เดือนสิงหาคม 2012 ก่อนหน้าการขึ้นแสดงคอนเสิร์ตของ โนล กัลลาเกอร์ อดีตสมาชิกวง Oasis ในเทศกาลดนตรีเบลโซนิก ไอร์แลนด์เหนือ เด็กหนุ่มคนหนึ่งขึ้นแสดงในฐานะ Opening Act หรือศิลปินที่แสดงโชว์ก่อนหน้าคอนเสิร์ตเพื่ออุ่นเครื่องคนดู เขาพึมพำแนะนำตัวด้วยสำเนียงนอตทิงแฮมอันเป็นบ้านเกิดของเขาว่า
“หวัดดีครับ ผมชื่อ เจค บักก์”
สองเดือนหลังจากนั้น เจค บักก์ (Jake Bugg) ปล่อยอัลบั้มแรกในชีวิตชื่อเดียวกันกับตัวเขา Jake Bugg (2012) ทะยานขึ้นอันดับหนึ่งของชาร์ตเพลงสหราชอาณาจักร และเป็นการแจ้งเกิดเพลง Two Fingers กับท่อนเด็ดที่กลายเป็นท่อนประจำตัวของบักก์ในเวลาต่อมาอย่าง “ดื่มเพื่อจำ สูบเพื่อลืม” (I drink to remember, I smoke to forget.) พร้อมภาพลักษณ์หนุ่มอังกฤษพูดน้อย ยิ้มยาก และหลายครั้งก็เข้าข่ายบึ้งตึง ใช้เสียงริฟฟ์กีตาร์เด็ดขาดถ่ายทอดเรื่องราวการเป็นชนชั้นแรงงานในอังกฤษ อาชญากรรม และการค้นหาตัวตนในโลกอันแห้งแล้ง
นั่นจึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไม อีกเก้าปีต่อมาเมื่อบักก์ออกอัลบั้มลำดับที่ห้าในชีวิตอย่าง Saturday Night, Sunday Morning (2021) หลายคนจึงตกใจกับบีตความป็อป ความเป็นดนตรีกระแสหลัก ชนิดที่หากเอาไปเทียบกับอัลบั้มแรกของเขาแล้วอาจมองไม่ออกว่านี่คือผลงานจากศิลปินคนเดียวกันที่กรุยทางเดินของตัวเองมานานเก้าปีเต็ม
“แหงดิ คนเราก็ต้องเปลี่ยนไปกันทั้งนั้น” เขาว่า “หรือคุณไม่เปลี่ยน”
Saturday Night, Sunday Morning เป็นอัลบั้มที่บักก์ตั้งชื่อตามนิยายที่เขารักของ อลัน ซิลลิโต นักเขียนชาวอังกฤษผู้เป็นหนึ่งในกลุ่ม ‘Angry young men’ ของอังกฤษช่วงทศวรรษ 1950s และมีรากเหง้ามาจากนอตทิงแฮมเช่นเดียวกับบักก์
หนังสือเล่มนั้นเล่าเรื่องราวในคืนวันเสาร์และเช้าวันอาทิตย์ของชายหนุ่มชนชั้นแรงงานในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งของนอตทิงแฮม (ต่อมามันถูกนำไปดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ชื่อเดียวกันปี 1960 กำกับโดย คาเรล ไรส์ซ)
อย่างไรก็ดี บักก์เพิ่งปล่อย Saturday Night, Sunday Morning ทั้งอัลบั้มเมื่อวันที่ 20 สิงหาคมที่ผ่านมา กับดนตรีกลิ่นอายป็อปเต็มขั้น ประเดิมด้วย All I Need ซิงเกิลแรกซึ่งปล่อยออกมาให้ได้ฟังกันตั้งแต่ปลายปี 2020 สร้างความเซอร์ไพรส์ให้คนฟังด้วยบีตเร้าอารมณ์ เจือด้วยกลิ่นดิสโก้ป็อปจางๆ ชวนโยกหัวสนุกๆ ใกล้เคียงกันกับซิงเกิล Lost ที่ใช้อิเล็กทรอนิกส์นำทั้งเพลงจนน่าจะพูดได้ว่าเป็นเพลงปาร์ตี้และมีเนื้อหา ตลอดจนมิวสิกวิดีโอที่ว่าด้วยการปาร์ตี้เต็มตัวเป็นเพลงแรก (“คนทักมาบอกผมเยอะมากเลยว่าไม่เคยเห็นผมเต้นมาก่อน” เขาให้สัมภาษณ์) แต่ก็ดูราวกับกลัวจะทำแฟนคลับกลุ่มก่อนๆ ใจเสีย จึงยังมีเพลงที่ขับเน้นซาวนด์กีตาร์ซึ่งเป็นเสมือนจุดเด่นของเจ้าตัวให้เด่นชัดอย่าง Kiss Like the Sun ตัดมาเป็นซิงเกิลหลักของอัลบั้ม
อัลบั้มนี้บักก์ย้ายค่ายเพลงจากเวอร์จิน อีเอ็มไอ (ซึ่งเขาร่วมงานด้วยอยู่เพียงอัลบั้มเดียวเท่านั้นคือ Hearts That Strain อัลบั้มที่สี่ เมื่อปี 2017) มายังบ้านหลังใหม่ที่โซนี มิวสิก หนึ่งในค่ายเพลง ‘พี่ใหญ่’ ของอุตสาหกรรมดนตรีร่วมกันกับค่ายยูนิเวอร์แซลและค่ายวอร์เนอร์ มิวสิก โดยได้ สตีฟ แม็ก โปรดิวเซอร์ที่เคยปั้นงานร่วมกันกับศิลปินเพลงป็อปหลายๆ คน ไม่ว่าจะ เอ็ด ชีแรน, Little Mix และยังได้คนร่วมเขียนเพลงทั้ง แอนดรูว์ วัตต์, อาลี แทมโพซี ซึ่งเคยร่วมเขียนเพลงกับ ดูอา ลิปา, แซม สมิธ มาก่อนแล้ว ตลอดจนการหยิบเอาอิทธิพลจากศิลปินดนตรีป็อปเบอร์ใหญ่ๆ อย่าง ABBA, Beach Boys และ Bee Gees มาเป็นแรงบันดาลใจ
ทั้งหมดที่กล่าวมาอาจเป็นเหตุผลหนึ่งว่าเหตุใดอัลบั้ม Saturday Night, Sunday Morning ของบักก์ จึงมีกลิ่นอายดนตรีกระแสหลักมากกว่าอัลบั้มก่อนๆ
“ผมชอบเมโลดี้ของวง ABBA, Beach Boys กับ Bee Gees และเพลงป็อปยุค 70s มันมีอะไรน่าสนใจเยอะแยะเลยนะ โดยเฉพาะเพลงป็อปจากวง ABBA กับ Supertramp ซึ่งมันมีความดำมืดแฝงฝังเป็นแก่นของพวกเขา แล้วอันที่จริงผมก็ชอบดนตรีป็อปมาตลอด โดยเฉพาะด้านดำมืดของมันจนนึกสงสัยมาตลอดว่าจะหาทางผสมมันเข้ากับดนตรีในแบบของผมได้ไหม”
กล่าวในฐานะคนที่ติดตาม เจค บักก์ มาตั้งแต่อัลบั้มแรก ก็ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจที่อัลบั้มนี้จะอัดแน่นไปด้วยดนตรีป็อปหรือเสียงสังเคราะห์ เพราะในอัลบั้มที่สาม On My One (2016) และอัลบั้มที่สี่ Hearts That Strain (2017) ก็มีกลิ่นอายดนตรีป็อปปะปนอยู่แนบแน่น นี่เองที่ทำให้คำวิจารณ์ด้านดนตรีที่บอกว่าบักก์ค่อยๆ ถอยห่างจากความเป็นร็อกอินดี้นั้นมีมาหนาหูตั้งแต่อัลบั้มก่อนหน้า ถึงอย่างนั้นบักก์ก็ไม่ปฏิเสธ หลายครั้งเขาให้สัมภาษณ์ว่าการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไปในฐานะนักดนตรีทำให้เขาเหินห่างจากชีวิตแบบเดิมๆ และทำให้เขามองหาเรื่องราวใหม่ๆ ในชีวิตเพื่อมาเขียนเล่าเป็นบทเพลง โดยปฏิเสธจะหยิบเอาความทรงจำกับตัวตนในอดีตซึ่งไม่ใช่ตัวเขาในปัจจุบันแล้วกลับมาเล่าซ้ำไปซ้ำมา
“การเติบโตท่ามกลางชนชั้นแรงงานเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญมากของชีวิตผมเลย มันคือวิถีชีวิตที่ทำให้ผมเติบโตมาเป็นอย่างนี้ ทั้งในเชิงบุคลิกหรือในเชิงการเขียนเพลง และผมว่ามันปรากฏชัดเจน เข้มข้นมากๆ ในอัลบั้มแรกๆ แน่นอนว่าตอนนี้ชีวิตผม (ในลอนดอน) ต่างไปจากเดิมมากทีเดียว แต่ผมก็ยังติดค้างที่ที่ผมเติบโตมาซึ่งหล่อหลอมให้ผมกลายเป็นอย่างเช่นทุกวันนี้มากมายมหาศาลอยู่ดี” บักก์เล่า
“สมัยทำอัลบั้มแรก ผมประหลาดใจมากที่หลายคนรู้สึกอินไปกับบทเพลงที่ผมร้อง เพราะมันเกี่ยวกับประสบการณ์ส่วนตัวของผมทั้งนั้น การได้เห็นคนฟังร้องเพลงเหล่านั้นผ่านห้วงอารมณ์ความรู้สึกของพวกเขาแต่ละคนมันเป็นเรื่องมหัศจรรย์มากๆ ผมเป็นแค่เด็กจากชนชั้นแรงงาน ซึ่งตอนนั้นเพลงทำนองนี้มันไม่ค่อยติดชาร์ต ชาร์ตเพลงตอนนั้นถูกยึดครองด้วยเพลงป็อปเสียมาก”
“แฟนเพลงสำคัญมากๆ สำหรับผม และผมจะเล่นเพลงจากอัลบั้มเก่าๆ ไปตลอดนั่นแหละ” เขาอธิบาย “แต่อย่าลืมว่าตอนผมทำอัลบั้มแรก ผมไม่ได้มีแฟนเพลงคนไหนให้มาคอยคำนึงว่าพวกเขาจะคิดยังไงกับเพลงของผม เพราะงั้นผมเลยรู้สึกว่ามันไม่ค่อยยุติธรรมเท่าไรเวลามีคนมาบอกว่า ‘นายทำให้เราผิดหวังนะ’ หรือ ‘กลับไปทำเพลงแบบเก่าๆ เถอะ’ เพราะนั่นมันไม่ใช่สิ่งที่ศิลปินเขาทำ ศิลปินต้องพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ สิ” เขาว่า
“แล้วการทำอัลบั้มนี้มันเหมือนเป็นบทที่สองของอาชีพผมเลย ได้ลองใช้ซาวนด์ที่ไม่เคยได้ลอง และยังรู้สึกว่าตัวเองเปิดใจร่วมงานกับผู้คน โปรดิวเซอร์ใหม่ๆ นี่แหละที่ทำให้ผมสนุกกับการทำอัลบั้มนี้ การเปิดใจรับอะไรใหม่ๆ โดยที่ยังรักษาตัวตนทางดนตรีของตัวเองไว้ได้อยู่”
หลายคนอาจจะโหยหาเจค บักก์ในแบบเก้าปีก่อน สมัยที่เขายังดิบและสดใหม่ในอุตสาหกรรมดนตรี เล่าเรื่องราวความขมขื่นของคนหนุ่มจากชนชั้นแรงงานในอังกฤษ แต่ถึงที่สุดก็ต้องยอมรับกันได้แล้วว่าตอนนี้เจค บักก์ไม่ได้เป็นเด็กหนุ่มคนนั้นอีกต่อไปแล้ว เขาคือศิลปินที่มีผลงานเพลงห้าอัลบั้ม ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองใหญ่ของอเมริกาและอังกฤษ เรื่องราวต่างๆ ที่เข้ามาปะทะในชีวิตเขาจึงไม่ได้เป็นเรื่องของเด็กหนุ่มที่เฝ้ามองหาหนทางการออกไปใช้ชีวิตนอกนอตทิงแฮมอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นเรื่องอื่นๆ ที่โตกว่า เป็นผู้ใหญ่กว่า และเป็นตัวตนเขาในปัจจุบันขณะมากกว่า
ตรงนี้เองที่ทำให้ถึงที่สุดแล้ว แม้เราอาจจะรู้สึกว่า Saturday Night, Sunday Morning จะไม่ใช่อัลบั้มที่ดีที่สุดของเขา แต่ก็ต้องยอมรับความกล้าหาญของบักก์ที่เลือกจะก้าวข้ามตัวตนเดิมๆ ซึ่งแฟนเพลงหลงรักและกลายเป็นภาพจำ แล้วโอบรับสิ่งที่เขาเป็นในปัจจุบันอย่างไม่ขัดเขิน และความจริงใจเช่นนี้เองที่ดูจะเป็นหนึ่งในจุดแข็งของเขา ไม่ว่าจะในอัลบั้มไหน ไม่ว่าจะเล่าเรื่องด้วยสำเนียงเพลงแบบใดก็ตาม
Tags: Saturday Night Sunday Morning, Screen and Sound, อัลบั้มใหม่, บริตป็อป, เจค บักก์, Jake Bugg, ดนตรีอังกฤษ