วันนี้ (1 มิถุนายน 2568) มีการประชุมร่วมกันระหว่างกระทรวงการต่างประเทศ กองทัพบกและกระทรวงกลาโหม โดยเป็นการประชุมคณะกรรมการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Committee: JBC) ไทย-กัมพูชา ของฝ่ายไทย สืบเนื่องจากสถานการณ์การปะทะที่ช่องบก อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา
มาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวตอนหนึ่งว่า ไทยและกัมพูชามีความใกล้ชิดกันอย่างมาก ทั้งในระดับรัฐบาลและประชาชน จึงจำเป็นในการดำเนินการทุกวิถีทางไม่ให้สถานการณ์บานปลาย จนกระทบสถานการณ์ที่ดีของทั้ง 2 ประเทศ โดยหากมีการกระทบกระทั่งมากจะไม่เป็นผลดีกับฝ่ายใด
“หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวที่มีการปะทะกัน กระทรวงการต่างประเทศรู้สึกไม่สบายใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตามยืนยันว่า การดำเนินการของฝ่ายไทยเป็นไปตามกฎหมายระหว่างประเทศ และกฎหมายภายในอย่างเหมาะสม และได้สัดส่วนต่อสถานการณ์ ทั้งกฎหมายระหว่างประเทศและหลักปฏิบัติสากล”
ทั้งนี้สถานการณ์ทั้ง 2 พื้นที่ยังสงบ ชายแดนยังเป็นไปอย่างเรียบร้อย ด่านชายแดนทุกด่านยังเปิดตามปกติ และหลังเหตุการณ์ปะทะมีการหารือกันหลายระดับ มีการโทรศัพท์ไปยัง ปรัก สุคน (Prak Sokhonn) รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของกัมพูชา ว่าจะทำอย่างไรเพื่อยุติความตึงเครียดโดยเร็ว จากนั้นผู้บัญชาการทหารบกของทั้งสองประเทศก็ได้พบกัน พูดคุยกัน เพื่อลดความตึงเครียดแล้ว และเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม มาริษยังได้ไปพบ ปรัก สุคน (Prak Sokhonn) รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา รวมถึง สมเด็จมหาบวรธิบดี ฮุน มาเนต (Hun Manet) นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ในการประชุมนิคเคอิ ฟอรัม ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น และได้หารือกันแล้ว
“ทั้ง 2 ฝ่ายเห็นว่า เราจะต้องมีความร่วมมือกัน เพื่อลดความตึงเครียดในพื้นที่ ด้วยกลไกต่างๆ ที่มีอยู่ เป็นไปตามที่นายกฯ 2 ประเทศเห็นตรงกัน ให้เกิดความสงบเรียบร้อย มีเสถียรภาพตามชายแดน”
ขณะเดียวกันไทยและกัมพูชามีเจตนารมณ์ทางการเมืองในการแก้ปัญหานี้อย่างสันติผ่านกลไก JBC เป็นกลไกในเรื่องการเจรจา กำหนดเขตแดน ซึ่งผู้บัญชาการทหารบกทั้ง 2 ประเทศได้เสนอ กลไกการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee: GBC) ที่ได้ประชุมไปก่อนเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น และกลไกคณะกรรมการร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยบริเวณชายแดน (Regional Border Committee : RBC) ในการแก้ปัญหาให้ได้รับความสงบกลับคืนมา สำหรับกลไก JBC จะรีบจัดการประชุมให้เร็วที่สุด
“เพื่อให้เกิดความเรียบร้อยและไม่เกิดเหตุการณ์ที่บานปลายมากกว่านี้ ประเทศทั้งสองต้องไม่ดำเนินการใดที่ไม่ให้เกิดความตึงเครียดขึ้น ต้องใช้ความอดกลั้นในการไม่ทำให้สถานการณ์เลวร้ายกว่านี้ และให้กลไกในกรอบของ JBC ดำเนินการโดยเร็วเพื่อแก้ปัญหานี้ และฝากสื่อมวลชนต้องช่วยกันไม่ทำให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง รวมถึงระวังรักษา ไม่ให้มีการเผยแพร่ในสิ่งที่ไม่ควรเปิดเผยให้สถานการณ์แย่ลงไปกว่านี้” มาริษระบุ
ด้าน นิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ กล่าวว่า การดำเนินการของไทยเพื่อรักษาอธิปไตย รักษาบูรณภาพแห่งดินแดน จากการลุกล้ำของกองกำลังทหารติดอาวุธต่างประเทศตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และกฎหมายภายในของไทย การดำเนินการของไทยเป็นไปเพื่อป้องกันอธิปไตย ป้องกันตนเองอย่างเหมาะสมและได้สัดส่วน สอดคล้องหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และหลักสากลที่เกี่ยวข้อง สถานการณ์ยังคงมีความสงบตามชายแดน ส่วนการประชุม JBC จะจัดขึ้นโดยเร็ว ภายใน 1-2 สัปดาห์ข้างหน้า หรือไม่เกินภายในเดือนมิถุนายนนี้
ส่วนเรื่องโพสต์ของ สมเด็จ ฮุน เซน (Hun Sen) นิกรเดชระบุว่า ฮุน เซนสามารถโพสต์ได้ แต่ในฝั่งไทยต้องการให้สิ่งที่ออกมาทางสื่อสะท้อนความเป็นจริงมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
อธิบดีกรมสารนิเทศยังยืนยันด้วยว่า ขณะนี้ยังไม่มีแนวโน้มว่าจะมีเหตุปะทะรุนแรง และอยู่ในระหว่าง ‘ทางลง’ ที่ดีและสันติระหว่างกัน ฉะนั้นพร้อมในการเจรจาและพร้อมทุกสถานการณ์
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ฝ่ายการเมืองและฝ่ายทหารเห็นตรงกันหรือไม่ อธิบดีกรมสารนิเทศระบุว่า ทั้ง 2 ฝ่ายเห็นตรงกัน ทหารก็ไม่ต้องการปะทะ ทีมไทยแลนด์ทั้งทีม ทั้งฝ่ายทหาร ฝ่ายพลเรือน ข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ หรือกระทรวงอื่นๆ มุ่งไปที่การหาข้อยุติอย่างสันติวิธี
Tags: ช่องบก, นิกรเดช พลางกูร, มาริษ เสงี่ยมพงษ์, JBC, กัมพูชา, กระทรวงการต่างประเทศ