วันนี้ (14 ธันวาคม 2566 ) ธนาคารโลกได้เผยแพร่รายงาน Thailand Economic Monitor (TEM) ที่เผยให้เห็นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของไทยที่ชะลอตัวอย่างหนัก ขณะที่ผลผลิตมวลรวมของประเทศ (จีดีพี) ต่ำกว่าที่คาดมาก ในขณะเดียวกัน ทั้งหนี้ครัวเรือนและหนี้สาธารณะกลับพุ่งสูง
สำหรับ TEM ถือเป็นรายงานที่ติดตามความเคลื่อนไหวสำคัญของเศรษฐกิจไทยในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา โดยวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในบริบทของแนวโน้มโลกและวิถีเศรษฐกิจระยะยาวของไทย โดยนำเสนอข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับผลการดำเนินงานของเศรษฐกิจไทย รวมถึงการเติบโต การค้า การลงทุน การเงินภาครัฐ และตลาดแรงงาน
จากรายงานชี้ให้เห็นว่า การฟื้นตัวเศรษฐกิจของไทยชะลอลง โดยการเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 3 ปี 2566 อยู่ที่ 1.5% ซึ่งต่ำกว่าคาดการณ์มาก ขณะที่การส่งออกสินค้าหดตัวลง 3.1% และภาคการผลิตหดตัวลง 4.0% เนื่องจากความต้องการสินค้าจากต่างประเทศลดลง
นอกจากนี้ แม้การค้าและการบริการทั่วโลกจะฟื้นตัว รวมถึงยังมีมาตรการลดค่าครองชีพ การบริโภคภาคเอกชน และการท่องเที่ยวจะช่วยหนุนการฟื้นตัว แต่จำนวนนักท่องเที่ยวไทยยังคงอยู่ที่ 75% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนการระบาดของโรคโควิด-19 เมื่อเศรษฐกิจไทยพึ่งพาการค้าและการท่องเที่ยวเป็นหลัก จึงทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้ากว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียและฟิลิปปินส์
ในขณะที่เศรษฐกิจไทยชะลอการฟื้นตัว หนี้ครัวเรือนไทยกลับสูงมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ถึง 90.6% ของ GDP ณ ไตรมาส 1 ปี 2566 และสูงที่สุดในกลุ่มอาเซียน รวมถึงโครงสร้างหนี้ครัวเรือนไทยยังคงน่ากังวล เนื่องจากมีสัดส่วนของสินเชื่อแบบไม่มีหลักประกันสูงถึง 44% ของจีดีพี และการขึ้นดอกเบี้ยจะยิ่งทำให้ครัวเรือนมีภาระในการชำระหนี้เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ คาดว่าหนี้สาธารณะจะแตะระดับสูงสุดที่ 62.8% ในปีงบประมาณ 2567 เนื่องจากมาตรการลดค่าครองชีพที่ขยายตัวและการใช้จ่ายด้านภาษีของรัฐบาลใหม่ ทั้งนี้รายงานยังคาดการณ์ว่าหากโครงการดิจิทัลวอลเล็ตสามารถเริ่มดำเนินการในเดือนพฤษภาคม 2024 การเติบโตของจีดีพีจะสูงกว่าที่คาดการณ์พื้นฐาน 0.5-1% ภายใน 2 ปี อย่างไรก็ตาม หากมีการออกพระราชบัญญัติกู้เงิน 5 แสนล้านบาท ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต หนี้สาธารณะอาจพุ่งขึ้นไปแตะระดับ 65-66% ต่อ GDP
ทั้งนี้ คาดว่าการท่องเที่ยวและการบริโภคของภาคเอกชนจะเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก และการส่งออกสินค้าคาดว่าจะฟื้นตัวเนื่องจากการค้าโลกที่เอื้ออำนวย แม้เศรษฐกิจจีนจะชะลอลง ส่วนภาคการท่องเที่ยว ยังคงต้องติดตามว่าปัญหาเศรษฐกิจจีนจะส่งผลกระทบต่อไปอีกหรือไม่