วันนี้ (10 พฤศจิกายน 2568) ที่พารากอน ซีนีเพล็กซ์ ศูนย์การค้าสยามพารากอน นายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวตอนหนึ่งในงาน Moonshot Forum ครั้งที่ 1 ‘ยกเครื่อง 30 บาท ด้วย AI: รักษาดี อยู่ดี ตายดี’ โดยเปิดเผยถึงความท้าทายของโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคว่า ระบบงบประมาณปัจจุบันที่ใช้หลักรายหัวประชากรไม่เพียงพอต่อภาระค่าใช้จ่ายของโรงพยาบาล โดยเฉพาะในภาวะที่ต้นทุนการรักษาและราคายาเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ระบบบริการสุขภาพของเราทำงานแบบเปิด คือเมื่อมีผู้ป่วยมาก็ต้องรักษา แต่ระบบการเงินกลับเป็นระบบปิด งบประมาณรายหัวที่จัดสรรให้แต่ละปีไม่พอสำหรับต้นทุนจริงของโรงพยาบาล ทำให้เกิดปัญหาซ้ำซากทุกปี โดยเฉพาะเดือนสิงหาคม-กันยายน ซึ่งเป็นช่วงที่งบประมาณเริ่มขาด
นายแพทย์สุรพงษ์ยังชี้ให้เห็นว่า ระบบตรวจสอบและเบิกจ่ายของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ยังล่าช้า ข้อมูลไม่เชื่อมโยงกัน และการตรวจสอบบัญชีก็ใช้เวลานานหลายเดือน ทั้งที่ควรเปลี่ยนเป็นระบบตรวจสอบแบบเรียลไทม์ในระดับ ‘ชั่วโมงต่อชั่วโมง’ เพื่อให้สามารถเบิกจ่ายงบประมาณได้ทันทีและแม่นยำ
ทั้งนี้ นายแพทย์สุรพงษ์เสนอแนวทางใหม่ในการบริหารงบประมาณ โดยใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อคาดการณ์ภาระโรคและค่าใช้จ่ายล่วงหน้า 24 เดือน เช่น การทำนายจำนวนผู้ป่วยโรคไต มะเร็ง หรือโรคเรื้อรังอื่นๆ จากข้อมูลสุขภาพจริง ซึ่งจะช่วยให้การจัดทำงบประมาณสะท้อนต้นทุนได้ใกล้เคียงความจริงมากขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น งบประมาณหลักประกันสุขภาพแห่งชาติปี 2568 ที่เถียงกันว่าเพียงพอหรือไม่ ถูกเสนอไปตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2566 หมายความว่าต้องคาดการณ์ล่วงหน้าเกือบ 2 ปี ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยในยุคที่โลกเปลี่ยนเร็ว ทั้งนี้ ต้องใช้เทคโนโลยีเพื่อทำนายภาระโรคล่วงหน้า และบริหารงบแบบเรียลไทม์
ขณะเดียวกัน นายแพทย์สุรพงษ์ยังเสนอให้ประเทศไทยนำแนวคิด Value-Based Healthcare ที่ริเริ่มโดย ศาสตราจารย์ไมเคิล พอร์เตอร์ (Michael Porter) โดยนำกรณีประเทศสวีเดนมาปรับใช้ในการบริหารระบบสุขภาพ โดยเปลี่ยนจาก ‘จ่ายตามปริมาณบริการ’ เช่น จำนวนครั้งที่ฟอกไตหรือผ่าตัด ไปเป็น ‘จ่ายตามคุณค่าของผลลัพธ์’ เช่น การลดอัตราการตายหรือการปรับปรุงคุณภาพชีวิตผู้ป่วยให้ดีขึ้น โดยหลักการคือ คุณค่า (Value) = ผลลัพธ์การรักษาหารด้วยค่าใช้จ่าย
ทั้งนี้ที่ผ่านมา ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าจ่ายค่ารักษาตามจำนวนครั้ง ทำให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ถ้ามองที่ ‘คุณค่า’ ซึ่งคือผลลัพธ์หารด้วยต้นทุน จะสามารถใช้งบประมาณเท่าเดิมแต่ผู้ป่วยได้สุขภาพที่ดีขึ้น ถ้าผู้ป่วยฟื้นตัวดีขึ้นหรือมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น ระบบควรให้รางวัลกับผลลัพธ์นั้น
สำหรับสวีเดนเริ่มใช้แนวทางนี้ตั้งแต่ปี 2006 โดยอาศัยข้อมูลภาระโรคจากฐานข้อมูล National Quality Registries หรือฐานข้อมูลภาระโรคที่ครอบคลุมข้อมูลสุขภาพประชาชนกว่า 100 รายการ เพื่อใช้วิเคราะห์ผลลัพธ์และปรับระบบการจ่ายค่ารักษาให้สอดคล้องกับคุณค่าที่เกิดขึ้นจริง
นายแพทย์สุรพงษ์สรุปว่า หากประเทศไทยสามารถนำเทคโนโลยี AI และแนวคิด Value-based Healthcare มาใช้ร่วมกัน จะเป็นการปฏิรูประบบ 30 บาทฯ ให้เป็นมากกว่าแค่โครงการรักษาฟรี แต่เป็น ‘ระบบสุขภาพแห่งอนาคต’ ที่สร้างความเท่าเทียมและคุณภาพชีวิตที่ดีให้ประชาชนทุกคน
โดยสรุป การจ่ายเพื่อรักษาจะเป็นการจ่ายเพื่อผลลัพธ์สุขภาพที่ดี การจับงบประมาณแบบคาดเดา จะเป็นงบที่คาดการณ์แบบมีหลักการด้วย AI และจากการจัดระบบรักษาแบบแยกส่วน จะกลายเป็นการดูแลผู้ป่วยด้วยการมีทีมที่ดูแลสุขภาพอย่างครบวงจร ฉะนั้น ยุคใหม่ของ 30 บาทรักษาทุกโรค ซึ่งมี AI เป็นส่วนช่วย จะทำให้ 30 บาทรักษาทุกโรค เป็นโครงการที่รักษาดี อยู่ดี ตายดี อย่างมีศักดิ์ศรี และเท่าเทียม
Tags: สปสช., 30 บาท รักษาทุกโรค, เพื่อไทย, สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี, หมอเลี๊ยบ




