วันนี้ (28 ตุลาคม 2568) ที่ทำการพรรคประชาชน วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร รองหัวหน้าพรรคประชาชนและทีมเศรษฐกิจ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี Joint Statement ระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา โดยในเรื่องของการเจรจาภาษีต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) ที่ลดจาก 36% เหลือที่ 19% โดยปัจจุบันถือเป็น ‘ยกที่ 3’ ของการเจรจาซึ่งมีความสำคัญเป็นอย่างมาก

วีระยุทธระบุว่า ในการเจรจาเรื่องภาษีหลังจากนี้อยากให้รัฐบาลชักชวนผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าไปพูดคุยมากขึ้น เพราะการเจรจาครั้งที่ผ่านมา มีแต่แกนนำของแต่ละเซกเตอร์ (Sector) เข้าไปพูดคุยกับทีมไทยแลนด์ แต่ในรอบนี้ตนอยากให้รัฐบาลนำคนที่ได้รับผลกระทบจริงๆ เข้าไปพูดคุย เพื่อต่อรองว่า หากต้องมีการเยียวยา จะเยียวยาอย่างไร

รองหัวหน้าพรรคประชาชนมองว่า ใน Joint Statement รอบล่าสุดของสหรัฐฯ ทำให้ประเทศไทยเห็นว่าประเทศคู่แข่ง เช่น ประเทศเวียดนามและมาเลเซียต่อรองกับสหรัฐฯ อย่างไร ตนจึงอยากตั้งคำถามไปยังรัฐบาลว่า สิ่งที่ประเทศไทยนำไปแลกนั้นมากเกินไปหรือไม่

อย่างกรณีการซื้อเครื่องบินที่สหรัฐฯ บังคับทุกประเทศให้ซื้อ ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ประเทศไทยต้องซื้อมากที่สุดจำนวน 80 ลำ รวมมูลค่ากว่า 6 แสนล้านบาท ขณะที่เวียดนามและมาเลเซียซื้อเพียง 50 ลำ และ 30 ลำ ตามลำดับเท่านั้น

ในส่วนของสินค้าการเกษตร การเจรจากับไทยมีการระบุไว้ชัดเจนว่า ไทยจะซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ นำเข้าพลังงาน ขณะที่เวียดนามระบุไว้กว้างๆ เป็นเพียงจำนวนตัวเลข แต่ในรายละเอียดเปิดกว้าง เพื่อนำไปต่อรองภายในประเทศว่าจะซื้อสินค้าการเกษตรใดบ้าง

“เราเห็นคู่แข่งเขาชกอย่างไร และอะไรที่เราให้เยอะเกินไป เราอาจจะต้องเปลี่ยน เพราะยังมีโอกาสเปลี่ยน ยังไม่สรุปสุดท้าย อยากให้รัฐบาลพิจารณาตรงนี้” วีระยุทธชี้ข้อสังเกต

ขณะเดียวกัน สิ่งที่สหรัฐฯ ยึดเอาในการเจรจากับประเทศในทวีปเอเชียคือ ‘ภาษีดิจิทัล’ จากบริการและผลิตภัณฑ์ดิจิทัล ซึ่งเป็นแหล่งรายได้สำคัญของสหรัฐฯ ในเรื่องนี้ประเทศไทยมีการสูญเสียออกนอกประเทศ เนื่องจากไทยพึ่งพาบริการจากสหรัฐฯ เป็นจำนวนมาก

วีระยุทธกล่าวว่า ใน Joint Statement มีการระบุไว้ว่า ขอให้ประเทศไทยละเว้นการเก็บภาษี ในขณะที่เวียดนามไม่มีการระบุ เพียงแต่บอกว่าจะไปเจรจาเพื่อหาข้อสรุปต่อ ตนจึงอยากให้รัฐบาลกลับมาคุยในประเทศว่า หากเป็นแบบนี้จะคุ้มค่ากับสิ่งที่ได้มาหรือไม่

นอกจากนั้นแล้วสิ่งที่ระบุไว้ใน Joint Statement มีการขอให้กรมศุลกากรยกเลิกระบบการให้สินบนและรางวัลนำจับ ซึ่งเป็นระบบที่ประเทศไทยใช้มายาวนาน เป็นแหล่งรายได้ของกรมฯ และข้าราชการ แต่สหรัฐฯ ขอให้ยกเลิกระบบดังกล่าว ซึ่งในประเด็นนี้ยังไม่เคยคุยกันในประเทศ ตนจึงอยากให้ทาง เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง คุยในรายละเอียดให้ชัดเจนว่า มีผลได้-ผลเสียอย่างไร หากไทยต้องเว้นระบบนี้ให้กับสหรัฐฯ แล้วสินค้าจากประเทศอื่นจะต้องเว้นด้วยหรือไม่

ในส่วนของการลงนาม MOU เรื่องแร่หายาก (Rare Earth) รองหัวหน้าพรรคประชาชนมองว่า ‘ไม่น่าเป็นกังวลเท่าที่ควร’ เนื่องจากยังอยู่ใน ‘ยกที่ 1’ ประกอบกับการเดินทางมาประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน (Asean Summit) ครั้งที่ 47 ประจำปี 2025 ของ โดนัล ทรัมป์ (Donald Trump) ผู้นำสหรัฐฯ ครั้งนี้เป็น ‘ยุทธศาสตร์ภาพใหญ่’ ที่ต้องการเก็บรายละเอียดเรื่องแร่หายากกับประเทศต่างๆ ในภูมิภาค รวมถึงประเทศญี่ปุ่น ดังนั้นจึงมีการลงนามใน MOU

“ณ จุดนี้ยังไม่มีใครได้ใครเสีย เพราะยังเป็นยกที่ 1 เป็นการเปิดหน้าดูทิศทางว่าแต่ละฝ่ายจะเป็นอย่างไร แต่เราต้องเตรียมตัวแล้ว ต้องมีการสำรวจของเราเองด้วย หากมีการเจรจาแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ในอนาคตเรื่องสิทธิบัตรและผลประโยชน์ต้องชัดเจน ดังนั้นต้องเริ่มมีการพูดคุยแล้วจะปล่อยไว้ไม่ได้ ถ้าปล่อยไว้อาจจะถูกเอาเปรียบก็ได้” วีระยุทธมอง

รองหัวหน้าพรรคประชาชนฉายภาพว่า ประเด็นเรื่องแร่หายากนั้นมี 3 เรื่องใหญ่ที่ทับซ้อนกันอยู่ โดยเรื่องที่ใหญ่ที่สุดคือ ‘ภูมิรัฐศาสตร์’ (Geopolitics) กล่าวคือ หากไทยลงนาม MOU กับสหรัฐฯ แล้วกับประเทศมหาอำนาจอื่นเช่นจีน ไทยจะมีจุดยืนอย่างไรต่อไป

“ถ้าเกิดเราเริ่มจากการยอมมหาอำนาจประเทศหนึ่ง เราก็ต้องยอมมหาอำนาจประเทศอื่นต่อ และอาจจะต้องยอมให้เขามากกว่าด้วย” รองหัวหน้าพรรคประชาชนระบุความกังวล

ขณะเดียวกันสิ่งที่ต้องน่ากังวลอีกคือ ‘เรื่องสิ่งแวดล้อม’ ที่ สส.พรรคประชาชนพยายามเตือนว่า หากภายในประเทศยังไม่สามารถจัดการปัญหาแม่น้ำกก ก็เป็นที่น่ากังวลว่า หากไทยทำเรื่องนี้จริงจังในประเทศจะควบคุมมาตรฐานได้หรือไม่

และเรื่องใหญ่สุดท้ายที่วีระยุทธมองคือ การแบ่งปันผลประโยชน์ หากประเทศไทยมีสินแร่จริง และมีความสามารถในการผลิต ประเทศจะแบ่งปันผลประโยชน์อย่างไรไม่ให้เสียผลประโยชน์ในระยะยาว

Tags: , , , , , , , , , ,