สำหรับแฟนกีฬาบาสเกตบอล คงปฏิเสธไม่ได้ว่ายุคหนึ่ง ทีมชาติสหรัฐฯ คือผู้ถือครองสนามที่คว้าชัยมาแล้วทุกการแข่งขันทั้งในสนามเล็กและสนามใหญ่ เหตุผลหนึ่งก็เนื่องมาจากลีกบาสเกตบอลที่หินที่สุดในโลกอย่าง NBA ถือกำเนิดในอเมริกา จนเมื่อเกิดการรวมทีมในนามทีมชาติ พวกเขาก็กลายเป็นเจ้าสนามที่ปราบคู่แข่งเหี้ยน ไม่ว่าจะจากการแข่งขันของสหพันธ์บาสเกตบอลนานาชาติหรือฟีบา (Fédération Internationale de Basketball: FIBA) และจากการแข่งขันที่จัดขึ้นในมหกรรมกีฬาโอลิมปิก

กระทั่งมาถึงจุดร่วงโรยที่วันหนึ่งพวกเขาก็ตระหนักได้ว่าไม่ใช่เจ้าสนามอีกต่อไป เมื่อถูกทีมบาสเกตบอลต่างชาติถล่มยับเยินครั้งแล้วครั้งเล่า บาสเกตบอลสหรัฐฯ กลายเป็นหนึ่งในทีม ‘ดาดๆ’ ที่ไม่ได้แข็งแกร่งหรือเป็นตัวเต็งอย่างแต่ก่อน พร้อมกับที่นักกีฬาต่างชาติเข้ามาวัดฝีมือในลีก NBA เป็นจำนวนมาก บาสเกตบอลจึงไม่ใช่โลกของอเมริกันชนอีกต่อไป พวกเขาเสียตำแหน่งราชาเกมยัดห่วงไปในเวลาไม่นานพร้อมกับความรุ่งโรจน์ของทีมบาสเกตบอลต่างชาติ 

และนั่นเองที่ Redeem Team ทีมบาสเกตบอลชายที่ถูกปรับแต่งให้กลับมาทวงบัลลังก์อีกครั้งถือกำเนิด ทั้งยังประกาศศักดาหมดจดด้วยการทำสถิติไร้พ่ายตลอดทัวร์นาเมนต์การแข่งขันโอลิมปิกในปี 2008 ที่ประเทศจีน และถูกขนานนามว่าเป็นหนึ่งในทีมที่แข็งแกร่งมากที่สุดในประวัติศาสตร์บาสเกตบอลอเมริกัน

 

The Redeem Team (2022) สารคดีที่ออกฉายสตรีมมิงทางเน็ตฟลิกซ์ กำกับโดย จอน ไวน์บาช หนึ่งในโปรดิวเซอร์ The Last Dance (2020) มินิซีรีส์ที่กล่าวกันว่าเล่าถึงบาสเกตบอลได้ละเมียดที่สุดเรื่องหนึ่ง โดยไวน์บาชจับจ้องไปยังช่วงที่ทีมบาสเกตบอลชายสหรัฐฯ ปี 2008 ถือกำเนิดภายใต้ฉายาที่หมายถึงการมุ่งทวงบัลลังก์โดยตรงว่า Redeem Team ทั้งนี้เพราะก่อนที่ทีมบาสเกตบอลชายสหรัฐฯ จะป้อแป้และเสียท่าให้ทีมชาติของประเทศอื่นๆ สหรัฐฯ เคยมีทีมบาสเกตบอลที่แข็งแกร่งจนกลายเป็นตำนานมากที่สุดอย่าง The Dream Team ที่ไปคว้าชัยในการแข่งขันโอลิมปิก นำโดยนักกีฬาระดับพระเจ้าอย่าง ไมเคิล จอร์แดน, แมจิก จอห์นสัน, แลร์รี เบิร์ด ฯลฯ โดยหลังจากนักกีฬาชุดนี้ สหรัฐฯ ก็ไม่เคยสร้างทีมที่ทรงพลังจนคว้าชัยที่ไหนได้อีกเลย นี่จึงเป็นที่มาของชื่อ Redeem Team ที่หวังมุ่งทวงชื่อเสียงและตำแหน่งราชาแห่งบาสเกตบอลชายกลับคืนมาของทีมชุด 2008

ไวน์บาชพาคนดูสำรวจโมงยามอันแสนขมขื่นใจของผู้เล่นสหรัฐฯ และแฟนบาสเกตบอล ด้วยการฉายฟุตเตจที่เป็นเสมือนยาขมอย่างความพ่ายแพ้แก่ทีมชาติอาร์เจนติน่าเมื่อโอลิมปิกปี 2004 อันเป็นการแข่งขันที่พิสูจน์ชัดเจนว่าสหรัฐฯ ไม่ได้เป็นเจ้าสนามของบาสเกตบอลอีกต่อไป เหมือนที่ทีมชาติอื่นๆ ก็สั่งสมความแข็งแกร่งและนักกีฬาที่เล่นเข้าขากันได้มากกว่า ยิ่งไปกว่านั้น นั่นยังเป็นปีที่นักกีฬาหน้าใหม่ของ NBA อย่าง เลบรอน เจมส์, คาร์เมโล แอนโธนี และ ดเวย์น เวด ที่ในเวลานี้ทุกคนกลายเป็นตำนานของลีกไปแล้ว ถูกเรียกให้ไปร่วมทัพทีมชาติ พวกเขาจำต้องมองดูความพ่ายแพ้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้และเฝ้าตั้งคำถามว่า อะไรที่ทำให้ทีมชาติสหรัฐฯ ไม่อาจไปยังจุดที่เคยเป็นได้

สารคดีไม่มีคำตอบที่แน่ชัดต่อคำถามนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่ไวน์บาชชวนคิดคือความเล่นไม่เข้าขากันเองของนักกีฬา มีฟุตเตจมากมายที่ชี้ให้เห็นว่าแม้นักกีฬาแต่ละคนจะเปี่ยมไปด้วยพรสวรค์เฉพาะตัว ทั้ง อัลเลน ไอเวอร์สัน หรือ ทิม ดันแคน กระทั่งนักกีฬารุ่นใหม่ที่ยังสดและเปี่ยมไปด้วยความทะเยอทะยานอย่างเจมส์, แอนโธนีและเวด หากแต่พวกเขาก็มีลักษณะต่างคนต่างเล่นกันเกินไปจนกลายเป็นแผลใหญ่ของทีม

 และนั่นทำให้สหรัฐฯ ตั้งเป้าว่า หากจะสร้างทีมบาสเกตบอลชายที่เล่นเข้าขากันให้ได้มากกว่านี้เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการแข่งชันโอลิมปิกปี 2008 พวกเขาจำต้องจับนักกีฬามาเข้าค่ายด้วยกันเสียก่อน

 

หนังประกอบไปด้วยฟุตเตจที่หลายคนอาจเคยเห็นกันมาบ้างแล้วจากมินิซีรีส์ Road to Redemption (2008) กับภาพเบื้องหลังที่นักกีฬาถูกเรียกตัวให้ไปฝึกซ้อมด้วยกันยังลาสเวกัส และต้องพักในโรงแรมเดียวกันเป็นเวลานับเดือนเพื่อให้สนิทสนมกันมากที่สุด (แม้พวกเขาจะเล่นอยู่ในลีก NBA เหมือนกัน แต่ก็ยังห่างเหินกันอยู่มาก) โดยเฉพาะกับการดึงเอา ไมค์ เครไซว์สกี โค้ชบาสเกตบอลทีมมหาวิทยาลัยที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์คุมทีมใหญ่มาก่อน ทำให้การถือกำเนิดของ Redeem Team ถูกสื่อมวลชนและแฟนกีฬามองด้วยสายตากังขาพอสมควร

 อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่เครไซว์สกีตั้งใจไว้แต่แรกคือการปลุกความเป็นชาตินิยมในตัวนักกีฬาขึ้นมา อันเป็นสิ่งที่ทีมชาติสหรัฐฯ พร่องอยู่ไม่น้อย สารคดีพยายามวิจารณ์ว่าการรวมทีมชาติก่อนหน้านี้ของสหรัฐฯ เป็นไปในนาม NBA มากกว่าทีมชาติเสียจนทำให้พลังความมุทะลุในตัวนักกีฬาเหือดหาย เพื่อจะแก้ปมนี้ เครไซว์สกีจึงให้นายทหารผ่านศึกมาพูดปลุกใจนักกีฬาในห้องประชุม บวกกันกับที่ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่สหรัฐฯ ยังบอบช้ำจากเหตุการณ์ 911 อยู่มาก เครไซว์สกีจึงรวมศูนย์จิตใจของนักกีฬาด้วยการใช้ประเด็นอ่อนไหวและเปราะบางในประเทศเป็นต้นธารหลัก กีฬาจึงเป็นเรื่องที่ไม่แยกขาดจากการเมืองแต่อย่างใด มิหนำซ้ำ มันยังเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างยิ่งในสายตาของเครไซว์สกี 

ทั้งนี้ จุดเปลี่ยนที่สำคัญของ Redeem Team คือการมาเยือนของ ‘ไพ่ตาย’ ที่ไม่มีใครคาดว่าเขาจะยอมมาร่วมทีมด้วยอย่าง โคบี ไบรอันต์ สารคดีชี้ให้เห็นว่าในเวลานั้นไบรอันต์กำลังเผชิญหน้ากับข่าวเสียหายมากมายหลังจากที่เขาให้สัมภาษณ์คร่าวๆ ว่าอยากย้ายออกจากทีมเลเกอร์สที่เป็นเสมือนที่พำนักของเขา (ซึ่งถึงที่สุด จนกระทั่งเขารีไทร์ไปแล้ว ไบรอันต์ก็ไม่เคยย้ายไปจากเลเกอร์สเลย) ทั้งข้อพิพาทกับเพื่อนร่วมทีมที่เป็นเสมือนคู่หู การมาร่วมทีมชาติจึงเป็นเสมือนการกอบกู้ชื่อเสียงและดึงเอาแรงใจผู้คนให้หวนกลับมายึดอยู่กับเขาอีกครั้ง และหลังการปรากฏตัวของไบรอันต์ในสารคดีนี่เองที่ตัวหนังเริ่มสนุกขึ้น เนื่องจากไบรอันต์เต็มไปด้วยองค์ประกอบมากมายที่ส่งให้เรื่องเล่าในสารคดีสนุกขึ้นได้ไม่ยาก และหนึ่งในนั้นคือลักษณะความ ‘ไม่เป็นมิตร’ ของเขา ที่ไวน์บาชเล่าได้อย่างชวนปวดตับ!

 

แต่ไหนแต่ไร โคบี ไบรอันต์ ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็น ‘นักบาสชายเดี่ยว’ ที่หวงบอลและไม่ยอมจ่ายให้เพื่อนร่วมทีม ซึ่งเขาก็ไม่ยี่่หระต่อคำวิจารณ์นั้น หรือบุคลิกเอาเป็นเอาตายที่ทำให้ทั้งเพื่อนร่วมทีม ทั้งฝ่ายตรงข้ามต้องขยาด (เขาเคยถูกนักข่าวถามว่า เหตุใดหลังจากชนะคู่ต่อสู้แล้วเขาจึงไม่มีท่าทีโล่งใจแม้แต่นิด ไบรอันต์ตอบสั้นๆ ว่า “มีอะไรให้โล่งใจ งานยังไม่จบ เรายังไม่ได้แชมป์สักหน่อย”) ที่ทั้งหมดทั้งมวลนี้กลายเป็นสีสันของสารคดี ทั้งการไม่สุงสิงกับคนอื่น การเก็บเนื้อเก็บตัวอันเป็นเอกลักษณ์ หรือการที่ไบรอันต์เปลี่ยนการฝึกซ้อมธรรมดายามเช้าให้กลายเป็นเกมที่จริงจังเรียกเลือกเรียกเนื้อ ท่ามกลางสายตาชื่นชมระคนหวาดผวาของนักกีฬาเลือดใหม่ ไม่ว่าจะเจมส์หรือเวดก็ตามที ตลอดจนการที่เหล่านักบาสเกตบอลรุ่นใหม่เหล่านี้แวบออกไปเที่ยวคลับกลางดึกเพื่อคลายเครียดแล้วกลับมาอีกทีตอนเช้ามืด เพื่อจะพบว่าตัวเองเดินสวนกับไบรอันต์ผู้เพิ่งตื่นและกำลังมุ่งหน้าไปยิม ท่ามกลางความงงงวยปนความไม่ถูกชะตา พลังของไบรอันต์ก็ค่อยๆ เปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อนร่วมทีมให้ตื่นมาร่วมซ้อมกับเขาได้แต่เช้ามืด

แน่นอนว่าไฮไลต์สำคัญของเรื่องคือการเผชิญหน้ากันระหว่างสหรัฐฯ กับสเปน ทีมจากยุโรปที่ได้ชื่อว่าเป็นม้ามืดเพราะมีนักกีฬาที่เล่นอยู่ในลีก NBA หลายคน รวมทั้ง เพา กาซอล เซ็นเตอร์ร่างยักษ์เจ้าของส่วนสูง 215 เซนติเมตร ผู้เป็นเพื่อนร่วมทีมเลเกอร์สกับไบรอันต์ และถูกไบรอันต์ ผู้มีส่วนสูง 198 เซนติเมตร ชนกระเด็นตั้งแต่เปิดเกมราวกับจะเป็นการประกาศว่านับแต่นาทีนี้ จะไม่มีการออมมือหรืออะลุ่มอล่วยกันในฐานะที่เป็นเพื่อนร่วมทีมเด็ดขาด รวมทั้งการทำแต้มอันดุเดือดท่ามกลางสายตาตื่นตระหนกของผู้ชม ซึ่งไบรอันต์สร้าง ‘ภาพจำ’ ให้แมตช์นี้ด้วยการยกนิ้วชี้ขึ้นมาแตะริมฝีปากราวกับจะบอกให้ทุกคนเงียบแล้วจับตาดูเขาเล่นต่อไป 

แม้ The Redeem Team จะไม่ได้มีฟุตเตจใหม่ๆ มาประกอบเรื่องมากนัก หากแต่มันก็ยังเป็นสารคดีที่ดูสนุกเพราะมันรู้ตัวดีว่าองค์ประกอบที่ทำให้สารคดีสักเรื่องน่าตื่นตาตื่นใจอยู่ตรงไหน และหนึ่งในองค์ประกอบนั้นคือความระห่ำของไบรอันต์ผู้มุ่งมั่นหวนกลับมาทวงบัลลังก์ให้บาสเกตบอลชายสหรัฐฯ รวมทั้งการที่มันเป็นสารคดีที่มาถึงหลังเขาจากไปเมื่อปี 2020 ยิ่งทำให้เรื่องเล่าเกี่ยวกับไบรอันต์เปี่ยมความหมาย และหลายครั้งก็ชวนน้ำตาซึมอยู่ไม่น้อย

Tags: , , , , ,