****บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญในซีรีส์ Station 19 (2018-2024) ***

สำหรับ Station 19 (2018-2024) เป็นซีรีส์เรื่องหนึ่งในจักรวาล Grey’s Anatomy มหากาพย์ซีรีส์เกี่ยวกับแพทย์เรื่องดัง ที่บอกเล่าเรื่องราวชีวิตของกลุ่มนักดับเพลิงในสถานีที่ 19 ที่เกิดขึ้นในเมืองซีแอตเทิล 

จุดเด่นสำคัญของซีรีส์ชุดนี้ คือการถ่ายทอดประเด็นความเหลื่อมล้ำในสังคมสหรัฐอเมริกา ทั้งมิติเชิงเชื้อชาติ เพศและรสนิยมทางเพศ ผิวสีและชนชั้น ผ่านมุมมองของตัวละครนักดับเพลิงที่มีความแตกต่างและหลากหลาย ดังที่ปรากฏในหลายตอนของซีรีส์ เราจะได้เห็นประเด็นทางสังคมร่วมสมัยที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบจากนโยบายการกีดกันผู้อพยพ การเพิ่มขึ้นของคนไร้บ้านจากปัญหาทางเศรษฐกิจ หรือการเสียชีวิตของ จอร์จ ฟลอยด์ (George Floyd) และกระแส Black Lives Matter

การถ่ายทอดประเด็นความเหลื่อมล้ำทางเพศ ก็เป็นอีกหนึ่งมิติสำคัญที่ซีรีส์ชุดนี้ให้ความสำคัญ ทั้งปัญหาความก้าวหน้าในอาชีพนักดับเพลิงหญิง การคุกคามทางเพศในที่ทำงาน หรือแม้แต่ความยากลำบากของการแสวงหาความเคารพนับถือจากเพื่อนร่วมทีมในฐานะกัปตันหญิง 

บทความนี้ผู้เขียนอยากนำเสนอเรื่องราวตอนหนึ่งของ แอนดี เฮอร์เรรา (Andy Herrera) ตัวละครนักดับเพลิงหญิงที่ต้องไปเกี่ยวพันกับคดีความทางกฎหมาย ในฐานะผู้ต้องสงสัยคดีทำร้ายผู้อื่นจนถึงแก่ความตาย จากการพยายามป้องกันตนเองที่จะถูกล่วงละเมิดทางเพศ ผ่านการพิจารณาถึงความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำกับผลในแบบกฎหมายและแบบอื่นๆ เพื่อชวนถกเถียงว่า นอกจากเฮอร์เรราแล้ว ใครบ้างที่อาจมีส่วนร่วมต่อการตายของนักดับเพลิงชายคนนั้น 

จากค่ำคืนโรแมนติกสู่อาชญากรรมทางเพศ จากผู้เสียหายสู่ผู้ต้องสงสัย

เรื่องราวคดีความของเฮอร์เรราเริ่มต้นขึ้นในตอนค่ำ ที่บาร์แห่งหนึ่งใกล้สถานีดับเพลิง เฮอร์เรราและกลุ่มเพื่อนมาดื่มฉลองให้กับปัญหาที่เกิดขึ้นในที่ทำงาน โดยมีเพื่อนนักดับเพลิงชายอีกสถานีหนึ่งเข้ามาร่วมดื่มด้วย เฮอร์เรราและนักดับเพลิงชายคนนั้นต่างสนใจกันและกันในเชิงเสน่หา จนเมื่อเหลือแค่คนทั้งคู่อยู่ที่บาร์ ทั้ง 2 คนก็ได้ทำความรู้จักกันมากขึ้น จนเมื่อร้านปิด ทั้งคู่ออกมาจากร้านด้วยกันและยังคงพูดคุยหยอกล้อในเชิงชู้สาว 

ค่ำคืนที่สวยงามยังคงดำเนินต่อไป จนกระทั่งฝ่ายชายเริ่มกล่าวชักชวนถึงการมีความสัมพันธ์ทางเพศ แม้เฮอร์เรราจะกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า เธอชอบฝ่ายชายเช่นกัน แต่เธอขอปฏิเสธข้อเสนอนั้น อย่างไรก็ดี ฝ่ายชายมองการปฏิเสธของเธอเป็นการ ‘เล่นตัว’ และเริ่มโกรธที่ไม่ได้สิ่งที่ตนเองต้องการ เขาใช้กำลังกระชากผมและลวนลามเธอ ในนาทีนั้น การจีบกันระหว่างชายหนุ่มกับหญิงสาวก็เริ่มกลายเป็นความรุนแรงทางเพศ เฮอร์เรราพยายามขัดขืน ผลักและชกอีกฝ่าย จนเมื่อฝ่ายชายล้มลง เธอจึงรีบวิ่งหนีไป

ไม่นานหลังจากที่เธอเริ่มตั้งสติได้ เฮอร์เรราก็รู้ข่าวการเสียชีวิตของนักดับเพลิงชาย ซึ่งเป็นข่าวที่ยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายในคืนนั้นแย่ลงไปอีก เพราะหลังจากนี้ เธอจะไม่ได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในฐานะผู้เสียหายที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ แต่จะเป็นผู้ต้องสงสัยจากการทำร้ายผู้อื่นจนถึงแก่ความตาย 

การต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรมที่ชวนกระอักกระอ่วน 

โดยทั่วไปแล้ว เมื่อมีเหตุอันตรายที่อาจเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายเกิดขึ้น กระบวนการยุติธรรมทางอาญาจะเริ่มต้นขึ้นในชั้นตำรวจ โดยมีพนักงานสอบสวนเป็นผู้รวบรวมพยานหลักฐานสำคัญ จากนั้นสำนวนคดีก็จะถูกส่งต่อไปยังชั้นอัยการ ซึ่งมีหน้าที่ในการตรวจสอบสำนวนและพิจารณาว่า มีการกระทำความผิดที่ครบองค์ประกอบความผิดและมีมูลที่จะส่งฟ้องต่อศาลหรือไม่ หากมีมูลก็จะส่งต่อไปในชั้นพิจารณาคดีโดยศาลต่อไป 

ในซีรีส์ชุดนี้ คดีของเฮอร์เรราเกิดขึ้นในช่วงระหว่างชั้นตำรวจไปจนถึงชั้นอัยการ เธอถูกตั้งข้อหาทำร้ายผู้อื่นจนถึงแก่ความตาย (First Degree Manslaughter) ก่อนที่คดีจะถูกฟ้องต่อศาล เฮอร์เรราจะต้องพยายามทำให้ตำรวจและอัยการเห็นว่า แม้เธอจะเป็นคนชกนักดับเพลิงชายล้มลงไปกับพื้น แต่การกระทำของเธอนั้นไม่ได้เป็นการทำร้ายร่างกาย หากแต่เป็นการป้องกันตัวจากการถูกล่วงละเมิดทางเพศ 

อย่างไรก็ตาม คำพูดของเฮอร์เรราไม่น่าเชื่อถือนักในมุมมองของอัยการ เพราะภาพกล้องวงจรปิดในคืนนั้น ประกอบกับคำให้การของบาร์เทนเดอร์บ่งบอกว่า เฮอร์เรราและชายคนนั้นกำลังมีช่วงเวลาที่ดีด้วยกัน ในชุดตรวจข่มขืน (Rape kit) ก็ไม่สามารถบ่งบอกข้อมูลที่จะเป็นประโยชน์กับเฮอร์เรราได้ และที่สำคัญนักดับเพลิงชายคนนั้นก็มีประวัติที่ขาวสะอาดต่อเรื่องอาชญากรรมทางเพศ

สถานการณ์ที่เป็นรองดังกล่าว นำพาเฮอร์เรราไปพบกับหญิงสาวคนหนึ่ง ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนกับนักดับเพลิงชาย หญิงสาวคนนั้นเล่าว่า เธอเจอเหตุการณ์คล้ายกับเฮอร์เรราเจอเช่นเดียวกัน เพียงแต่เธอไม่ได้สามารถป้องกันตนเองแบบที่เฮอร์เรราทำได้ และเรื่องราวของเธอนั้นได้จบลงแบบที่เธอต้องลาออกจากโรงเรียน ขณะที่นักดับเพลิงชายคนนั้นยังสามารถมีอนาคตที่สดใส และไม่ใช่ว่าเธอไม่พยายามทำอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น เธอร้องเรียนไปที่โรงเรียน แต่กลับได้รับคำตอบว่า โรงเรียนไม่อยากทำลายอนาคตชายหนุ่มคนหนึ่ง จากคำกล่าวหาของหญิงสาวขี้เมาที่ลาออกจากโรงเรียนกลางคัน ซึ่งคำตอบของโรงเรียนก็ทำเธอหันหลังให้กับเรื่องนั้นจนถึงวันนี้ 

ตลอดเส้นทางการต่อสู้ทางกฎหมายของเฮอร์เรรา ซีรีส์พาผู้ชมไปสัมผัสกับอารมณ์ที่หลากหลายที่ผู้หญิงคนหนึ่งต้องเผชิญเมื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ทั้งความอัดอั้น ความโกรธ หรือในบางครั้งก็อาจรู้สึกว่า มีพลังจากการถูกเสริมอำนาจ (Empower) โดยคนรอบตัว อย่างไรก็ดี แม้ว่าเฮอร์เรราจะยืนยันกับตนเองว่า สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นความผิดของเธอ แต่การทำให้ชีวิตหนึ่งต้องสูญเสียไป ก็ทำให้ความรู้สึกผิดเกิดขึ้นกับเธอตลอดเส้นทางการต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรมเช่นเดียวกัน 

ความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำกับผลอย่างกว้าง 

เมื่อการตายของบุคคลหนึ่งเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม คำถามจะถูกตั้งขึ้นว่า ใครเป็นผู้มีความผิดในทางอาญา และบุคคลนั้นควรจะถูกลงโทษทางอาญาอย่างไร ดังนั้น เมื่อการตายของนักดับเพลิงชายเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เฮอร์เรราในฐานะผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งจึงถูกกฎหมายตั้งคำถามว่า เธอมีความผิด (ฐานทำร้ายผู้อื่นจนถึงแก่ความตาย) หรือไม่ และหากมีความผิด เธอควรจะถูกลงโทษอย่างไร

การตั้งคำถามเช่นนี้เกิดจากวิธีคิดทางกฎหมาย ที่พิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำกับผลอย่างใกล้ชิด กล่าวคือ เมื่อเฮอร์เรราเป็นคนชกนักดับเพลิงจนล้มลงและเสียชีวิตในเวลาต่อมา กฎหมายจึงต้องคิดถึงเฮอร์เรราในฐานะบุคคลที่อาจกระทำความผิดและอาจได้รับโทษ อย่างไรก็ดี เฮอร์เรราคิดกับเรื่องนี้ต่างออกไป ขณะที่กฎหมายพิจารณาการกระทำของเธอ (การชก) แยกขาดจากเรื่องอื่นๆ แต่เธอกลับพิจารณาเรื่องราวของเธอไม่แยกขาดจากเรื่องราวของหญิงร่วมรุ่นที่ถูกนักดับเพลิงชายข่มขืน 

เธอมองว่า หากวันนั้นโรงเรียนไม่ปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปอย่างง่ายดาย นักดับเพลิงชายคงได้รู้ว่า สิ่งที่ตนเองทำเป็นความผิด ชายคนนั้นคงไม่ทำความผิดซ้ำอีกครั้ง เขาเองคงไม่ถูกเธอชก (เพื่อป้องกันตัว) และเสียชีวิตในท้ายที่สุด 

คำอธิบายของเฮอร์เรราทำให้นึกถึงบทเพลง Who Killed Davey Moore? ของ บ็อบ ดีแลน (Bob Dylan) บทเพลงที่ชวนให้พิจารณาถึงความรับผิดต่อการตายของนักมวยคนหนึ่ง ในลักษณะที่กว้างไปกว่าวิธีคิดของกฎหมาย เมื่อนักมวยตายจากการชกมวย ใครมีส่วนรับผิดชอบต่อการตายครั้งนี้บ้าง คู่ชก กรรมการที่ไม่ยอมสั่งหยุด นักพนัน คนดูที่ส่งเสียงเชียร์กระหึ่ม หรือตัวนักชกที่ไม่ประเมินศักยภาพของตนเอง 

แน่นอนว่า การพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผลอย่างกว้าง เช่น คำอธิบายของเฮอร์เรราหรือในเพลงของดีแลน ไม่อาจถูกยอมรับในทางกฎหมาย เพราะความผิดและโทษทางอาญา เป็นสิ่งที่จะนำมาซึ่งการจำกัดลิดรอนเสรีภาพของบุคคลเป็นอย่างมาก กฎหมายจึงมีความจำเป็นที่จะต้องพิจารณา ความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผลอย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ดี ไม่ใช่ว่ากฎหมายจะปิดโอกาสการพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผลอย่างกว้างเสมอไป การพิจารณาในลักษณะนี้อาจทำได้บ้าง หากเป็นไปเพื่อลดระดับความผิดหรือโทษของจำเลยได้ เช่น การยกข้อต่อสู้ด้านวัฒนธรรม (Cultural Defense) หรืออาการ Battered Woman Syndrome (BWS) มาใช้ต่อสู้ในคดี เป็นต้น 

แม้ไม่ผิดกฎหมาย แต่เรามีส่วนในการฆ่านักข่มขืนที่บาร์นั้นหรือไม่ 

ในมุมมองของเฮอร์เรรา ที่กลายเป็นผู้ต้องสงสัยคดีทำร้ายผู้อื่นจนถึงแก่ความตาย จากการพยายามป้องกันตนเองเมื่อกำลังจะถูกล่วงละเมิดทางเพศ มองว่าหากสังคมไม่เพิกเฉยต่อการกระทำความรุนแรงทางเพศที่ชายคนนั้นได้กระทำมาในอดีต ชายคนนั้นอาจได้เรียนรู้ที่จะไม่ทำพฤติกรรมแบบนั้นอีก และเขาอาจจะไม่เสียชีวิตลงที่บาร์คืนนั้นก็ได้ 

แน่นอนว่า การพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผลอย่างกว้างเช่นนี้ ไม่ถูกยอมรับในทางกฎหมาย แต่อย่างไรก็ดี คำอธิบายนี้อาจช่วยให้เรากลับมาตั้งคำถามถึงสภาพสังคมที่ดำรงอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตั้งคำถามกับตัวเราเองในฐานะส่วนหนึ่งของสังคม 

เมื่อมีการกระทำความรุนแรงทางเพศเกิดขึ้น เราเป็นส่วนหนึ่งในการละเลยเพิกเฉยการกระทำนั้นหรือไม่ หรือเราได้สนับสนุนให้เกิดสังคมที่ผู้กระทำความรุนแรงทางเพศ สามารถลอยนวลพ้นผิดได้อย่างง่ายดายหรือเปล่า

ถ้าหากใช่ ก็ควรต้องพิจารณาด้วยว่า เราเองก็อาจมีส่วนต่อการตายของนักดับเพลิงชายคนนั้นเช่นกัน

อ้างอิง

เรื่องราวคดีความของเฮอร์เรรา ปรากฏในซีซันที่ 5 ตอนที่ 14 Alone in the dark, ตอนที่ 15 When the Party’s Over, ตอนที่ 16 Death and Maiden, ตอนที่ 17 The Road you didn’t take และตอนที่ 18 Crawl Out Through the Fallout

Tags: , , , ,