่แถวๆ สนามหลวง เลยไปซื้อมาถ่ายเอกสารข้อสอบเก่าย้อนหลังสามปี
ตอนนั้นมีวิชาที่ต้องเอาชนะอยู่ห้าวิชา คะแนนเต็ม 500 คะแนน คิดว่าต้องทำให้ได้ 300 คะแนนถึงจะสอบเข้าได้ ผมดูว่าวิชาออกแบบกับดรอว์อิ้ง ผมน่าจะควบคุมมันได้ ที่เหลือจะเป็นภาษาไทย สังคม และอังกฤษ หลักการคืออะไรควรตัดก่อน ผมตัดอังกฤษทิ้งเลย เพราะรื้อฟื้นไม่ทัน เวลามีน้อยแค่ 15 วัน อีกสองวิชาผมใช้วิธีการจำ ไม่ได้ท่อง แต่ความสามารถแบบนี้คุณต้องมีพื้นฐานดีอยู่แล้วระดับหนึ่ง และเทคนิคนี้ห้ามนานเกินไป เพราะเดี๋ยวจะลืม
พอเข้าไปในห้องสอบ ผมหัวเราะบ้าอยู่คนเดียว คือผมจำได้หมดเลย ออกจากห้องสอบมา มั่นใจเลยว่าสอบเข้าได้แน่นอน เพราะเป็นข้อสอบสามปีย้อนหลังจริงๆ สิ่งนี้บอกว่ายามที่คุณแข่งขัน คุณต้องงัดทุกความสามารถออกมา อย่าทำตามกติกามากนัก ถ้าคุณมีความสามารถในการจำก็ใช้วิธีนี้ นี่ผมพูดในที่สาธารณะ เหมือนว่าส่งเสริมให้คนไม่ตั้งใจเรียน แต่ไม่ใช่ ผมใช้เทคนิคนี้ในเวลาที่มีจำกัด
กลับมาที่วิชาออกแบบ 100 คะแนน จะเอาอย่างไรดี ตอนนั้นมีเงินไม่เยอะ ถ้าซื้อสีถูกๆ จะได้กล่องหนึ่ง แต่ผมกล้าตัดสินใจซื้อสีแพงๆ ได้มาแค่สิบแท่ง แล้วเป็นโทนสีพาสเทลสวยๆ ผมเสี่ยงกับข้อสอบไปเลย กำสิบแท่งเข้าห้องสอบแล้วใช้มันอยู่แค่นั้น ส่วนวิชาดรอว์อิ้ง ปีนั้นออกข้อสอบว่า วาดอะไรก็ได้ให้เหมือน เป็นคำถามเปิด โชคดีมาก ผมเลยเอาคัตเตอร์วางบนกระดาษแล้วดราฟต์ คะแนนสัดส่วนผมได้เต็ม โดยที่คนตรวจข้อสอบไม่รู้ มันคือการดราฟต์แบบขี้โกง เพราะคนที่เรียนมัณฑนศิลป์ต้องเก่งเรื่องสัดส่วน แต่หารู้ไม่ว่าผมใช้วิธีนี้
ปรากฎว่าผมสอบเข้ามัณฑนศิลป์ ศิลปากรได้จริงๆ ผมมีความสุข หน้าเชิด เพราะที่บ้านไม่เชื่อว่าผมจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ เขาคิดว่าผมเป็นเด็กติดยา เด็กเหลือขอ เนื่องจากชอบออกจากบ้าน ลองคิดดูว่าย้อนเวลากลับไป ผมแก้ปัญหาและเอาชนะมันด้วยหลักทางวิทยาศาสตร์หมดเลย คือคุณต้องรู้ว่าเอาชนะด้วยคะแนนเท่าไร ถึงจะสอบเข้าได้ แล้วทำแบบไหนถึงจะไปถึงจุดนั้นได้
เรียนจบแล้วไปทำโฆษณาเลยหรือเปล่า
ผมไปทำงานกับ พี่ต่อ สันติศิริ ที่บริษัทโฆษณาแห่งหนึ่ง เข้าไปในฐานะดีไซเนอร์ ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าโฆษณามันคืออะไร คอมพิวเตอร์ก็ยังไม่มี ทุกอย่างทำแบบแมนวลหมด ส่วนใหญ่คนที่ทำงานจะเป็นเด็กจบนอกหมด เขาคุยกันแบบรู้ทุกอย่าง เราก็สงสัยว่าเขาคุยอะไรกัน เวลาพักกลางวัน เขาไปกินข้าว ผมไม่ไป แอบไปดูงานของเขาว่ามันคืออะไร สิ่งที่ถกเถียงกันเป็นแบบไหน โดยที่เราไม่ได้อยากทำโฆษณา แต่มีคำถามที่เราสงสัยเต็มไปหมด
ชีวิตมันก็ดำเนินมาแบบนี้เรื่อยๆ จนมีวันหนึ่ง มีสินค้าอยู่ตัวที่ทางบริษัทไปขายงานมาสามครั้งแล้วยังขายไม่ได้ เปลี่ยนทีมงานขายก็แล้ว จนพี่ต่อเดินมาหาผม เพราะเห็นผมนั่งทำงานอยู่ ไม่ได้ลงไปกินข้าวกลางวัน เขาถามเราว่าว่างไหม มีงานหนึ่ง ขายไม่ได้ ลองทำให้หน่อยเผื่อมันจะขายได้ ผมก็ตอบตกลง กลายเป็นเข้าทาง เริ่มแรกผมขอดูงานเดิมว่าที่ขายไม่ได้เพราะอะไร ก็พบว่าที่ขายไม่ได้เพราะหลักการเกินไป ยึดติดกับหลักการตลาดจนไม่ยอมแหกโค้งดูบ้าง
สินค้าสองตัวจะทำเป็นปรินท์แอด ชิ้นแรกจะนำเสนอว่าเป็นผ้าฝ้ายอียิปต์ อีกอันเป็นผ้าอ็อกซ์ฟอร์ด ผมใช้เวลาสองชั่วโมงทำเป็นไทโปกราฟีที่สื่อถึงความเป็นอียิปต์ เอารูปพีระมิด ทะเลทรายมาใส่ ส่วนอ็อกซ์ฟอร์ดนึกถึงความเป็นอังกฤษ ก็เล่นกับโทนสีฟ้าอมเทา และหาภาพที่เกี่ยวข้องมาใส่ ผลคือขายลูกค้าได้ นั่นเลยทำให้ผมเปลี่ยนจากดีไซเนอร์มาเป็นครีเอทีฟ
จะบอกว่ามนุษย์เราเรื่องของโอกาสเกิดขึ้นอยู่เสมอ อยู่ที่ว่าเรามองเป็นปัญหาหรือโอกาส เพราะในโลกมีแค่สองสิ่งคือฝีมือกับโอกาส หลายคนไม่มีฝีมือแต่คว้าโอกาสนั้นไว้ แต่อีกหลายคนที่มีฝีมือแต่ไม่คว้าโอกาส เพราะคิดว่ามันคือปัญหา
เกือบทั้งชีวิตอยู่ในวงการโฆษณา อะไรคือเหตุผลที่ทำให้คุณลาออกมาปลูกผักแทน
เมื่อคุณทำงานอะไรที่คุณลืมวัน ลืมคืน ลืมเดือน ลืมปี นั่นแสดงว่าคุณสนุกมากในชีวิต แต่ถ้ามันบอกอะไรได้บางอย่างแสดงว่าคุณเริ่มนับมัน เริ่มไม่สนุก จึงจำได้ว่าอยู่กี่ปี จริงๆ มันมีหลักการชีวิตอยู่เรื่องหนึ่ง คือว่าเราไม่ควรทำงานที่ไหนเกินสามปี
ทำไมต้องสามปี
ผมเชื่อว่าปีแรกเป็นปีที่เราจะเรียนรู้องค์กรให้เรียบร้อย พอเข้าปีที่สองเราปรับตัวให้มั่นคง และปีที่สามเป็นปีแห่งการสร้างชื่อเสียงแล้วเดินจากไป มันเหมือนเปลี่ยนโรงเรียน เมื่อคุณเรียนรู้หมดแล้ว จงเปลี่ยน แล้วจะเกิดความรู้ใหม่ อย่างบริษัทโฆษณาแต่ละที่จะมีวิธีคิดและทักษะบางอย่างไม่เหมือนกัน
แต่กฎผมก็ถูกทำลายเมื่อผมอยู่ที่แมทช์บ็อกซ์นานถึง 16 ปี ผมทำงานด้วยความสนุก ความสุขคือเราเก่ง มีชื่อเสียง ได้รางวัลเพียบ ลูกค้าก็รักดี คิดดูจากดีไซเนอร์ที่ไม่รู้อะไรเลย กลายมาเป็นครีเอทีฟที่ในความไม่มีหลักเกณฑ์ในแบบผม กลายมาเป็นหลักเกณฑ์ที่ไม่มีใครเลียนแบบได้ แล้วผมไม่ยึดติด ผมชอบอยู่บนตะเข็บของทุกสิ่ง ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดทั้งสิ้น
จากครีเอทีฟ เป็นกรุ๊ปเฮด เป็นไดเร็กเตอร์ ผมทำมาหมดทุกอย่าง จนสุดท้ายมาเป็นเอ็มดี เนื่องจากเขาอยากให้เราเป็น และเราก็รับคำท้าทายนั้น สุดท้ายเราก็พบว่าการตัดสินใจครั้งนั้นเป็นการคิดผิด เพราะบริบทของบริษัทไม่ให้ ไม่ได้อยู่ในสถานะมั่นคง ถ้าเป็นฟุตบอลคือผมเป็นตัวรุก แต่ในตำแหน่งนี้ผมต้องมาอุดช่องโหว่ คอยแก้ปัญหา เป็นฝ่ายตั้งรับ สุดท้ายก็เละเทะ เราคิดว่าถ้าทำได้ไม่ดี ก็อย่าเสียเวลาต่อกันเลย อย่าไปแคร์เงินเดือนที่มากมายนักเลย และก็ไม่มีความสุขด้วย
ตอนตัดสินใจลาออก คุณคิดอะไรอยู่
มนุษย์ชอบมีคำพูดเสมอว่าจะทำแบบนั้นแบบนี้ แต่ไม่เห็นมีใครลงมือทำสักคน ในเดือนหนึ่งเราคิดว่าจะลาออก ใช้เวลาในการตกผลึก กว่าจะไปลาออก เงินเดือนก็ออกพอดี แล้วจะทิ้งเงินเดือนหลักแสนไปทำไม พอได้เงินเดือนมาก็เอาไปใช้ชีวิตอู้ฟู่อีกสิบวัน เสร็จแล้วก็กลับมาคิดเรื่องลาออก วนเป็นลูปเดิม เราติดบ่วงตรงนี้
แต่ผมก็ต้องบาลานซ์ระหว่างความ’ติสท์แดกกับสิ่งที่ต้องคิดดีๆ ตอนแรกยังไม่ได้คิดจะปลูกผัก แค่คิดว่าทำมาหมดทุกอย่างในวงการโฆษณา เงินเก็บก็มี เลยลาออกมาตั้งบริษัทโฆษณาเองเลย โดยมีผมอยู่คนเดียว คราวนี้ก็คิดว่าปีหนึ่งเราใช้เงินเท่าไร นั่นหมายความว่าต้องทำกี่งานถึงจะอยู่ได้ เรามีชีวิตเท่าไรกันแน่ ผมเริ่มควบคุมมัน หลังจากปล่อยให้ระบบควบคุมมานาน ออกแบบชีวิต โดยที่กำหนดเลยว่าต้องทำงานสัก 4-5 งานต่อปี แล้วที่เหลือไปหาอย่างอื่นทำ มันชัดเจนภายใต้เงื่อนไขที่ว่าคุณต้องมีชื่อเสียงเท่านั้น มีลูกค้าประจำอยู่ในมือ แล้วดีลกันตรงไปตรงมาเลยว่าจะให้เราทำกี่งาน
คราวนี้ผมก็นึกอีก เราควรทำอะไรอีกในชีวิต ถ้าพูดตรงๆ ผมชอบเที่ยว ชอบถ่ายรูปลงไอจี ต่างประเทศก็ไปมาบ้าง ประเทศที่เจริญแล้วก็งั้นๆ ประเทศแปลกๆ เช่น มองโกเลีย ก็โอเค แต่เรายังรู้จักประเทศไทยน้อยมาก ก็เลยคิดว่าจะไปเที่ยวให้ครบ 77 จังหวัด ไปถ่ายรูปในจุดที่สำคัญๆ
ทุกอย่างเราวางแผนไว้หมดเลย ไปจังหวัดไหนก่อน มีอะไรเที่ยวบ้าง ต้องนอนที่ไหน กินของอร่อยอะไร จากจังหวัดนี้ไปอีกจังหวัดใช้เวลาเดินทางเท่าไร ขึ้นไปอีสาน สกลนคร อุบลราชธานี เลาะริมแม่น้ำโขงไปเรื่อยๆ ขึ้นไปเหนือ แพร่ น่าน เชียงราย ไปใต้บ้าง แต่ทั้งหมดนี้ทำให้ผมต้องตื่นเช้ามาถ่ายรูป รู้สึกว่าแต่ละวันชีวิตช่างยาวนานเหลือเกิน มีเวลาทำอย่าอื่นอีก ก็ไปเดินตลาดเห็นชาวบ้านเอาผักมาขาย ความสงสัยในวัยเด็กกลับมาอีกครั้ง อยากรู้ว่าเขาปลูกอย่างไร ทำไมถึงปลูกผักชนิดนี้ ก็ขอเขาไปดูสวน ถามเขาว่าปลูกอย่างไร ผักนี้ดีอย่างไร ทำไมคนถึงชอบกิน แล้วมันปลูกแบบไม่ใช้สารเคมี เราก็อยากรู้ว่าดีอย่างไร
ผมใช้ชีวิตแบบนี้อยู่ปีหนึ่ง ดูทุกโมเดล จนตกตะกอนทางความคิดที่เชียงของ เรานอนคิดอยู่ นอนไม่หลับ เห็นมาครบแล้ว แต่จะทำแบบไหนดี ปรับมาใช้อย่างไรให้เป็นแบบที่เราชอบ เพราะอย่างที่บอกผมไม่ชอบทำตามใคร ตอนเช้าผมสตาร์ตรถขับกลับลงมาที่ไร่ รื้อแปลงกล้วยไม้ที่ปลูกไว้เดิมออกไป ปีแรกกับปีสองเหมือนเป็นการฝึกวิชา เป็นการสังเกตผักที่เราปลูก และอีกสามปีจึงลงมือทำจริงจัง
คุณไปหาองค์ความรู้ด้านการเกษตรมาจากไหน
อย่างแรก ศึกษาจากอดีต ความรู้เก่าแก่โบราณจากคนแก่ๆ ที่เป็นนักปลูก เราถามเขาตลอดเพื่อจะได้ความรู้ใหม่ อย่างที่สอง คือความรู้ในปัจจุบัน ผมจะไม่เข้าคอร์ส หรือเข้าโรงเรียนสอนอะไรทั้งสิ้น แต่ชอบให้เพื่อนไปเรียน แล้วค่อยถามมัน เป็นการอัพเดตความรู้ และสาม ผมหาความรู้จากอนาคต โดยการค้นหาจากกูเกิล ถ้าเป็นภาษาไทยก็หน้าเดียวพอ ที่เหลือก็อปฯ กันมาหมด พอเป็นภาษาอังกฤษก็จะดีหน่อย มีฮาวทูบอกหมด แต่ค่อนข้างขี้โม้ และข้อเสียคือสภาพอากาศไม่เหมือนบ้านเรา ก็ต้องหาสิ่งที่มันเทียบเคียงกันได้
ผมเอาความรู้จากอดีต ปัจจุบัน และอนาคต มานั่งคิด อยากบอกว่าไม่มีใครผิดเลย ทุกคนถูกหมด เรามีหน้าที่เอาทั้งสามมุมมากลั่นกรอง แล้วเลือกวิธีที่ถนัดที่สุด คุณรู้หรือไม่ว่าจริงๆ แล้วเป็นความรู้เดียวกันแต่มองคนละมุม เช่น ภูเขาลูกนี้ มองจากมุมเราบอกว่าเป็นช้าง มองจากมุมคนที่นั่งตรงข้ามจะบอกว่าเป็นแรด อันที่จริงเป็นภูเขาลูกเดียวกัน
การทดลองปลูก มันเริ่มจากเอาเมล็ดพันธุ์หนึ่งซองมานั่งคิดว่าเราต้องเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งเหล่านี้ให้ได้ อะไรทำให้งอกหรือไม่งอก ผมพร้อมเจ็บตัวไปกับมัน แต่ต้องรู้ว่าเบื้องต้นว่าอะไรปลูกได้หรือไม่ ชอบไม่ชอบความชื้น อากาศหนาวเท่าไร เช่น สตรอว์เบอร์รีต้องปลูกใกล้เชิงเขา เพราะถ้าอุณหภูมิไม่ถึง 25 องศา มันไม่ออกดอก คุณไม่จำเป็นต้องรู้ทั้งหมด แต่ต้องมีความรู้กับสิ่งที่ปลูก ถ้าคุณรวยก็ติดแอร์ให้ มันก็ออกดอกได้เช่นกัน ผมไม่กลัวฤดูกาลเท่ากับความชื้นในอากาศที่แก้ไม่ได้ ยกเว้นคุณจะรวยแล้วสร้างห้องควบคุมความชื้น
คุณจัดสรรแปลงปลูกผักอย่างไร
คิดก่อนว่าในจานเล็กๆ ใบนี้มีส่วนประกอบอะไรบ้าง ความสำเร็จกับความล้มเหลวมาจากอะไร ถ้าทำเล็กๆ ได้จะขยายไปโมเดลใหญ่ได้ทันที เขาเรียกว่าทำต้นแบบของการทำธุรกิจ ถ้าคิดใหญ่จะอ้างว้างในสิ่งที่คุณไม่รู้มาก่อน ฉะนั้นคิดแก้ปัญหาไปตามฤดูกาล คนเราเชื่อในสิ่งที่บอกต่อกันมา แต่ไม่ถามต่อว่าเพราะอะไร ทำไมเราต้องปลูกผักสลับแปลง เพราะในทางวิทยาศาสตร์เอาไว้หลอกล่อแมลง เช่น แปลงนี้เป็นผักหวาน หนอนแมลงจำได้และเข้าโจมตี รอบหน้าเราเอาคื่นช่าย ตั้งโอ๋ ซึ่งเป็นผักมีกลิ่นฉุนมาปลูกไว้ หนอนแมลงก็จะไม่ชอบ เป็นการสลับหลอก และบอกว่าอย่าปลูกแปลงเดิมซ้ำ
ทำไมถึงเลือกปลูกผักแปลกๆ
ถ้ามีคนทำแล้วผมไม่ทำ ความเป็นออร์แกนิค มันเหนื่อยกว่าปกติ ราคาแพงกว่าปกติ การดูแลยากกว่าปกติ แล้วต้องไปนั่งแข่งขันกับคนอื่นว่าของเราเป็นออร์แกนิคแบบนี้ ผมเหนื่อยกับการมานั่งบอกว่ามันคืออะไร เวลามีลูกค้ามาถามอะไรแบบนี้ ผมไม่ต้อนรับเลย เพราะคุณไม่รู้จักผมมาก่อน แต่ถ้าลูกค้าประจำเราข้ามสิ่งนี้ไปเลย
ผมเป็น Food Maker ที่ทำสนองจิตใจและลิ้นตัวเอง แต่ถ้ามีใครปลูกอะไรเลียนแบบ เราจะถอนตัว เมลอนที่บ้าปลูกกันมาก ผมรอให้มันอิ่มตัวก่อน ไม่ลงไปอยู่ในแม่น้ำที่เชี่ยวกราก ผมเปิดลำธารสายใหม่ ปลูกผักที่คนชอบกินอยู่แล้ว รับรู้ได้ง่าย เช่น แครอท พอบอกว่ามีสีเหลือง สีดำด้วย คนจะอยากกินทันที
แล้วลูกค้าที่มาซื้อส่วนใหญ่เข้าใจว่าคุณปลูกอะไรใช่ไหม
ส่วนใหญ่ลูกค้าที่มาซื้อจะรู้จักกันมานาน ไม่ต้องอธิบายมาก รู้สันดานในการปลูก นิสัยข้อไม่ดีของผมคือไม่พอใจตลอดเวลา อย่างผมปลูกผักกาดขาวไทยอร่อยแล้ว ก็ต้องหาสิ่งที่ดีกว่า เสาะหาที่อร่อยกว่านี้ หันไปปลูกผักกาดขาวญี่ปุ่น และหาที่แรร์ไอเท็มกว่านี้ คือผักกาดม่วงญี่ปุ่น เรียกว่าต้องขึ้นชั้นไปเรื่อยๆ แม้จะแพงแค่ไหนก็ตาม เพราะเราทำตลาดเฉพาะกลุ่ม
ผมเป็นแบบนี้ คุณต้องรู้จักผม ไม่มีอะไรที่ผมไม่ลอง การทดลองเป็นเรื่องของถ้าทำไม่สำเร็จ ไม่มีอะไรมากก็แค่หัวเราะ เอาหัวโขกข้างฝา ถ้าทำสำเร็จก็ตรงไปตรงมา คือกูเก่ง ความเก่งมันคือความสุข
ถ้ามีคนบอกว่าคุณเพี้ยนล่ะ
ผมไม่แคร์ ผมไม่ได้อยากเป็นญาติคุณ ผมอยู่ของผม จงเชื่อในตัวเอง ในสิ่งที่ตัวเองทำ ลองแก้ปัญหาด้วยตัวเองให้ได้ จงฟังผู้อื่น แต่ไม่จำเป็นต้องแคร์ผู้อื่น
ภาพ: ขจรศิริ อุ่ยมานะชัย
Fact Box
เสกสรรค์ อุ่นจิตติ เรียนจบคณะมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เริ่มต้นทำงานในบริษัทโฆษณาในฐานะกราฟิก ดีไซเนอร์ ไต่ระดับจนเป็นครีเอทีฟไดเร็กเตอร์มือรางวัลในบริษัทชั้นนำหลายแห่ง และส่งท้ายอาชีพในวงการโฆษณาด้วยตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซี แมทช์บ็อกซ์ จำกัด ก่อนจะลาออกมาเป็นเกษตรกรปลูกผักออร์แกนิค ในชื่อ ‘จอน นอนไร่’ ที่ปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา และยังคงมีบริษัทโฆษณาเล็กๆ ที่มีเขาเป็นพนักงานแต่เพียงผู้เดียว
Tags: บทสัมภาษณ์, เกษตรกรรม, วงการโฆษณา, ฟาร์ม, ผักออร์แกนิก