สำหรับเด็กหนุ่มที่ฝันอยากเป็นนักมวยชื่อดังของไอร์แลนด์ ใช้เวลาว่างแอบลอบเข้าไปดูหนังในโรงจนถูกไล่กวดออกมาบ่อยๆ และเริ่มแคสติ้งงานแบบตัวเปล่าๆ จากโฆษณาที่แปะอยู่บนหน้าต่างร้านค้าแถวบ้าน ก็นับเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ใจอยู่ไม่น้อยที่ในระยะเวลาไม่ถึงสิบปีหลังจากนั้น เขาจะได้ร่วมงานกับผู้กำกับหนังชื่อดังทั้ง ยอร์กอส ลันธิมอส (Yorgos Lanthimos) คริสโตเฟอร์ โนแลน (Christopher Nolan) และล่าสุดคือ โคลอี จาว (Chloé Zhao) คนทำหนังเจ้าของรางวัลออสการ์ สาขาผู้กำกับยอดเยี่ยมจากเรื่อง Eternals (2021)

แบร์รี คีโอกัน (Barry Keoghan) มักนิยามชีวิตและเส้นทางการแสดงของเขาว่า ‘น่าเหลือเชื่อ’ อยู่บ่อยๆ ย้อนกลับไปราวต้นยุค 90s เมืองดับลิน ประเทศไอร์แลนด์ เต็มไปด้วยเรื่องราวน่าตื่นตาตื่นใจมากมาย ทั้งการเปิดตัวสถาบันภาพยนตร์ไอริช รถประจำทางสีเขียวซึ่งเป็นสีประจำชาติเปิดให้บริการ ความเกรียงไกรของทีมฟุตบอลไอร์แลนด์ในเวิลด์คัพปี 1990 

ในห้วงเวลาเดียวกันนั้น มันก็เป็นช่วงที่เฮโรอีนหลั่งไหลทะลักเข้ามาในดับลิน คีโอกันเล่าว่า แม่ของเขาก็เป็นหนึ่งในคนที่เสพติดสารเคมีเหล่านี้ และลงเอยด้วยการเสียชีวิตในปี 2004 ขณะที่เขาอายุได้สิบสองขวบ ถึงตอนนั้นเขากับอีริก น้องชาย ถูกส่งไปให้ครอบครัวอุปถัมภ์เลี้ยงดู ตลอดช่วงเวลาห้าปีนั้น สองพี่น้องต้องเปลี่ยนบ้านทั้งสิ้น 13 หลัง ก่อนที่ญาติในครอบครัวจะติดต่อมารับพวกเขาไปดูแลอย่างเป็นทางการ

“ครอบครัวอุปถัมภ์คือส่วนเสี้ยวใหญ่ของชีวิตผมเลย” เขาเล่า “การรับรู้ว่าแม่ตายเพราะยาเสพติดมันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเด็ก อันที่จริงการที่ใครสักคนตายก็เป็นเรื่องยากเย็นอยู่แล้ว แต่นี่คือแม่ ผมกับน้องชายตัวติดกันไม่ห่าง ส่วนครอบครัวอุปถัมภ์ก็ดีต่อพวกเรามาก”

เช่นเดียวกับเด็กๆ ในไอร์แลนด์ คีโอกันคลั่งฟุตบอลเข้าเส้นเลือด (เขาเล่าว่า แฟรงก์ สเตเปิลตัน (Frank Stapleton ศูนย์หน้าตัวเก่งของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดและอาร์เซนอลเป็นญาติห่างๆ ของเขาเอง) ฝันว่าในอนาคต หากว่ามุ่งมั่นได้มากพอ เขาคงเดินรอยความสำเร็จตามสเตเปิลผู้เป็นญาติได้ไม่ยาก แต่ความฝันนั้นก็สั่นคลอน เมื่อเขานั่งดูมวยสากลในวันหนึ่ง และลวดลายฟุตเวิร์ก การออกหมัดแย็บ ก็ทำให้เจ้าหนูคีโอกันเปลี่ยนใจจากการเป็นนักค้าแข้งไปสู่การเป็นนักมวย ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้เขาบอกว่า ดูจะเป็นไปได้มากกว่าการมาเป็นนักแสดงอีก (แถมยังเคยแซวตัวเองขำๆ ว่าถ้าได้ขึ้นสังเวียนไปโดนชกจริงก็คงจะดี เผื่อจะหล่อขึ้นอีกหน่อย) 

“แถวที่ผมโตมาไม่เคยมีใครพูดถึงอาชีพการเป็นนักแสดงมาก่อนเลย พวกเด็กผู้ชายยิ่งแล้วใหญ่ ไม่มีใครพูดกันหรอกว่า ‘สักวันฉันจะเป็นนักแสดงให้ได้เลย’ เพราะขืนพูดไปคงโดนหัวเราะเยาะใส่หน้าแน่ๆ คือไม่ใช่ว่าเราจะใจร้ายใส่กันอะไรแบบนั้นหรอก แต่เราก็แซวกันเล่นแบบนั้นเสมอแหละ” เขาว่า 

หากแต่ความมุ่งมั่นจะเดินทางสายกีฬาของเขาก็เปลี่ยนทิศในเย็นย่ำวันหนึ่ง หลังเลิกเรียน เมื่อเขาเดินผ่านร้านค้าเล็กๆ แถวบ้านแล้วเห็นป้ายจิ๋วแปะอยู่หน้ากระจกร้าน บอกรายละเอียดสั้นๆ ว่ามีการเปิดรับแคสติ้งนักแสดงสำหรับหนังดราม่าเรื่อง Between the Canals (2011) หนังสัญชาติไอร์แลนด์ฟอร์มเล็ก และทั้งที่แทบไม่มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการแสดงอะไรทั้งนั้น (“ผมจะไปรู้อะไร ผมแค่อยากได้เงิน”) เจ้าหนุ่มคีโอกันก็สมัครรับการทดสอบและคว้าบทสมทบในเรื่องมาครอง กลายเป็นว่าการได้งานครั้งนั้นทำให้เขาต้องเข้าเรียนการแสดงจริงจังเป็นครั้งแรก

“ผมโดดเรียนไปที่สถาบันสอนการแสดงประจำเลย ไปนั่งดูหนังต่างๆ ที่พวกเขาฉาย ตอนนั้นผมนั่งดูหนังที่ พอล นิวแมน (Paul Newman) เป็นตั้งๆ และก็สงสัยว่านักแสดงพวกนี้ชื่ออะไรกันบ้างนะ ผมเรียนการแสดงก็จากหนังเก่าๆ พวกนี้แหละ เหมือนได้เรียนรู้ทางอ้อมโดยที่ไม่รู้ตัวเลยสักนิด”

  ปี 2013 คีโอกันเริ่มแจ้งเกิดในไอร์แลนด์จาก Love/Hate ซีรีส์อาชญากรรมชื่อดังที่ออกฉายในประเทศ อีกสามปีให้หลังเขารับบทนำใน Mammal (2016) หนังร่วมทุนสร้างสามสัญชาติ (ไอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์ ลักเซมเบิร์ก) จับจ้องไปยังช่วงชีวิตที่พลิกผันในข้ามวันของ มาร์กาเร็ต (ราเชล กริฟฟิธส์) หญิงวัยกลางคนที่วันหนึ่งได้ข่าวว่าลูกชายที่ห่างเหินกันไปนานแสนนานนั้นจมน้ำตายไปแล้ว เพื่อจะโอบรับและตั้งหลักความสูญเสียที่เกิดขึ้นในชีวิต เธอจึงหันมาสานสัมพันธ์กับ โจ (คีโอกัน) เด็กหนุ่มประหลาดที่ปรากฏตัวอย่างไร้ที่มาที่ไปในเมืองดับลิน 

 

 ตัวหนังได้เข้าชิงรางวัลภาพยนตร์สายดราม่ายอดเยี่ยมจากเทศกาลหนังซันแดนซ์ ฟากการแสดงของคีโอกันเริ่มเป็นที่พูดถึง โดยเฉพาะการปรากฏตัวคู่กับมาร์กาเร็ต ซึ่งชั่วขณะหนึ่งก็ชวนให้รู้สึกว่าเขามาดีและเป็นที่พักใจของเธอ แต่ในอีกพริบตาหนึ่ง เขาก็กลายเป็นคนจรจัดคุ้มดีคุ้มร้าย เอาแน่เอานอนไม่ได้ ซึ่งคีโอกันหล่อเลี้ยงบรรยากาศเช่นนี้ไว้กับตัวตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง จึงไม่แปลกแต่อย่างใดที่ทั้งเขาและกริฟฟิธส์จะเข้าชิงนำชายและหญิงจากเวทีภาพยนตร์ไอริชซึ่งเป็นเวทีใหญ่ในบ้านเกิดในปีนั้น

 Light Thereafter (2017) คือหนังลำดับต่อมาที่คีโอกันฝากฝีมืออันน่าจดจำ เขารับบทเป็น พาเวล เด็กหนุ่มอารมณ์ไม่อยู่กับร่องกับรอยและออกจะต่อต้านสังคม ตัดสินใจออกตามหา อาร์นัลด์ (คิม โบด์เนีย) ศิลปินผู้เป็นเสมือนไอดอลของชีวิตด้วยการออกเดินทางไปทั่วยุโรป (!!) หากแต่ความโดดเดี่ยวค่อยๆ กัดกินเขาจนไม่เหลือตัวตนเดิม และค่อยๆ ทุบทำลายตัวเองลงไปช้าๆ โดยที่พาเวลเองก็ไม่อาจทันรู้ตัว ก่อนที่จะตามมาด้วยบทอันแสนจะอื้อฉาว และส่งเขาแจ้งเกิดเป็นวงกว้างใน The Killing of a Sacred Deer (2017) หนังบ้าพลังของยอร์กอส ลันธิมอส  (คนทำหนังชาวกรีกที่เคยพาคนดูสำรวจโลกอันแสนเวียร์ดและพิสดารมาแล้วใน Dogtooth (2009) เรื่องของครอบครัวชนชั้นกลางที่เลี้ยงดูลูกตัวเองให้อยู่แต่ในรั้วบ้านจนเด็กๆ เติบโตมาโดยไม่เข้าใจโลกภายนอกเลย เช่น เข้าใจว่าลูกแมวคือสัตว์ร้ายกระหายเลือดที่อันตรายที่สุดในโลก) และ The Lobster (2015) หนังซึ่งว่าด้วยโลกที่คนไม่แต่งงานจะถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นสัตว์อะไรก็ได้ตามแต่ที่เราจะเลือก)

คืนวันวิปริตของสตีเวน (โคลิน ฟาร์เรล) ศัลยแพทย์ชื่อดังที่พบว่าอยู่ดีๆ ลูกสาวและลูกชายก็ขยับขาเดินไม่ได้ขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุทางการแพทย์แน่ชัด มิหนำซ้ำร่างกายของพวกเขาก็ค่อยๆ ทรุดโทรมลงเรื่อยๆ เพราะปฏิเสธอาหาร พร้อมกันกับการปรากฏตัวของ มาร์ติน (คีโอกัน) เด็กหนุ่มปริศนาที่สตีเฟนคอยให้การเลี้ยงดูอยู่ลับๆ ที่คล้ายว่าจะข้องเกี่ยวกันไม่ทางใดก็ทางหนึ่งกับความลึกลับข้างต้นนี้ สตีเวนจึงค่อยๆ แปรเปลี่ยนการพยายามประนีประนอมเค้นเอาคำตอบจากมาร์ติน สู่การใช้กำลังและความรุนแรงอันดิบเถื่อน ขณะที่อันนา (นิโคล คิดแมน) เมียรักของสตีเวน พยายามแลกทุกอย่างเพื่อให้ลูกๆ กลับมาเดินได้อีกหน ไม่ว่าสิ่งนั้นจะทำให้เธอต้องเผชิญหน้ากับมาร์ตินอย่างไรบ้างก็ตาม

หนังไม่เพียงส่งให้ลันธิมอสเข้าชิงรางวัลปาล์มทองคำจากเทศกาลหนังเมืองคานส์ แต่ความเฮี้ยนและเพี้ยนประหลาดระเบิดระเบ้อของมันยังตราตรึงในใจของคนอีกหลายคน โดยเฉพาะการแสดงแสนวิปริตและเอาแน่เอานอนไม่ได้ของคีโอกันจนนิตยสาร The Hollywood Reporter ขนานนามว่าคีโอกันคือ ‘คลื่นลูกใหญ่ของฮอลลีวูด’ เขาปรากฏตัวในฐานะเด็กหนุ่มธรรมดาที่สนิทสนมกับสตีเวนมากเป็นพิเศษ ก่อนค่อยๆ ‘กลาย’ เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่อาจเข้าใจได้ อันปรากฏให้เห็นในฉาก ‘กินสปาเกตตี’ อันแสนเป็นภาพจำและฉาก ‘ก้มจุมพิตเท้า’ ชวนหดหู่ใจ 

“ผมเคยเจอพวกนักแสดงหนุ่มมากหน้าหลายตา แต่แบร์รีน่ะโดดเด่นที่สุดแล้ว” ลันธิมอสเล่า เขาได้รับเทปออดิชันจากคีโอกันและพบว่าเจ้าหนุ่มไอริชนัยน์ตาสีฟ้าสุกใสระเบิดพลังความแปร่งประหลาดออกมาโดยไม่ต้องพยายามใดๆ สำหรับลันธิมอส เจ้าหนุ่มดับลินมี ‘ใบหน้า’ ที่แสนพิเศษ “ผมชอบแบร์รีเพราะบุคลิกของเขานี่แหละ เป็นตัวของตัวเอง และเขาก็เอาตัวตนเหล่านี้ไปเป็นส่วนหนึ่งของตัวละครด้วย ซึ่งมันไปสร้างคาแรกเตอร์บางอย่างที่ผมเองไม่เคยจินตนาการถึง ไม่เคยเขียนไว้ในสคริปต์” (ตอนหนังถ่ายทำจบ เขามอบกล้องให้คีโอกันเป็นที่ระลึก ภายหลังคีโอกันบอกว่าเขาใช้กล้องนั้นถ่ายเล่นจนคุ้มทีเดียว)

 ฟาร์เรล (ซึ่งก็เป็นนักแสดงไอริช) กล่าวถึงนักแสดงหนุ่มรุ่นน้องว่า “ผมชอบแบร์รีมากเลย ประสบการณ์ที่เขาผ่านมาในชีวิตนำหน้าเราไปหลายช่วงตัว พูดจริงๆ นะ หากผมเผชิญสถานการณ์เดียวกันกับเขา ผมคงโกรธจัดและหาทางทำลายล้างทุกอย่าง ซึ่งเขาไม่เป็นเช่นนั้นเลย เขาเป็นคนมีความคิดสร้างสรรค์มาก ลองไปดูประวัติการทำงานเขาก็คงเห็นว่าเขาเคยร่วมงานกับใครมาแล้วบ้าง ซึ่งเขาล้วนแต่สร้างมิติ สร้างความลึกลับให้แก่ตัวละครที่เขาเล่นทั้งนั้น เขาเป็นพวกมุ่งมั่น ตั้งอกตั้งใจ และน่ารักมากด้วย”

ภายหลังจากที่รับบทแต่ตัวละครเฮี้ยนระเบิดระเบ้อ ขวบปีต่อมาเขาก็รับบทเป็นหนุ่มอังกฤษที่ออกเรือจากท่าเพื่อไปช่วยนายทหารอังกฤษจากหาดดันเคิร์กจาก Dunkirk (2017) หนังฟอร์มยักษ์ทุนสร้าง 100 ล้านเหรียญฯ ของคริสโตเฟอร์ โนแลน และเป็นหนึ่งในไม่กี่บทที่ดูเหมือนเขาจะได้สลัดภาพลักษณ์นักแสดงหนุ่มที่ต้องปรากฏตัวในบทวิปริต สู่การเป็นตัวละครสามัญธรรมดาในหน้าประวัติศาสตร์สงคราม 

“การได้เล่นเป็นตัวละครสองตัวในระยะเวลาที่ห่างกันแค่ไม่กี่เดือนนี่ยังกับฝันไปแหนะ ผมอยากให้คนดูเห็นผมแล้วคิดว่า ‘ไอ้ห่าเอ๊ย ไอ้หมอนั่นเองเหรอ ไม่เห็นเหมือนบทก่อนๆ ที่แสดงเลยวะ’ แบบนั้นเลย” คีโอกันบอก “ผมพูดตลอดเลยว่าอยากร่วมงานกับคนทำหนังอิสระเก่งๆ สักคน แล้วถ้าต่อมามีหนังฟอร์มยักษ์เสนอบทให้เล่นแล้วผมคิดว่าผู้กำกับเจ๋งดีก็จะแสดง แล้วไงรู้ไหม ปรากฏว่าผมได้ทำแบบนั้นจริงๆ แฮะ!”

ไม่กี่ขวบปีให้หลัง คีโอกันยังคงรักษาท่วงทำนองและจังหวะการแสดงที่ตัดสลับไปมาระหว่างหนังฟอร์มยักษ์และหนังทุนต่ำอย่างสม่ำเสมอ อันจะเห็นได้จากปีนี้ที่เขาปรากฏตัวในบท ‘ดรูอิก’ ซูเปอร์ฮีโร่จากหนังทุนสร้าง 200 ล้านเหรียญฯ Eternals (2021) หนังมาร์เวลเรื่องแรกที่กำกับโดย โคลอี จาว พร้อมกันกับหัวขโมยไร้ชื่อใน The Green Knight (2021) หนังธริลเลอร์ทุนสร้างเพียง 15 ล้านเหรียญฯ กำกับโดย เดวิด โลเวอรี (David Lowery) ซึ่งเขาวาดลวดลายได้อย่างน่าสนใจทั้งสองบท ไม่ว่าจะเป็นซูเปอร์ฮีโร่ที่ยังกัดฟันมีความหวังในตัวมนุษย์ หรือจอมโจรจากยุคกลางผู้ล่อลวงตัวละครหลักให้หลงทางไปจากเป้าหมายเดิม อีกทั้งยังมีแนวโน้มว่า ปีหน้าและปีต่อๆ ไปก็จะยังเป็นปีที่โดดเด่นไม่น้อยไปกว่าปีนี้ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากลิสต์หนังที่เขากำลังถ่ายทำอยู่อย่าง The Batman (2022) ของ แม็ตต์ รีฟส์ (Matt Reeves) และ The Banshees of Inisherin โปรเจ็กต์หนังเรื่องล่าสุดของ มาร์ติน แม็กโดนาห์ (Martin McDonagh) ผู้สร้างชื่อมาแล้วจาก Three Billboards Outside Ebbing, Missouri (2017)

 และหากว่าครั้งหนึ่ง The Hollywood Reporter เคยเรียกคีโอกันว่าเป็น ‘คลื่นลูกใหญ่ของฮอลลีวูด’ ถึงเวลานี้เขาอาจเป็นมากกว่าคลื่นลม แต่เป็นพายุที่พัดถล่มทุกอณูของฮอลลีวูดอย่างน่าจับตาไปแล้ว

Tags: , ,