Rocketman บอกเล่าเรื่องราวชีวิตของ ‘เอลตัน เฮอคิวลิส จอห์น’ หรือ ‘เรจินัลด์ ดไวท์’ (รับบทโดย ทารอน อีเกอร์ตัน) ตั้งแต่วันแรกที่เขาได้รู้จักกับความสุขผ่านการเล่นดนตรี วันที่เขาได้เริ่มทำงานร่วมกับ ‘เบอร์นี่ ทอพิน’ นักแต่งเพลงคู่หูที่กลายมาเป็นเพื่อนคนสำคัญของเขาไปชั่วชีวิต เรื่อยมาจนถึงวันที่เส้นทางชีวิตของเขาพุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุดของจักรวาลเพลงอังกฤษไม่ต่างจากจรวดที่ถูกยิงขึ้นสู่ห้วงอวกาศ ผ่านการเล่าเรื่องแบบ Musical-Fantasy ที่บอกเล่าสีสัน พลังงาน ความตระการตา ไปจนถึงความเจ็บปวด ความซับซ้อน และความเหงาจับขั้วหัวใจ ผ่านสายตาและบทเพลงของเอลตัน จอห์นได้อย่างสวยงาม จนได้รับคำชมอย่างล้นหลามทันทีออกฉายครั้งแรกในเทศกาลหนังเมืองคานส์ปี 2019 ที่ผ่านมา

เดวิด เฟอร์นิช สามีของเอลตัน จอห์น ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการเป็นโปรดิวเซอร์และพัฒนาหนังเรื่องนี้ด้วยตัวเองอย่างใกล้ชิด โดยแม้ตัวเอลตันเองจะมีชื่อเป็นหนึ่งในโปรดิวเซอร์ด้วยเช่นกัน แต่เขาได้ให้สัมภาษณ์ว่า ตั้งใจให้สามีดูงานสร้างของ Rocketman ทั้งหมดเป็นหลัก เพราะต้องการให้ทีมงานได้ทำงานอย่างเป็นอิสระและสบายใจที่สุด ส่วนตัวเขาจะคอยตัดสินใจในเรื่องสำคัญๆ และให้คำปรึกษากับทารอน อีเกอร์ตัน ซึ่งรับบทเป็นเขาเท่านั้น และแม้เอลตันจะคอยช่วยแนะนำในส่วนของการแสดง แต่ทารอนเองก็ให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า เอลตันพูดเสมอว่าไม่ต้องการให้เขาพยายามเลียนแบบวิธีการร้องเพลง การออกเสียง หรือวิธีการแสดงบนเวทีของเอลตัน แต่อยากให้เขาเลียนแบบจิตวิญญาณและสร้างสรรค์ ‘เอลตัน จอห์น’ ในมุมมองของตัวเองขึ้นใหม่มากกว่า

ไม่ใช่แค่การออกแบบคาแรคเตอร์หรือการแสดงเท่านั้น แต่การเรียงลำดับของเพลงที่เกิดขึ้นในเรื่อง เด็กซ์เตอร์ เฟลตเชอร์ ซึ่งเป็นผู้กำกับ ก็ตั้งใจเลือกบทเพลงต่างๆ ของเอลตัน จอห์น มาใช้โดยไม่สนใจช่วงเวลาที่บทเพลงนั้นๆ ถูกแต่งขึ้นจริงในประวัติศาสตร์ แต่ตั้งใจเลือกให้สอดคล้องกับความรู้สึกของเอลตัน จอห์น ในแต่ละช่วงเวลา เพื่อที่จะสื่อสาร ‘แฟนตาซี’ ที่อยู่ในหัวของเอลตันออกมาให้สมบูรณ์แบบที่สุดแทนที่จะเล่าชีวิตของเขาไปตามไทม์ไลน์ โดยหลังจากที่ได้ชม Rocketman ฉบับสมบูรณ์เป็นครั้งแรก เอลตันเองก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมาตั้งแต่ช่วง 15 นาทีแรกของเรื่องซึ่งบอกเล่าชีวิตครอบครัวในวัยเด็กของเขาผ่านเพลง I Want Love ถึงแม้ว่าตัวเขาเองจะรู้ดีอยู่แล้วว่าเพลงนี้ถูกแต่งขึ้นจากชีวิตของเบอร์นี่หลังจากที่หย่ากับภรรยา แต่เนื้อหาเหล่านั้นก็สามารถบอกเล่าความจริงของชีวิตวัยเด็กบนถนนพินเนอร์ฮิลล์ของเขาได้อย่างพอดิบพอดีเช่นกัน

แต่แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่พอใจกับการนำเสนอผ่านแฟนตาซี เพราะเอลตันเคยให้สัมภาษณ์ว่ามีหลายสตูดิโอที่อยากให้หนังลดความเป็นแฟนตาซีลงและเล่าเรื่องตามขนบของหนังชีวประวัติทั่วไปที่เน้นความสมจริงมากขึ้น และแม้กระทั่งเบอร์นี่ซึ่งเป็นนักแต่งเพลงคู่บุญและเพื่อนรักของเขามาตลอด 50 ปี ก็ยังไม่ชอบใจนักกับบทที่ได้อ่านในช่วงแรก เพราะรู้สึกว่าเนื้อหาบางส่วนไม่ตรงกับความเป็นจริง และลำดับของเพลงก็ถูกเล่าอย่างไม่ตรงกับช่วงเวลา 

ขณะเดียวกันนั้นเอลตันรู้สึกว่าการเล่าเรื่องด้วยวิธีการแบบนี้กลับดูสมจริงมากกว่าในสายตาของเขา เพราะหลักๆ แล้วเขาใช้ชีวิตในวัยเด็กอยู่ในหัวของตัวเองมากกว่าในโลกแห่งความจริงซะอีก นอกจากนี้ในวันที่ความโด่งดังเริ่มถาโถมเข้ามา ทุกอย่างในชีวิตของเขาก็กลายเป็นเรื่องที่ดูไม่สมจริงแบบสุดๆ แต่หลังจากที่ได้ดู Rocketman ฉบับสมบูรณ์แล้ว เบอร์นี่ก็กล่าวว่าเขาเข้าใจในที่สุดว่าทำไมหนังจึงตัดสินใจใช้วิธีการนี้ เพราะนี่แหละคือชีวิตของ ‘เอลตัน จอห์น’ วุ่นวาย บ้าบอ สดใส ดำมืด และเหมือนจะไม่ใช่ความจริง แต่กลับเป็นความจริง

ดังนั้นหากจะพูดว่า Rocketman เป็นหนังชีวประวัติก็อาจจะไม่ตรงกับความจริงนัก เพราะทั้งทีมงาน นักแสดง ผู้กำกับ รวมทั้งตัวเอลตันเอง ล้วนแต่มองว่าหนังเรื่องนี้ไม่ใช่ชีวประวัติ แต่เป็นหนัง Musical-Fantasy ที่ใช้บทเพลงของ ‘เอลตัน จอห์น’ ในการบอกเล่าช่วงเวลาชีวิตที่อ่อนไหวผ่านมุมมองของตัวเขาเองมากกว่า

“Based on a true fantasy” คือคำที่ทางค่ายเลือกหยิบขึ้นมาใช้ในการโปรโมตหนังเรื่องนี้ และ ใช่— ชีวิตของเอลตัน จอห์นซับซ้อนและหวือหวาไม่ต่างจากโลกแฟนตาซีจริงๆ เพราะแฟนตาซีเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยให้เขาสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่โหดร้าย แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้เขารู้สึกเคว้งคว้าง และกัดกินตัวตนของเรจินัลด์ ดไวท์ที่ยังคงซ่อนอยู่ในตัวเขาไปพร้อมๆ กัน โดยสำหรับเรา Rocketman ได้ถ่ายทอดความ ‘แฟนตาซี’ นั้นผ่านภาพสะท้อนของการเดินทางไปสู่ห้วงอวกาศที่เดียวดาย ไม่ต่างจากที่เอลตัน จอห์นเคยได้ถ่ายทอดมันเอาไว้ในบทเพลงเอกของเรื่องนี้อย่าง Rocketman

ในฉากแรกของเรื่อง เอลตันปรากฏตัวในสถานบำบัดพร้อมกับชุดเต็มยศสีส้ม หมวก แว่นกันแดดและปีกขนาดใหญ่ เขานั่งล้อมวงและเริ่มเล่าถึงชีวิตการเป็น ‘เอลตัน จอห์น’ ของตัวเองให้ทุกคนได้ฟัง เรื่องเล่าที่บอกว่าพ่อของเขาเป็นคนที่รักครอบครัวและชอบที่จะกอดเขาเอาไว้มากขนาดไหน เรื่องเล่าที่สุดท้ายแล้วเราพบว่ามันเป็นความจริงแค่ในโลกแห่งจินตนาการที่เอลตันหวังอยากจะให้มันเป็นเท่านั้น เมื่อโลกเดิมและชีวิตจริงที่มีมันโหดร้าย การพยายามออกเดินทางไปอวกาศของเด็กชายใส่แว่นจากเมืองเล็กๆ ทางตอนเหนือของลอนดอนอย่างเรจินัลด์ ดไวท์หรือ เรจจี้ จึงเริ่มต้นขึ้น

“She packed my bags last night pre-flight

Zero hour 9:00 AM

And I’m gonna be high as a kite by then”

Rocket man – Elton John

เรจจี้ตัดสินใจบอกลาตัวตนและโลกใบเดิมที่เขาแสนเกลียดเพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นคนใหม่ในเสื้อผ้าสุดระยิบระยับพร้อมชื่อที่เขาตั้งขึ้นเองอย่างเอลตัน จอห์นเรจจี้คนใหม่ค่อยๆ ล้มลุกคลุกคลานกับการสร้างตัวตนไปพร้อมกับการสร้างเสียงดนตรี แต่แน่นอนว่าการเดินทางสู่อวกาศไม่เคยเป็นเรื่องง่าย อุณหภูมิ รังสี ความดัน ความชื้น และองค์ประกอบทางเคมีในอากาศ พร้อมที่จะทำให้ร่างกายของมนุษย์แตกสลายออกเป็นเสี่ยงๆ สิ่งที่ไม่ต่างจากชุดอวกาศและอาหารอวกาศซึ่งช่วยให้เอลตันสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ก็คือ เหล่าเสื้อผ้าสุดบ้าคลั่ง แอลกอฮอล์ และยาเสพติด

ตอนที่เอลตันได้ลองสัมผัสกับโลกไร้แรงโน้มถ่วงเป็นครั้งแรกเกิดขึ้นในฉาก Crocodile Rock ในวันที่เขาได้แสดงโชว์เปิดตัวที่ไนท์คลับทรูบาดอร์ในสหรัฐอเมริกา (ในความเป็นจริงเพลง Crocodile Rock ถูกแต่งขึ้นหลังจากนั้น 2 ปี) ซึ่งเป็นวันที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาไปตลอดกาล ทุกอย่างในวันนั้นสวยหรูจนทำให้ทั้งเขาและบรรดาคนฟังล่องลอยขึ้นจากพื้น ผู้คนหลงรักเสียงเพลงและตัวตนของเขา เงินทองและชื่อเสียงวิ่งตรงเข้ามาหา ชีวิตตื่นตาตื่นใจไม่ต่างจากการได้โผทะยานขึ้นสู่ห้วงอวกาศเป็นครั้งแรกในชีวิต ในวันนั้นชุดอวกาศและหมวกช่วยหายใจใบใหญ่ทำให้เอลตันตื่นเต้นเร้าใจเหลือเกิน คืนนั้นเอลตันยังได้พบกับจอห์น รี้ดผู้จัดการศิลปินหนุ่มหล่อที่เข้ามาช่วงชิงหัวใจของเขาไปและภายหลังได้กลายมาเป็นผู้จัดการส่วนตัวที่บริหารงานและทรัพย์สินทั้งหมดของเขาในเวลาต่อมาอีกด้วย

“I miss the earth so much I miss my life

It’s lonely out in space

On such a timeless flight”

หลังจากการเปิดตัวที่ทรูบาดอร์ ชีวิตในวงการดนตรีของเอลตันก็พุ่งทะยานออกไปไกลอย่างไม่มีสะดุด ภายในเวลาไม่นานเด็กหนุ่มโนเนมจากลอนดอนก็กลายมาเป็นร็อกสตาร์ที่คนทั้งอเมริกาคลั่งไคล้ แต่เมื่อการเดินทางไปอวกาศนั้นยาวนานไม่ต่างจากชั่วนิรันดร์ เอลตันก็เริ่มพบว่าบนอวกาศที่เคยตื่นตาตื่นใจและเต็มไปด้วยสีสันแท้จริงแล้วช่างเปล่าเปลี่ยว เคว้งคว้าง และเหงาจับใจ

จอห์น รี้ดที่เคยทำให้เขาเชื่อว่ารัก กลายเป็นคนที่คิดแต่เรื่องผลประโยชน์และหวังจะปอกลอกเอาเงินจำนวนมหาศาลจากอาชีพการงานของเขา ‘พ่อ’ ที่ไร้หัวใจซึ่งไม่เคยแม้แต่จะยอมกอดเขา กลับมีลูกชายคนใหม่ที่ได้รับความรักเต็มเปี่ยม ‘แม่’ ที่ไม่เคยภูมิใจที่มีเขาเป็นลูก บอกว่าเขาจะต้องทนอยู่อย่างเดียวดายและไร้ความรักไปตลอดชีวิต ‘เบอร์นี่’ เพื่อนที่เคยอยู่เคียงข้างเสมอก็ตัดสินใจพักจากการทำงานเพลงเพื่อหนีกลับไปตั้งหลักชีวิตใหม่ในบ้านฟาร์ม และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ การจับตัวเองยัดใส่ชุดอวกาศหนาเตอะและฉีกยิ้มให้กับผู้คนเริ่มกลายเป็นสิ่งที่ทำยากขึ้นทุกที

“And I think it’s gonna be a long long time

‘Till touchdown brings me round again to find

I’m not the man they think I am at home

Oh no no no I’m a rocket man

Rocket man burning out his fuse up here alone”

ฉากที่บอกเล่าความโดดเดี่ยวที่แสนจะยาวนานในห้วงอวกาศที่เอลตันต้องเผชิญได้ดีที่สุด ก็คือฉากที่เพลง Rocketman เพลงเอกของเรื่องดังขึ้นพร้อมกับความพยายามในการฆ่าตัวตายที่ล้มเหลวของเอลตัน ความตลกร้ายของฉากนี้ก็คือ ทันทีที่ร่างของเอลตันค่อยๆ จมลงสู่ก้นสระ เราพบว่าผู้คนมากหน้าหลายตารุมล้อมกันเข้ามาเพื่อช่วยชีวิตเขา และถึงแม้ว่าเอลตันจะพยายามดิ้นรนออกจากการช่วยเหลือและหน้ากากช่วยหายใจขนาดไหน เขาก็ยังคงถูกยื้อชีวิตเอาไว้เพื่อให้สามารถขึ้นไปสร้างความสุขและเงินตราให้กับผู้คนนับล้านได้อีกครั้งอยู่ดี เอลตันที่ในตอนนั้นโด่งดังคับจักรวาล กลับไม่สามารถแม้แต่จะทำตามความต้องการของตัวเองที่อยากจะตายเพื่อหนีความเจ็บปวดไปให้พ้นๆ 

“And I think it’s gonna be a long long time

And I think it’s gonna be a long long time

And I think it’s gonna be a long long time”

ในฉากสุดท้ายก่อนที่เรื่องจะจบ เอลตันกลับมาอยู่ในสถานบำบัดอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ใช่ในชุดอวกาศสีส้มและปีกขนาดใหญ่ที่กดดันตัวเขาอีกต่อไป แต่เป็นในชุดวอร์มเรียบง่ายสีเทาราวกับว่าเขาได้ปลดเปลื้องภาพลักษณ์ในสังคมที่เป็นเสมือนสัมภาระทั้งหมดที่เคยแบกเอาไว้ทิ้งไปหมดแล้ว ในฉากนี้เอลตันได้พูดคุยกับผู้คนมากมายที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิตของเขาไม่ว่าจะเป็น พ่อ แม่ ยาย จอห์น เบอร์นี่ รวมทั้ง ‘เรจจี้ ดไวท์’ หรือตัวเขาเองในวัยเด็ก ครั้งนี้เรื่องเล่าของเขาเป็นความจริง เขาเอ่ยปากพูดในสิ่งที่ตัวเองคิด เถียงในสิ่งที่ตัวเองไม่เห็นด้วย และทำสิ่งที่เขาไม่เคยทำมาก่อนเลยคือการสวมกอดตัวตนของ ‘เรจจี้ ดไวท์’ เอาไว้ในอ้อมแขนคล้ายจะสื่อสารว่าตอนนี้เขารู้แล้วว่าตัวเองคือ ‘เอลตัน จอห์น’ เอลตัน จอห์นคนที่ไม่ใช่เรจจี้ ดไวท์มานานหลายสิบปีแล้ว แต่ถึงแม้จะไม่ได้เป็นเรจจี้คนเดิมอีกต่อไป เขาก็ยังสามารถเป็นเอลตันไปพร้อมๆ กับการเรียนรู้ที่จะรักและยอมรับความเป็นเรจจี้ที่ยังคงซ่อนอยู่ในส่วนใดส่วนหนึ่งของตัวเองไปพร้อมกันได้เสมอ

ก่อนที่เพลงสุดท้ายอย่าง I’m Still Standing จะดังขึ้น เอลตันบอกกับเบอร์นี่ที่มาเยี่ยมในสถานบำบัดว่า เขากลัวว่าถ้าตัวเองไม่ได้กินเหล้าและใช้ยาเสพติด เขาจะไม่สามารถทำเพลงดีๆ ออกมาได้อีก แต่เบอร์นี่กลับหัวเราะและปฏิเสธ พร้อมกับยื่นเนื้อเพลงที่ยังคงต้องการทำนองมาให้กับเอลตันแทน เราไม่รู้ว่าท่ามกลางการเดินทางในห้วงอวกาศแห่งชีวิตที่ยาวนานนี้ หลังการบำบัด ยานอวกาศของเอลตันจะได้เดินทางกลับมายังพื้นโลกอีกครั้งหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ ภาพชีวิตจริงของเอลตันในปัจจุบันที่ปรากฎขึ้นพร้อมกับเพลง (I’m Gonna) Love Me Again ซึ่งถูกขับร้องโดยเอลตัน จอห์น และ ทารอน อีเกอร์ตัน (และแน่นอนว่าแต่งโดยเพื่อนรักชั่วชีวิตของเขาอย่างเบอร์นี่) ในช่วง End Credit นั้นได้บอกกับเราว่า หนทางที่จะทำให้เขาสบายใจที่สุด ณ เวลานี้ อาจเป็นการกลับสู่พื้นโลกเพื่อรักและเชื่อมั่นในตัวเองอีกครั้งนั่นเอง

(I’m Gonna) Love Me Again – Elton John & Taron Egerton

Tags: ,