โลกในยุคสมัยแห่ง AI ทำให้การรับข้อมูลข่าวสารของเราเปลี่ยนไปไม่เหมือนเคย และนั่นคือสิ่งที่ Mountainhead (2025) หนังใหม่จาก HBO MAX พาเราไปสำรวจเรื่องราวเหล่านี้ไปจนถึงขั้นเลวร้ายสุด

เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อ กลุ่มเทคโบร 4 คนกลุ่มหนึ่ง (Tech Bro คำแซวเหมารวมผู้ชายวงการเทคโนโลยีว่าเป็นหนุ่มผิวขาว มั่นใจในตัวเองจนน่าหมั่นไส้) มาใช้เวลาวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ด้วยกันที่บ้านพักตากอากาศริมเขา 

แต่ทริปนี้ไม่ใช่แค่วันหยุดธรรมดา เมื่อ เวน ชายหนุ่มที่รวยที่สุดในโลก และเจ้าของโซเชียลมีเดียยอดฮิต ‘แทรมป์’ เพิ่งกดปุ่มเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ก่อนมาเที่ยว เปิดให้ผู้ใช้งานโซเชียลฯ หลายล้านคนทั่วโลกใช้ AI สร้างภาพและคลิปเสมือนจริง จนโลกโกลาหลเต็มไปด้วยข่าวปลอมความรุนแรง 

ผลลัพธ์คือทั่วโลกโทษแทรมป์ว่าเป็นต้นเหตุความโกลาหล เวนเครียดมากจนหมดสนุก แต่เหตุการณ์นี้ทำให้ เจฟ เพื่อนเก่าที่เคยมีเรื่องหมางใจกันกลับกลายเป็นฮีโร่ AI บริษัทเจฟสามารถช่วยผู้ใช้งานตรวจจับว่า คอนเทนต์ไหนประดิษฐ์จาก AI เลยขายดีจนหุ้นบริษัทพุ่งสูงทลายประวัติกาล

เวนจึงอยากได้เทคโนโลยี AI นั้นมาเป็นฟังก์ชันหนึ่งในโซเชียลฯ ของเขา แต่คำขอซื้อกลายเป็นชนวนความขัดแย้ง เมื่อเจฟไม่ยอมขาย และวันหยุดที่ควรกระชับมิตรจึงค่อยๆ ทวีความดราม่า เมื่อเพื่อนคนอื่นๆ เริ่มมาร่วมแผนการ เมื่อคำหวานใช้ไม่ได้ ก็คงถึงเวลาที่ต้องใช้กำลัง!

เมื่อใครๆ ก็สร้างข่าว (ปลอม) ได้

ทันทีที่เวนเปิดให้ใช้งานฟีเจอร์สร้างภาพประดิษฐ์จาก AI บนโซเชียลฯ ข่าวปลอมก็สะพัดไปทั่ว ผู้ใช้งานไม่ได้แค่สร้างคลิปขำๆ อย่างคลิปตัวการ์ตูนตัวยักษ์สูง 60 เมตรเดินอยู่บนท้องถนน แต่ยังมีคลิปเสมือนจนน่าตกใจ ไม่ว่าจะเป็น กองทัพประเทศหนึ่งกำลังบุกชายแดนเพื่อนบ้าน นายกเทศมนตรีเมืองหนึ่งถูกซุ่มยิงหัวระเบิด เหตุใช้ความรุนแรงที่ชี้เป้าไปที่ผู้ก่อการร้ายคลั่งศาสนา กลายเป็นชนวนขัดแย้งระหว่างศาสนาไปจนถึงเชื้อชาติ 

  Mountainhead จึงเป็นหนังดิสโทเปียจากเทคโนโลยีอย่างตลกร้าย คล้ายกับซีรีส์อย่าง Black Mirror (2011) แต่สิ่งที่ทำให้เรื่องนี้น่าหวั่นกว่าคือ มันดูไม่ไกลตัวจากโลกของเราวันนี้ที่ใครๆ ก็เข้าถึง AI ได้ (Generative AI) และนับวันก็ยิ่งเหมือนจริงขึ้นจนแทบแยกไม่ออก 

ก่อนหน้านั้นข่าวปลอมยุคแรกๆ มักเป็นการใช้ภาพเก่าผิดบริบท (Misleading Content) ซึ่งเข้าข่ายข่าวปลอมประเภทหนึ่ง เช่น เอาภาพการประท้วงที่ไม่เกี่ยวข้องมาอ้างว่าเป็นการชุมนุมของคนอีกกลุ่ม อย่างต้นปีที่ผ่านมา ชาวโซเชียลฯ ไทยเข้าใจผิดว่า คนพม่าจัดม็อบเรียกร้องขอขึ้นค่าแรงงาน ซึ่งนักสืบโซเชียลฯ​ และสื่อมวลชนตรวจสอบพบว่า เป็นคลิปประท้วงนายจ้างโกงค่าพาสปอร์ตต่างหาก 

พอมี AI สร้างภาพได้แล้ว ข่าวปลอมยิ่งแนบเนียนขึ้น จับพิรุธยากไปอีก เราเรียกมันว่า Deepfake หรือสื่อลวงลึก ซึ่งฟีเจอร์ที่สั่นสะเทือนโลกมากที่สุดคือ การเปิดให้ผู้ใช้งานสร้างภาพ-คลิปเสมือนจริงจากคำสั่งข้อความ

หากจะเทียบจุดเริ่มต้นของความวุ่นวายในหนังเรื่องนี้กับเหตุการณ์จริง ก็คงคล้ายกับเหตุการณ์ปี 2022 ซึ่งเป็นปีพลิกผันหน้าประวัติศาสตร์ AI เป็นปีที่ AI สร้างภาพ Midjourney เปิดให้ใช้งานสร้างภาพและเป็นปีที่ Meta กับ Google เปิดตัว AI เป็นบริการส่วนหนึ่งในแพลตฟอร์ม จากนั้น 2 ปีต่อมา (หรือก็คือปี 2024 ที่แล้วนี่เอง) ที่ ChatGPT เปิดให้เราใช้ AI สร้างวีดิโอเสมือนจริง

เช่นเดียวกับความขัดแย้งไทย-กัมพูชาช่วงที่ผ่านมา เราปฏิเสธไม่ได้ว่า มีคอนเทนต์ฝีมือ AI เข้ามาสาดน้ำมันให้อารมณ์คุกกรุ่นของสังคมเร่าร้อน ภาพฮุนเซ็นลูบหัวอดีตรัฐมนตรีกลาโหมไทยทำสังคมเดือด ทั้งที่แท้จริงแล้วเป็นภาพทำขึ้นจาก AI 

จนถึงวันนี้ก็ยังมีผู้ใช้งานโซเชียลฯ ที่ยังคงแชร์ภาพนั้นอยู่ โดยที่ไม่มีคำเตือนว่าเป็นของปลอม

โลกข้อมูลข่าวสารในกำมือเทคโบร

ถ้าข่าวปลอมสมจริงมากเสียจนตาเรายังแยกไม่ออก เราอาจไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องใช้งาน AI เพื่อต่อกรกับ AI เอง

ใน Mountainhead เจฟเป็นเจ้าของ AI อีกบริษัทหนึ่งที่ช่วยผู้ใช้งานแยกแยะว่าภาพ-คลิปไหนเป็นของจริง อันไหนสร้างด้วย AI เวนพยายามหวานล้อมเจฟให้ขายเทคโนโลยีนี้ให้ หวังจะเอาไปติดตั้งในโซเชียลมีเดียของตนเป็นเสมือน ‘โล่ป้องกัน’ (Guardrail) 

เทคโนโลยีนี้เรียกว่า Deepfake Detector ช่วยเราประเมินว่าภาพ-คลิปนั้นทำจาก AI ไหม เดี๋ยวนี้คุณครูหลายท่านก็ใช้เครื่องมือประเภทนี้ช่วยดูว่า รายงานที่นักเรียนส่งมาทำเองหรือใช้ AI ช่วย อย่างเว็บไซต์ Humbot กับ ZeroGPT ขณะที่นักเรียนหัวใสก็อาจจะใช้เว็บ AI Humanizer ช่วยแปลงข้อความให้ดูเนียนเป็นมนุษย์มากขึ้น

ในหนังแต่เจฟไม่หลงกล เขารู้ดีว่า AI ของเขาเป็นที่ต้องการของตลาดมากแค่ไหน ทำไมเขาจะต้องเสี่ยงยกลูกรักตัวเองให้เพื่อนเจ้าเล่ห์ เจฟจึงเกิดไอเดียที่จะทำข้อตกลงยก AI ให้รัฐบาล ใช้เป็นเครื่องมือตรวจจับลายน้ำอย่างเป็นทางการ เขาถึงกับพูดว่า “ยิ่งอาการโรคแย่ การรักษายิ่งมีมูลค่า!” 

ระหว่างที่โลกกำลังเกิดจลาจลเพราะคลิปปลอม ภาพปลอม และข่าวปลอม สี่หนุ่มเศรษฐีก็ยังนอนเอกเขนกเล่นมือถือและสงครามประสาทในบ้านพักสุดหรู อำนาจจะกำกับเทคโนโลยีอยู่ในมือเศรษฐีไม่กี่คนในโลกที่คุมโซเชียลมีเดียกับ AI!

ถึงเวลากำกับเทคโนโลยี?

หลายคนคิดว่า โซเชียลมีเดียเป็นพื้นที่สาธารณะ เปิดให้ใช้ฟรี แต่จริงๆ แล้วใครกันเป็นเจ้าของพื้นที่ หาก X มี อีลอน มัสก์ (Elon Musk) อยู่เบื้องหลัง Facebook และ Instagram ก็มี มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) ทิศทางของโซเชียลมีเดียแทรมป์ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเวนกับแก๊งเพื่อน 

โซเชียลมีเดียอาจเปรียบได้กับ ‘ห้างสรรพสินค้า’ ที่เปิดให้เรามาเดินเล่น พบปะคนอื่น แม้จะเหมือนกับพื้นที่สาธารณะขนาดไหน แต่ท้ายที่สุดเจ้าของห้างก็ยังเป็นเจ้าของพื้นที่ กำหนดกติกาทั้งหมด

ความรับผิดชอบของบริษัทเทคโนโลยีกำลังถูกพูดถึงมากขึ้นเรื่อยๆ ต้นปีที่ผ่านมา สำนักพิมพ์ฝรั่งเศสเจ้าหนึ่งฟ้อง Meta ฐานปล่อยให้ AI เรียนรู้เนื้อหาติดลิขสิทธิ์แล้วเอาไปสร้างคอนเทนต์ต่อ 

หรือย้อนกลับไปเมื่อ 7 ปีก่อน Facebook ออกมายอมรับว่า มีส่วนในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่สะเทือนใจคนทั้งโลก เมื่อชาวโรฮิงญาถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เพราะ Facebook ปล่อยให้ข้อความเกลียดชังคนกลุ่มนี้แพร่กระจายบนโซเชียลฯ โดยขาดการกำกับ โดยในนั้นมีข่าวปลอมสร้างโดยกองทัพพม่าปะปนอยู่ด้วย 

วันนี้เองก็กำลังเดินหน้าเรื่องนี้เช่นกัน เมื่อไม่นานมานี้ ร่างกฎหมายควบคุมปัญญาประดิษฐ์ฉบับแรกของไทยเพิ่งปิดรับฟังความคิดเห็นจากสาธารณะไปตอนสิ้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยประเด็นหนึ่งสำคัญคือ การควบคุมภาพ-คลิปสร้างโดย AI ซึ่งอาจทำให้เกิดข่าวปลอม ภาพลามก หรือแทรกแซงการเลือกตั้ง 

คำถามคือ หรือจะถึงเวลากำกับการใช้งานเทคโนโลยีอย่างจริงจังเสียที

Moutainhead อาจเป็นหนังดิสโทเปียนล้อเลียนอนาคต แต่ด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาเร็วในวันนี้ อนาคตที่ว่าอาจจะไม่ไกลเราเลย ไม่ใช่ 5-10 ปี แต่อาจเป็นแค่ปีหน้า!

Tags: , , , , , ,