ทุกช่วงต้นปี ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-31 มีนาคม เป็นเทศกาลยื่นภาษีของบุคคลธรรมดา หลังจากที่เราใช้ชีวิตกันมาตลอดทั้งปี มีเงินได้ มีค่าใช้จ่ายกันในทุกวัน บางคนวางแผนไว้แล้วว่าจะยื่นภาษีอย่างไร บางคนกำลังรีบหาค่าลดหย่อนต่างๆ เพื่อยื่นให้ทัน 31 มีนาคม หรือบางคนก็อาจคิดว่าปีนี้ไม่ยื่น เพราะรายได้ยังไม่มาก หรือบางคนไม่ยื่นดีกว่า ทั้งที่มีรายได้มากแล้ว ทำไมภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่กฎหมายวางแบบแผนให้เป็นภาษีภาคสมัครใจ ถึงไม่มีใครสมัครใจจะยื่นแบบฯ 

(แม้แท้จริงแล้ว จะไม่ใช่ภาคสมัครใจก็ตาม เพราะหากไม่ยื่นตามเกณฑ์ของกฎหมาย ย่อมมีเบี้ยปรับ เงินเพิ่มตามมา)

เมื่อถึงช่วงเวลายื่นภาษี หลายคนรู้สึกเหมือนถูกบังคับให้ต้อง ‘จ่ายอะไรบางอย่าง’ โดยไม่ได้รู้สึกเต็มใจ หลายคนอาจสงสัยว่า ‘ทำไมเราต้องเสียภาษี?’ หรือบางคนอาจตั้งคำถามว่า ‘เงินภาษีที่เราจ่ายไป ถูกใช้ไปเพื่ออะไร’ แต่ความจริงแล้ว ภาษีไม่ได้เป็นเพียงแค่ภาระทางการเงิน แต่เป็นกลไกสำคัญในการสร้างความเท่าเทียมและพัฒนาสังคม

บทความนี้จะอธิบายถึงหลักการของภาษี ทำไมเราต้องเสียภาษี ภาษีถูกใช้ทำอะไร และทำไมคนไทยจำนวนมากถึงยังรู้สึกว่า ‘เสียภาษีไปแล้วไม่ได้อะไรกลับมา’

หลักการของภาษีอากร

ภาษีไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือทางการเงินของรัฐ แต่ยังเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาและสร้างความเท่าเทียมในสังคม หลักการสำคัญของภาษีมี 3 ข้อหลัก ได้แก่

1.หลักการความสามารถในการจ่าย (Ability to Pay Principle) ผู้ที่มีรายได้มากกว่าควรจ่ายภาษีมากกว่า เพื่อสนับสนุนความเท่าเทียม

2.หลักการผลประโยชน์ (Benefit Principle) ทุกคนที่ได้รับประโยชน์จากบริการของรัฐ เช่น ถนน การศึกษา และสาธารณสุข ควรมีส่วนในการจ่ายค่าใช้จ่ายเหล่านี้

3.หลักการความเป็นธรรม (Equity Principle) ระบบภาษีควรสร้างความเท่าเทียม ทั้งในแง่ของการจัดเก็บและการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐ

โดยหลักการต่างๆ เหล่านี้ เมื่อรัฐทั้งในนามกรมสรรพากร หน่วยงานท้องถิ่น หรือหน่วยงานอื่นๆ ที่มีหน้าที่จัดเก็บภาษีในรูปแบบต่างๆ ได้รับเงินภาษีของเราไปแล้ว ในเชิงหลักการที่ควรจะเป็น เม็ดเงินภาษีจำนวนมหาศาลเหล่านั้นถูกใช้ไปกับอะไรได้บ้าง

1.โครงสร้างพื้นฐาน เงินภาษีที่เก็บจากประชาชนถูกนำไปใช้ในโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน ระบบขนส่งสาธารณะ ไฟฟ้า และน้ำประปา ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจ และการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน เช่น การพัฒนาโครงการรถไฟฟ้าหรือมอเตอร์เวย์ เพื่อเพิ่มการเชื่อมโยงทางการเดินทางและลดเวลาในการเดินทาง นอกจากนี้โครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ยังช่วยสนับสนุนภาคการผลิตและการค้าระหว่างภูมิภาคได้อีก 

2.การศึกษาและสาธารณสุข การใช้เงินภาษีในการสนับสนุนการศึกษาและสาธารณสุขเป็นการลงทุนที่สำคัญในอนาคตของประชาชนและเศรษฐกิจ การสนับสนุนโรงเรียนและโรงพยาบาลภาครัฐทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการศึกษา และบริการทางการแพทย์ได้อย่างเท่าเทียมกัน ตัวอย่างเช่น การจัดสรรงบประมาณในการจัดตั้งโรงเรียนสาธารณะ ที่เปิดโอกาสให้เด็กทุกคนเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ โดยไม่ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายมากเกินไป หรือการให้บริการทางการแพทย์ในโรงพยาบาลรัฐที่มีราคาย่อมเยาหรือฟรี 

3.ความมั่นคงและความปลอดภัย รัฐต้องใช้เงินภาษีในการสนับสนุนหน่วยงานด้านความมั่นคงและความปลอดภัย เช่น ตำรวจและกองทัพ เพื่อให้สามารถปกป้องประชาชนจากอาชญากรรมและภัยคุกคามต่างๆ การสนับสนุนด้านความมั่นคงยังช่วยเสริมสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย ซึ่งมีผลกระทบต่อความมั่นใจในการลงทุนและการพัฒนาเศรษฐกิจ โดยเงินภาษีจะถูกใช้ในการจัดหาอุปกรณ์หรือทรัพยากรที่จำเป็นแก่หน่วยงานเหล่านี้ 

4.สวัสดิการสังคม การใช้เงินภาษีในการสนับสนุนสวัสดิการสังคม เช่น การให้เบี้ยยังชีพแก่ผู้สูงอายุ การช่วยเหลือผู้ยากจน และการสนับสนุนสวัสดิการสังคมอื่นๆ เป็นการรับประกันความเป็นอยู่ของประชาชนในสถานการณ์ที่ยากลำบาก สวัสดิการเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการลดความเหลื่อมล้ำในสังคมและให้ความช่วยเหลือผู้ที่ตกอยู่ในสภาวะยากจนหรือขาดแคลน

ข้อความข้างต้นนี้เป็นหลักการล้วนๆ ที่ควรจะเป็น ภาษีที่เราเสียไปควรจะถูกถ่ายโอนเม็ดเงินไปที่โครงสร้างพื้นฐานสาธารณะต่างๆ เหล่านี้ 

ประเทศไทย ใครต้องมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาบ้าง 

ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ได้แก่ ผู้ที่มีเงินได้เกิดขึ้นระหว่างปีที่ผ่านมาโดยมีสถานะอย่างหนึ่งอย่างใด ดังนี้

1.บุคคลธรรมดา

2.ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล

3.ผู้ถึงแก่ความตายระหว่างปีภาษี

4.กองมรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง

5.วิสาหกิจชุมชน ตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน เฉพาะที่เป็นห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล

ณ วันเวลาที่ผู้เขียนเขียนบทความนี้ อยู่ในช่วงใกล้จะเดือนสุดท้ายของการยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ของเงินได้ในปีภาษี 2567 แล้ว ซึ่งหากยื่นแบบกระดาษ สามารถได้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 31 มีนาคมของทุกปี และสามารถยื่นภาษีทางออนไลน์ได้ถึงวันที่ 8 เมษายนของทุกปี ซึ่งผู้คนส่วนมาก มักจะยื่นภาษีกันในช่วงท้ายของระยะเวลา ซึ่งไม่ได้แปลกและไม่ได้มีความผิดอะไร แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ใช่การยื่นภาษีในช่วงท้ายของระยะเวลา แต่เป็นการ ‘ไม่ยื่น’ มากกว่า 

สถิติการยื่นภาษีในประเทศไทย สะท้อนปัญหาการมีส่วนร่วมที่ต่ำ ข้อมูลจากกรมสรรพากรและธนาคารโลกระบุว่า

 ในปีภาษี 2565 (ยื่นแบบในปี 2566) มีผู้ยื่นแบบเพียง 11.3 ล้านคน จากประชากรไทยประมาณ 66 ล้านคน จากกลุ่มประชากรที่มีหน้าที่ยื่นภาษี (ประมาณ 30 ล้านคน ตามเกณฑ์รายได้ที่กำหนด) มีเพียง 40% ที่ยื่นภาษี

ในปีภาษี 2564 (ยื่นแบบในปี 2565) มีจำนวนผู้ยื่นแบบเพียง 10.3 ล้านคน หรือ 34% ของกลุ่มที่มีหน้าที่ต้องยื่นภาษีจริงๆ

สาเหตุหนึ่งที่สำคัญคือ คนบางส่วนไม่รู้ว่าการยื่นแบบภาษี และเสียภาษีเป็นหน้าที่ตามกฎหมาย อีกทั้งไม่เคยรับรู้ว่าการยื่นแบบฯ ไม่ได้ หมายความว่าจะต้องเสียภาษี หรือหากมีเงินได้สุทธิไม่เกิน 1.5 แสนบาท จะได้รับการยกเว้นการเสียภาษี ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่คิดไปเองว่า มีรายได้น้อยแล้ว ไม่ต้องยื่นภาษี ก็ยิ่งส่งผลให้เศรษฐกิจนอกระบบ (Informal Economic Sector) มีมากขึ้นไปเรื่อยๆ เมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้ว เช่น ญี่ปุ่น และเยอรมนี ซึ่งมีอัตราการยื่นภาษีเกิน 90% แสดงให้เห็นว่า ประเทศไทยยังมีอัตราการปฏิบัติตามหน้าที่ภาษีต่ำมาก (World Bank, 2023)

ทำไมคนไทยถึงรู้สึกว่าเสียภาษีแล้วไม่ได้อะไร

หลักการของภาษีอากร ความไม่มีผลประโยชน์ตอบแทนโดยตรงให้แก่ผู้เสียภาษี เป็นหลักการทั่วไปและปกติของภาษีอากร แต่อย่างไรก็ตามความไม่มีผลประโยชน์ตอบแทนโดยตรงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะเราไปเสียภาษี ไม่ได้ไปซื้อสินค้าหรือรับบริการอย่างการบริโภค ผู้ที่ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีคงไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รับอะไรตอบแทนแบบเฉพาะเจาะจงในทันที แต่ความไม่มีผลประโยชน์ตอบแทนโดยตรงนั้น ก็สมควรที่จะมีผลประโยชน์ตอบแทนเชิงสาธารณะที่เป็นที่ประจักษ์ให้ประชาชนรู้สึกได้ 

แต่ประชาชนไทยหลายคนยังรู้สึกว่า ‘เสียภาษีแล้วไม่ได้อะไรกลับมา’ ซึ่งเกิดจากหลายปัจจัย ยกตัวอย่างเด่นๆ ได้ดังนี้

1.การจัดสรรงบประมาณที่ไม่โปร่งใส การขาดข้อมูลเปิดเผยและการเข้าถึงรายงานการใช้จ่ายภาครัฐ ทำให้ประชาชนไม่สามารถตรวจสอบการใช้ภาษีได้อย่างเต็มที่ เปรียบเทียบกับประเทศอย่างสวีเดนและนอร์เวย์ ที่มีการรายงานการใช้ภาษีอย่างโปร่งใส ทั้งสวีเดนและนอร์เวย์มีการบริหารจัดเก็บภาษีที่เน้นความโปร่งใส (Transparency) และตรวจสอบได้ (Accountability) อย่างชัดเจน 

โดยประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลภาษีและการใช้จ่ายภาครัฐได้อย่างง่ายดาย ผ่านเว็บไซต์ของรัฐบาลหรือรายงานงบประมาณประจำปี ในสวีเดน การเปิดเผยข้อมูลภาษีเป็นเรื่องปกติ แม้กระทั่งรายได้ของประชาชนก็สามารถตรวจสอบได้ผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งทำให้เกิดความโปร่งใสสูง และช่วยลดการเลี่ยงภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือในนอร์เวย์ ระบบข้อมูลภาษีสาธารณะ (Skattelister) เปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลรายได้และจำนวนภาษีที่แต่ละคนจ่ายได้ ซึ่งสร้างแรงจูงใจให้คนยื่นภาษีอย่างถูกต้อง เพราะการหลีกเลี่ยงภาษีอาจส่งผลต่อชื่อเสียงทางสังคม (Transparency International, 2023)

2.ปัญหาการคอร์รัปชัน ความรู้สึกไม่ไว้วางใจต่อการบริหารงบประมาณ เนื่องจากปัญหาการทุจริตและการใช้จ่ายงบประมาณที่ไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ เปรียบเทียบกับสิงคโปร์ที่มีกฎหมายและหน่วยงานอิสระในการปราบปรามคอร์รัปชันอย่างเข้มงวด (Corruption Perceptions Index, 2023

3.บริการสาธารณะที่ไม่ตอบสนองต่อความต้องการ ระบบสาธารณสุขที่แออัดและระบบการศึกษาที่ไม่เท่าเทียม ทำให้ประชาชนรู้สึกว่าไม่ได้รับผลตอบแทนจากภาษี (OECD Health Statistics, 2023)

4.การขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน การตัดสินใจเกี่ยวกับการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐมักขาดการมีส่วนร่วมจากประชาชน เปรียบเทียบกับสวิตเซอร์แลนด์ ที่ใช้ระบบประชามติในการตัดสินใจทางการเงินสำคัญๆ (Swiss Federal Statistical Office, 2023)

นอกจากนี้คนไทยส่วนใหญ่ยังมองว่า ระบบการจัดเก็บภาษีเงินได้ฯ ในปัจจุบันของไทยมีความเป็นธรรมค่อนข้างต่ำ จากระบบการตรวจสอบยังไม่ครอบคลุม ทำให้มีผู้ที่มีรายได้ถึงเกณฑ์ไม่ต้องยื่นแบบฯ และเสียภาษี ขณะที่ผู้มีรายได้สูงบางกลุ่มมีการหลบเลี่ยงภาษี โดยอาศัยช่องโหว่ทางกฎหมายเกิดความรู้สึกไม่ศรัทธาในระบบภาษี นำมาซึ่งความไม่เต็มใจในการยื่นแบบและพร้อมจ่าย ที่ยืนอยู่บนความรู้สึก ‘เสียไม่คุ้มได้’ จ่ายเงินให้รัฐ แต่ประชากรขาดแคลนสวัสดิการหรือสวัสดิการที่รัฐทำ ไปกระจุกอยู่ในกลุ่มประชาชนบางกลุ่มมากจนเกินไป

สรุปเสียภาษีด้วยใจ หรือแค่จำใจต้องเสีย

ณ ตอนนี้ผู้เขียนเห็นว่า ถ้าถามประชาชนทั่วไปก็คงตอบว่า จำใจเพราะกลัวบทลงโทษ แต่การเสียภาษีไม่ควรเป็นแค่หน้าที่ตามกฎหมาย แต่ควรเป็นการร่วมสร้างสังคมที่ดีขึ้น หากประชาชนรู้สึกว่า เงินภาษีถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และเป็นธรรม ผู้เขียนเห็นว่า ประชาชนส่วนใหญ่จะยินดีเสียภาษีด้วยความสมัครใจมากขึ้น การปฏิรูประบบภาษีจึงเป็นสิ่งจำเป็น ไม่ใช่แค่เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับรัฐ แต่เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความยุติธรรมในสังคมให้ยั่งยืน

 

แหล่งอ้างอิง

  1. World Bank. (2023). Increased Revenue Required to Meet Thailand’s Public Spending Needs. Retrieved from World Bank
  2. Transparency International. (2023). Corruption Perceptions Index. Retrieved from Transparency
  3. OECD. (2023). Health Statistics. Retrieved from OECD Health Data
  4. Swiss Federal Statistical Office. (2023). Popular Votes. Retrieved from Swiss Statistics
  5. กรมสรรพากร. (2023). Annual Tax Filing Statistics 2022-2023.
Tags: , , ,