ยู (แสดงโดย กฤตย์ จีรพัฒนานุวงศ์) เด็กหนุ่มวัยหัวเลี้ยวหัวต่อ อยู่ในช่วงที่ต้องเลือกเส้นทางของชีวิต ซึ่งปัจจุบันมีสถานะเป็นลูกมือของพ่อในการส่งเอกสารให้กับลูกค้าตามสถานที่ต่างๆ และอีกในมุมหนึ่ง ยูก็คือผู้เล่นเกมมือถือออนไลน์ฝีมือฉกาจ เป็นที่ยอมรับของเด็กๆ ในหมู่บ้าน ถือเป็นผู้เล่นที่น่าจับตาและดูมีอนาคตคนหนึ่ง

‘The Up Rank อาชญาเกม’ เริ่มเรื่องราวผ่านมุมมองและกิจวัตรประจำวันต่างๆ ของตัวละครยู เพื่อเป็นการปรับทัศนคติ ชวนผู้ชมมองเข้าไปผ่านเลนส์ของตัวละครยู ที่ในขณะนี้กำลังมีความรู้สึกที่คานกันอยู่ 2 ขั้ว คือการเป็นที่ยอมรับของผู้คนในวงการเกมมือถือ หรือเป็นแค่ลูกคนหนึ่งที่ไม่เอาไหนของพ่อบังเกิดเกล้า 

จุดนี้ถือเป็นความประทับใจอย่างแรกที่สัมผัสได้ในเรื่อง ผู้เขียนมองว่าการที่หนังสอดแทรกเรื่องราวส่วนตัวของยู เข้ากับเกมมือถือและระบบของแรงก์ (Rank) ที่จะเป็น ‘ปมสำคัญ’ ได้อย่างพองาม ลื่นไหล ไม่ประเจิดประเจ้อจนดูออกว่าตั้งใจขมวดเรื่องราว ทำให้การตัดสินใจของยูในการจะเป็น ‘นักปั๊มอันดับ’ ในเกม ร่วมกับอีกสมาชิกอีก 3 คนอย่าง โฮม (แสดงโดย ภูมิภัทร ถาวรศิริ), พีท (แสดงโดย กิตติศักดิ์ ปฐมบูรณา) และทอย (แสดงโดย สุดารัตน์ ผุงศิริ) ดูมีน้ำหนัก น่าเชื่อถือ และดูเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับเด็กผู้ชายคนหนึ่งเป็นอย่างมาก 

 

 

ระบบจัดอันดับ (Rank) การคัดสรรของสิ่งมีชีวิตในสังคม 

แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่ดูหนังเรื่องนี้ จะเป็นคนที่เล่นเกมหรือเข้าใจระบบจัดอันดับของเกมมาก่อน ดังนั้น การแนะนำให้ผู้ชมทำความรู้จักเงื่อนไขส่วนนี้ในหนัง โดยเฉพาะการปั๊มอันดับที่จะซับซ้อนมากขึ้นไปอีก ต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก เพราะหากทำออกมาในทำนองที่ ‘เนิร์ดเกินไป’ ก็จะผลักไสคนดู ทำให้ต่อไม่ติดกับเรื่องราวในโลกของเหล่าเกมเมอร์

แต่สำหรับ The Up Rank อาชญาเกม สอบผ่านในเรื่องนี้ ส่วนหนึ่งต้องให้เครดิตกับบทพูดของตัวละคร โฮม ที่มีการเปรียบเปรยอันดับของผู้เล่นในเกมออนไลน์ เหมือนกับสถานะทางสังคมในชีวิตจริง ที่ผู้คนอยากจะไต่เต้าไปอยู่จุดที่สูงกว่าเดิม เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าตัวเองประสบความสำเร็จสักอย่างหนึ่งในชีวิต แม้ว่าวิธีนั้นจะไม่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ของเกมก็ตาม 

แม้ในมุมมองของผู้เขียน ที่เป็นเด็กคนหนึ่งที่เคยติดเกมมาก่อนจะรู้สึกว่า เงื่อนไขตรงนี้ที่หนังสร้างขึ้นจะดูโอเวอร์มากเกินไปหน่อยก็ตาม แต่หากลองปล่อยใจ มองว่ามันเป็นอีกรูปแบบของวิถีชีวิตหนึ่งที่มีกลุ่มคนเอาจริงเอาจังกับเรื่องอันดับในเกม ก็พอยอมรับถึงแรงจูงใจของคนกลุ่มนี้ที่ถึงกับยอมเสียเงินหลายสตางค์ในการอัปสถานะสังคมของตัวเองในโลกเกมออนไลน์ 

ซึ่งพอก้าวผ่านจุดนี้ได้ หนังเรื่องนี้จะเริ่มสนุกขึ้นทันที หลังจากนั้นหนังเริ่มมีจังหวะและอารมณ์ที่เปลี่ยนไป มีความลุ้นระทึก สนุก เร้าใจผู้ชมมากยิ่งขึ้น กับเงื่อนไขต่างๆ ในการปั๊มอันดับของคนกลุ่มนี้ว่าจะสามารถทำได้สำเร็จหรือไม่ แน่นอนว่าจุดนี้ชวนให้ผู้ชมคิดถึงหนังอย่าง ‘ฟรีแลนซ์..ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ’ (2558, นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์) หรือ ‘ฉลาดเกมส์โกง’ (2560, นัฐวุฒิ พูนพิริยะ) ที่ทั้ง 2 เรื่องก็มีภารกิจที่ยิ่งใหญ่ ดูยากแต่เป็นไปได้ ให้ลุ้นติดตามเหมือนกัน 

แต่ก็น่าเสียดายที่สุดท้ายหนังไม่สามารถพาความรู้สึกของผู้ชมไปถึงฝั่งฝันได้เหมือนกับทั้ง 2 เรื่องที่กล่าวถึง ผู้เขียนรู้สึกว่าในระหว่างทาง หนังเลือกที่จะแวะไปบอกเล่าเรื่องอื่นมากเกินไป ในระดับที่สิ้นเปลืองและบั่นทอนความรู้สึกของความลุ้นระทึกจนหมดสิ้น จึงน่าเสียดายที่เราไม่ได้เห็นสุดยอดการปั๊มอันดับเกมออนไลน์เกิดขึ้นในเรื่องนี้ แม้กระทั่งในช่วงสุดท้ายของเรื่องก็ตาม 

 

หนังชีวิตสุดเศร้า เคล้าไปกับน้ำตา

เมื่อไม่ไปทางลุ้นระทึก ชวนให้ติดตาม หนังจึงเลือกกลับมาเล่าเรื่องบนโลกความเป็นจริง มากกว่าโลกบนหน้าจอโทรศัพท์ ซึ่งผู้เขียนรู้สึกว่าในส่วนนี้ของหนัง ผู้ชมอย่างเรากลับแทบไม่มีความรู้สึกร่วมกับการปั๊มอันดับของตัวละครในเรื่องอีกต่อไป และอินไปกับอารมณ์ดราม่าของตัวละครที่พยายามหาทางออกให้กับชีวิตได้ไม่มากนัก 

อย่างไรก็ดี ระหว่างทางของหนัง ปมประเภทนี้ก็ถูกขมวดอย่างไม่จำเป็นมาโดยตลอด ดังนั้น น่าติดตามว่าในท้ายสุดแล้วจะเป็นอย่างไร 

The Up Rank อาชญาเกม เลือกที่จะลงเอยด้วยการถ่ายทอดความกระเสือกกระสนของตัวละครที่ต้องการมีชีวิตที่ดีกว่า หรือพูดในอีกนัยหนึ่งก็คือ เรากำลังได้ดูการปั๊มอันดับในชีวิตจริงของตัวละครเหล่านี้ บางคนต้องการปลดเปลื้องออกจากหนี้สินที่พันธนาการตัว บางคนต้องการพิสูจน์ให้ใครบางคนเห็นว่าเขาไม่ใช่คนไม่เอาไหน ยังทำอะไรเพื่อคนอื่นได้อยู่ เหล่านี้เป็นคำตอบสุดท้ายที่หนังเลือกและถ่ายทอดให้รับชม ก่อนจะปิดม่าน จบเรื่องไปอย่างสวยงาม 

แม้จะดูลึกซึ้ง คมคาย ทิ้งปมให้มนุษย์คนอื่นๆ คิดต่อได้ แต่สำหรับผู้เขียนมองว่ายังไม่สามารถจูงใจให้รู้สึกว่า การพิสูจน์ตัวตนหรือดิ้นรนเพื่อเป็นคนที่ดีกว่า มันสำคัญอะไรขนาดนั้นสำหรับเรื่องราวทั้งหมดที่ปูมาตั้งแต่เริ่ม 

อย่างไรก็ดี The Up Rank อาชญาเกม ก็ยังน่าดูและน่าเชียร์เป็นอย่างมากสำหรับวงการหนังไทย กับการพยายามหาเหลี่ยม หามุมมองใหม่ๆ มาเล่าออกมาเป็นภาษาภาพยนตร์ ตัวผู้เขียนเองขอยอมรับว่าก่อนจะเริ่มดูหนังเรื่องนี้ก็รู้สึกตื่นเต้นไม่น้อยที่จะได้ดูเรื่องที่แปลกใหม่ และคาดเดาตอนจบไม่ได้ใน The Up Rank อาชญาเกม ซึ่งหากในอนาคตข้างหน้าสิ่งเหล่านี้ยังคงสืบเนื่องและพัฒนาต่อไป จะเป็นการเติบโตที่น่าสนใจอย่างมากในวงการหนังไทยตามความคิดของผู้เขียน