เมื่อวานนี้ (13 มีนาคม 2568) ที่ศูนย์การค้าแฟชั่นไอส์แลนด์ เศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะ Co-Founder หลักสูตร The NEXT Real ขึ้นกล่าวปาฐกถาในเวทีงาน Real Connext 2025 โดยระบุว่า 10 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจของไทยเติบโตเฉลี่ยเพียง 1.9% ขณะที่ประเทศในภูมิภาคเดียวกันมีอัตราเติบโตที่สูงกว่าไทยถึง 2 เท่า ดังนั้นแนวทางที่ประเทศไทยต้องให้ความสำคัญคือ ‘การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน’ เพราะตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่เพียงแค่ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิเท่านั้น
เศรษฐากล่าวว่า การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจะมีส่วนสำคัญในการเพิ่มศักยภาพและแก้ไขปัญหาหลายด้าน เช่น การดึงดูดการลงทุนต่างชาติและสร้างความมั่นใจในการลงทุน เนื่องจากอุตสาหกรรมใหม่อย่าง Data Center เป็นอุตสาหกรรมที่ต้องใช้พลังงานเป็นจำนวนมาก นอกจากนั้นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ยังสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจออกจากตัวเมืองให้เกิดการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์พื้นที่ใหม่ๆ
อดีตนายกฯ ยังระบุเพิ่มเติมถึง ‘แหล่งเงิน’ ที่จะนำมาพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งหมด 3 แหล่ง ดังนี้
- ยกระดับเพดานหนี้สาธารณะให้เหมือนประเทศพัฒนา เศรษฐากล่าวว่า ปัจจุบันหนี้สาธารณะต่อ GDP ของประเทศถูกกำหนดเพดานไว้ที่ระดับ 70% ซึ่งปัจจุบันอยู่ในอัตราที่ 60-65% ขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศกำหนดไว้สูงกว่า 70% เช่นญี่ปุ่นมีหนี้สาธารณะต่อ GDP สูงถึง 200%
- ออกตราสารหนี้และดึงดูดต่างชาติเข้ามาลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ เช่นโครงการ Entertainment Complex ซึ่งสามารถดึงดูดบริษัทหลักทรัพย์จากต่างประเทศได้
- ฟื้นฟูการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล (Overlapping Claims Area: OCA) เพื่อแบ่งประโยชน์จากทรัพยากรก๊าซธรรมชาติใต้พื้นที่ทับซ้อนที่มีมูลค่ากว่า 20 ล้านล้านบาท
เศรษฐากล่าวเพิ่มเติมว่า พลังงานนี้เป็นพลังงานไม่สะอาด ซึ่งในอนาคตจะไม่มีความต้องการใช้ เพราะธุรกิจส่วนใหญ่หันไปใช้พลังงานสะอาดอื่นๆ ทดแทน อย่างไรก็ตามที่ก๊าซธรรมชาติเหล่านี้มีมูลค่าถึงกว่า 20 ล้านล้านบาท ซึ่งสูงกว่างบประมาณแผ่นดินประเทศไทยปีที่ผ่านมา
“หากนำมาแบ่งผลประโยชน์กันเหลือมูลค่าฝ่ายละ 10 ล้านล้านบาท ประเทศไทยจะมีงบประมาณแผ่นดินเกือบ 3 ปีเลยทีเดียว แต่หากไม่รีบเจรจา ไม่รีบนำมาใช้ อนาคตก็จะไม่มีใครต้องการใช้” อดีตนายกฯ กล่าว
Tags: พลังงานสะอาด, หนี้สาธารณะ, เศรษฐา, OCA, พื้นที่ทับซ้อนทางทะเล, เศรษฐกิจ, จีดีพี, งบประมาณ