ช่วงเวลา 4.7 วินาที คุณสามารถใช้ทำอะไรได้บ้าง?
สำหรับ ‘เกา’ ตัวละครเอกในภาพยนตร์เรื่อง Fast & Feel Love เร็วโหด..เหมือนโกรธเธอ สามารถใช้เล่นกีฬาสแต็ก (Sport Stacking) จนได้สถิติระดับโลก สร้างชื่อเสียงในฐานะแชมเปียนในวงการสแต็ก เป็นที่โจษจันไปทั่วสารทิศอย่างที่เขาวาดฝัน แต่ก็ยังไม่เพียงพอ เพราะในขณะเดียวกัน ผู้ท้าชิงคนอื่นๆ ก็กำลังซุ่มซ้อมเพื่อทำลายสถิติของเกาอยู่ตลอดเวลา
นั่นเป็นเหตุให้เขาจึงต้องเร็ว! ต้องโหด! ในกีฬาสแต็กมากยิ่งขึ้นไปอีก โดยหารู้ไม่ว่าเขากำลังกลืนกินเวลาของคนอื่นไปมากน้อยแค่ไหน
คอลัมน์ Screen and Sound สัปดาห์นี้เขียนถึง Fast & Feel Love เร็วโหด..เหมือนโกรธเธอ ผลงานกำกับล่าสุดของ นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ หนังแอ็กชันสไตล์จัดจ้าน ถ่ายทอดคิวบู๊ระหว่างความช้า-ความเร็ว และความฝัน-ความจริง ที่สะท้อนให้เห็นถึงสิ่งที่ชีวิตคู่ต้องเป็นไป
1
Fast & Feel Love เปิดเรื่องด้วยชีวิตของ ‘เกา’ (รับบทโดย ณัฏฐ์ กิจจริต) ในวัยมัธยม ช่วงเวลาที่มนุษย์เริ่มคิดถึงตัวตนและอนาคตในแบบที่ตนเองวาดฝัน แน่นอนว่าการเป็นนักกีฬาสแต็ก (Sport Stacking) แทบจะเป็นได้ยากในสังคมไทย หากพิจารณาจากลู่ทางอาชีพในประเทศ รวมไปถึงทิศทางของกีฬาสแต็กก็ตาม
ตรงจุดนี้ นวพล ผู้กำกับของเรื่องได้ขยายประเด็นออกไปอีกในต้นเรื่อง ในฉากที่ครูแนะแนวได้เรียกนักเรียนที่มีความฝันโดดเด่นมาพูดคุยถึงความเป็นไปได้ ทั้งศิลปิน ดารา นักแกะสลักน้ำแข็ง และคนเลี้ยงมด แน่นอนว่าตรงนี้เป้าหมายคือการสะท้อนให้เห็นค่านิยมของสังคมไทยที่มีบรรทัดฐานต่ออาชีพแตกต่างกัน
แต่สำหรับผู้เขียนเองมองว่า การเปิดหัวด้วยประเด็นนี้ไม่ได้นำไปสู่เรื่องราวต่อๆ ไปที่หนังจะนำเสนอเท่าไรนัก เพราะสุดท้าย ประเด็นเรื่องค่านิยมในอาชีพของสังคมก็ถูกทอดทิ้ง เลือนหายไปจากเส้นเรื่องในเวลาต่อมา แต่อย่างไรก็ตาม ตรงนี้ก็ทำให้ตัวเกาเองได้รู้จักกับเจ (รับบทโดย อุรัสยา เสปอร์บันด์) หญิงสาวที่จะนำเวลาเกือบครึ่งชีวิตมามอบให้เขา
2
น่าชื่นชมไม่น้อยที่นวพลหยิบยกเรื่อง ‘เวลา’ มาใช้ได้อย่างครบถ้วน ผ่านการใช้ไวยากรณ์ทางภาพยนตร์ ซึ่งพยายามหาวิธีในการฉายภาพสิ่งที่มองไม่เห็นอย่าง ‘เวลา’ ออกมาได้เป็นอย่างดี สังเกตในช่วงขมวดปมเรื่องที่หนังจะตัดสลับมุมมองของเจและเกาให้เห็นอย่างชัดเจน
เกา ในตอนนี้คือนักกีฬาสแต็กระดับโลก ด้วยสถิติโลก 4.744 วินาที ซึ่งเขาอุทิศเวลาทั้งชีวิต ปรับเปลี่ยนทั้งกิจวัตรประจำวัน สภาพแวดล้อม และคนรอบตัว เพื่อเข้าใกล้ความเร็วที่ฝึกฝน ดังนั้น เมื่อเขาอยู่บนโต๊ะและกำลังจะเรียงแก้วนั้น ทุกอย่างต้อง เร็ว แรง อยู่เสมอ แน่นอนว่าหนังเรื่องนี้ก็มีจังหวะเข้า-ออกของมุมกล้อง การตัดต่อ และเสียงเพลงที่สอดรับความเร็วหลักหน่วยนี้ได้อย่างลงตัว
เจ ปัจจุบันคือคนรักของเกา ผู้ที่กลายเป็นทีมซัพพอร์ต คอยดูแลส่วนอื่นๆ ในชีวิตของเกาที่ไม่ต้องเร็ว แรงขนาดนั้น เช่น การซักผ้า ทอดไข่ดาว ล้างมุ้งลวด และภาระต่างๆ ในชีวิตของพวกเขา ตรงนี้เองที่หนังก็เริ่มสโลวไลฟ์ลง ไม่แอ็กชันเท่าตอนแรก และซึมซับความเป็นมนุษย์ได้เป็นอย่างดี
ผลลัพธ์ที่ออกมาถือว่าเกินคาด เพราะหลังจากนี้ผู้ชมจะเริ่มเห็นความขัดแย้งที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นมา การต่อสู่กันระหว่างความเร็วกับความช้า อำนาจที่คานและงัดกันในบ้านหลังเดียว เหมือนเป็นระเบิดเวลาที่รอวันปลดปล่อยออกมาเท่านั้น ระหว่างนี้ผู้ชมก็สามารถรับชมลีลาในการเล่าของนวพล ว่าจะหาแง่มุมไหนมาเล่นก่อนจะถึงจุดที่สายป่านขาด
3
แน่นอนว่าสุดท้ายหนังเรื่องนี้ก็ไม่ได้ให้บทสรุปที่ชัดแจ้งชนิดที่แฮปปีเอนดิงกันอย่างทุกคนคาดหวัง หนังเรื่องนี้ทำหน้าที่สะท้อนให้เห็นเพียงแค่ว่า หากความสัมพันธ์มีปลายทางที่ไม่เหมือนกัน ไม่ว่าเราจะผ่อนเวลา ใช้ทั้งชีวิตรออีกฝ่ายแค่ไหน หรืออีกฝ่ายจะเร่งความเร็วเพื่อความสำเร็จที่ดีกว่าเท่าไร สุดท้ายมันก็ไม่ได้นำไปสู่ปลายทางที่บรรจบกัน
จึงน่าเศร้าใจไม่น้อยที่ต้องเห็นความสัมพันธ์ของเจกับเกาแยกจากกันเช่นนี้ โดยที่ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่รักกันแล้ว แต่เป็นเพียงเพราะความฝัน ชีวิต และเวลาของพวกเขาไม่เคยตรงกันตั้งแต่เริ่มต่างหาก ซึ่งจุดนี้เองก็น่าสนใจและชวนคิดถึงชีวิตส่วนตัวของแต่ละคนไม่น้อยว่า ที่ผ่านมาเราเอาเวลาไปทิ้งกับคนอื่นมากน้อยแค่ไหนแล้ว เพียงเพื่อหวังว่าการรอเช่นนี้จะนำไปสู่อะไรที่ดีขึ้นบ้างในอนาคตข้างหน้า
4
สิ่งหนึ่งน่าเสียดาย คือการที่หลายๆ ฉากกลับมีการอ้างอิงถึงหนังเรื่องดังต่างๆ อย่างชัดเจน และชัดแจ้งจนน่าสงสัย ข้อดีคือความรู้สึกตื่นเต้นเวลาเห็นหนังดังที่รู้จักปรากฏอยู่ในอีกเรื่อง ทั้งฉากคุยโทรศัพท์ของ เลียม นีสัน (Liam Neeson) ใน Taken (2008) หรือเส้นเรื่องของคนรับใช้จากเรื่อง Parasite (2019) เองก็ตาม แต่สำหรับผู้เขียน ส่วนนี้ชวนทำให้เกิดความวอกแวกของเส้นเรื่อง ทำให้รู้สึกว่าความขัดแย้งที่เกิดขึ้นไม่ได้เอาจริงขนาดนั้น และทำให้กลายเป็นว่าหลังจากนั้น หนังเรื่องนี้จึงคาบลูกคาบดอกระหว่างตลก แอ็กชัน และดราม่าไปตลอดทั้งเรื่อง ไม่สุดลิ่มทิ่มประตูในแต่ละฉาก
แต่ขณะเดียวกัน ก็ชื่นชมการขายของให้ลูกค้าอย่าง AP Thailand ของนวพล อาจเพราะด้วยความที่ผู้กำกับคนนี้มีอีกหมวกหนึ่งก็คือการเป็นผู้กำกับโฆษณา การไทอินในเรื่องนี้จึงไม่ได้เกิดขึ้นในแบบโผล่มาในหน้าจอ 2-3 วินาทีแล้วหายไปทั้งเรื่อง แต่เป็นการหยิบมาเป็นตัวแปรของเนื้อเรื่องได้อย่างแยบยล แม้จะดูเคอะเขินไปบ้างกับการที่ต้องเห็นโลโก้ของลูกค้าเด่นหลากว่าสิ่งอื่นใด แต่ก็ถือเป็นความพยายามที่น่าชื่นชมไม่น้อย
5
สรุปแล้ว ‘Fast & Feel Love เร็วโหด..เหมือนโกรธเธอ’ ก็ใช้ ‘เวลา’ เป็นสารสำคัญในการประกอบเรื่องราวเป็นหนังขึ้นมาได้อย่างสมบูรณ์ แน่นอนในรูปลักษณ์ของความเป็นหนังเรื่องนี้ นวพลสอบผ่านตั้งแต่ต้นจนจบ สามารถมอบความสนุกได้สมฐานะหนังแอ็กชันอย่างที่เขาบอกเอาไว้ตั้งแต่ก่อนหนังเข้าฉาย
ที่เซอร์ไพรซ์เล็กน้อยคือแง่มุมเล็กๆ บางอย่างสามารถตกผลึก ฝังอยู่ในใจผู้เขียนหลังดูจบ เรื่องราวของเกาทำให้ผู้ชมต้องมาสำรวจตัวเองถึงเวลาที่เคยได้ช่วงชิงมาจากคนอื่น ว่ามันมากน้อยแค่ไหน แล้วเราเคยตอบแทนอะไรเขาไปบ้าง แม้ตัวผู้เขียนเองจะไม่ได้เข้าใจและรู้สึกร่วมกับเส้นเรื่อง เจ-เกา เท่าไรนัก แต่กลับ ‘จุกอก’ กับเส้นเรื่องของ เกา-แม่ เป็นอย่างมาก เพราะได้เห็นอีกแง่มุมหนึ่งในความสัมพันธ์นี้ที่คนคนหนึ่งมอบเวลาทั้งชีวิตให้กับอีกคนได้อย่างไม่มีข้อแม้ ขนาดในหนังที่แม่เจ็บขา เดินไม่สะดวก ก็ยังไปทำบุญ 9 วัด สะเดาะเคราะห์หวังให้ลูกชายของตนได้ดีกับเส้นทางที่เขาเลือก
สำหรับผู้เขียนมองว่า ‘Fast & Feel Love เร็วโหด..เหมือนโกรธเธอ’ เป็นหนังที่ดูจบแล้วผู้ชมจะรัก จะเห็นใจ และจะใส่ใจคนรอบข้างมากยิ่งขึ้น
Tags: นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์, Screen and Sound, เร็วโหดเหมือนโกรธเธอ, Fast and Feel Love