ในรายการ b-holder: The Lost Decades ทาง The Momentum ซึ่งออกอากาศไม่นานนี้ ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ได้วิเคราะห์โจทย์การเมือง ภายใต้ 2 ทศวรรษที่สูญหาย และหาทางไปต่อจาก ‘วงจรอุบาทว์’ ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยแบบ 2 ใบอนุญาต
The Momentum คัดบางช่วงบางตอน และตั้งคำถามสำคัญว่า หากต้องจัดระบบโครงสร้างทางการเมืองใหม่ สิ่งที่ ปิยบุตร ตั้งโจทย์ไว้คือเรื่องอะไร
ปิยบุตรบอกว่า เรื่องสำคัญคือในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา ไทยยังคงวนเวียนอยู่ในวงจรของการรัฐประหาร ชนชั้นนำแทรกแซงการเมืองในรูปแบบประชาธิปไตย 2 ใบอนุญาต และการใช้นิติสงคราม ซึ่งขัดขวางการปฏิรูปการเมืองไทย
-
ประชาธิปไตย 2 ใบอนุญาต
สำหรับ ‘ประชาธิปไตย 2 ใบอนุญาต’ คือ นักการเมืองได้ใบอนุญาตใบแรกจากการเลือกตั้งของประชาชนเพื่อเข้าสู่อำนาจรัฐก่อน แต่เมื่อเข้าไปเป็นรัฐบาลแล้วก็จะมีใบอนุญาตใบที่ 2 เข้ามากำกับการใช้อำนาจ เลือกได้ว่า รัฐบาลจะต้องออกจากอำนาจการเมืองเมื่อไร หรือเมื่อได้รับการเลือกตั้งมาแล้ว แต่ผู้ถือใบอนุญาตใบที่ 2 ไม่อนุญาต ก็อาจถึงขั้นไม่สามารถเป็นรัฐบาลได้ โดยใช้อำนาจผ่านองค์กรอิสระ ศาลรัฐธรรมนูญ หรือการทำรัฐประหาร ซึ่งเจ้าของใบอนุญาตใบที่ 2 คือบรรดาชนชั้นนำดั้งเดิมที่มีจำนวนน้อย แต่มีอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมือง
เมื่ออำนาจของใบอนุญาตใบที่ 2 คือ ชนชั้นนำเข้มข้นกว่าใบอนุญาตใบแรกคือ อำนาจของประชาชน ก็จะทำให้นักการเมืองมุ่งไปให้ความสำคัญกับใบอนุญาตใบที่ 2 เพื่อความชอบธรรมในการเข้าสู่อำนาจรัฐ ดังนั้นกลุ่มนักการเมืองที่อาสาเข้ามาเป็นตัวแทนของประชาชนควรจะนั่งคิดกันว่า จะเอาระบบประเทศเป็นแบบไหน แล้วไปออกแบบร่วมกันไม่ให้อำนาจของใบอนุญาต 2 สูง
และเมื่อนักการเมืองและพรรคการเมืองเข้าสู่อำนาจรัฐ ชนชั้นนำผู้มีใบอนุญาตใบที่ 2 ก็จะจำกัดขอบเขตอำนาจของรัฐบาลมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ตัวเองมีอำนาจในการกำกับรัฐบาลเพิ่มมากขึ้น
-
นิติสงคราม
ในสายตาของปิยบุตร ตั้งแต่ตุลาการภิวัฒน์เกิดขึ้นในปี 2549 พัฒนาเป็นนิติสงครามแบบทุกวันนี้ มีการใช้กฎหมายเป็นอาวุธทำลายศัตรูทางการเมือง ทำให้ผู้ที่จะเข้ามารับตำแหน่งทางการเมืองมีอำนาจในการดำเนินนโยบายไม่เต็มสูบ เนื่องจากต้องคอยกังวลว่าจะถูกร้องเรียน ซึ่งอาจจะถูกร้องเรียนตั้งแต่ช่วงเลือกตั้ง ทำให้พรรคการเมืองต่างๆ ไม่กล้านำเสนอนโยบายที่มีความแหลมคม ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับทั่วโลกที่เรียกร้องให้มีรัฐบาลมุ่งมั่นทำอะไรใหญ่ๆ อย่างการปฏิรูปโครงสร้างประเทศ
ปิยบุตรยังมองว่า เมื่อนิติสงครามถูกใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการขีดวงให้กับบรรดานักการเมืองจากการเลือกตั้งเดินได้แคบลงเรื่อยๆ เมื่อรัฐบาลไม่สามารถนำพาประเทศไปสู่การปฏิรูปประเทศครั้งใหญ่ได้ ก็จะเกิดการมองว่า เมื่อเลือกตั้งกันเสร็จก็ปฏิรูปไม่ได้ ต้องไปอยู่ในมือของผู้ที่ยึดอำนาจ แต่จริงๆ แล้วระบบการเลือกตั้งก็สามารถหารัฐบาลที่มีเจตจำนงที่ดี สามารถออกแบบรัฐธรรมนูญที่มีศักยภาพ และมีอำนาจในการส่งมอบนโยบายสำคัญๆ ได้
ทั้งนี้ปิยบุตรไม่ได้มองว่า นักการเมืองไม่จำเป็นต้องมีการตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจ การถ่วงดุลอำนาจและตรวจสอบสามารถทำได้แต่ต้องไม่ใช่การ ‘แทรกแซง’ จนทำให้รัฐบาลไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้
-
การจัดวาง ‘อำนาจ’ ใหม่ แก้ปัญหาการเมืองวนลูป
เมื่อถามว่าต้องแก้ไขอย่างไรไม่ให้การเมืองไทย ‘วนลูป’ เหมือนกับที่เป็นมาตลอด 2 ทศวรรษที่ผ่านมา ปิยบุตรเสนอให้แก้ไข 4 ข้อ ได้แก่
-
จัดวางบทบาทตำแหน่งของพระมหากษัตริย์ในฐานะประมุขของรัฐ กับสถาบันทางการเมืองอื่นๆ
-
จัดบทบาทของกองทัพไม่ให้เข้ามามีบทบาททางการเมือง เศรษฐกิจ และการบริหารราชการแผ่นดิน
-
จัดระบบอำนาจขององค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ให้ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการทำนิติสงคราม ล้มรัฐบาล และกำจัดศัตรูทางการเมือง
-
แก้พฤติกรรมนักการเมืองสไตล์บ้านใหญ่และเครือข่ายอุปถัมภ์
ทั้งนี้ว่าด้วยเรื่องผู้ที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลง ปิยบุตรชี้ว่า จะต้องอาศัยพลังการเมืองชุดใหม่ เพราะพลังการเมืองชุดเก่ามีวิธีคิดที่เลือกจะประคับประคองตัวเองเข้าสู่อำนาจ มากกว่าจะปฏิรูปการเมืองไทยขนานใหญ่และจะทำให้การเมืองไทยวนลูปอยู่ที่เดิม โดยพลังการเมืองกลุ่มใหม่จำเป็นที่จะต้องสร้างฉันทานุมัติกับประชาชนให้เห็นว่า การเมืองไทยใน 20 ปีที่ผ่านควรต้องมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทั้งในทางเศรษฐกิจและการเมือง แต่โจทย์คือจะแสดงให้ประชาชนเห็นอย่างไรว่า มีความสามารถในการนำพาประเทศหรือทำให้คนไทยมองเห็นภาพสังคมแบบใหม่ที่ทำให้เขาเชื่อว่าควรเปลี่ยน
“พลังทางการเมืองกลุ่มเดิมน่าจะเหลือพื้นที่ในสมองคิดเรื่องการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่น้อยลงเรื่อยๆ เพราะไปติดปัญหาของตัวเอง แก้ปัญหาของตัวเองเป็นงูกินหาง แก้การเมืองสไตล์บ้านใหญ่เป็นงูกินหาง จนไม่เหลือพื้นที่การคิดอะไรใหม่ๆ เพราะฉะนั้นพลังทางการเมืองกลุ่มใหม่ต้องคิดเรื่องใหม่ๆ และต้องพยายามทลายกรอบที่ขังเอาไว้อยู่ทุกวันนี้”
ปิยบุตรยังยกตัวอย่างกรณีตั้งแต่พรรคอนาคตใหม่มาจนถึงพรรคประชาชนปัจจุบัน ที่จะต้องฟื้นความชอบธรรมของนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง เพราะหากสังคมส่วนใหญ่ยังมองนักการเมืองว่า มีแต่การทุจริตคอร์รัปชันเป็นพวกบ้านใหญ่ที่เข้ามาเล่นการเมือง เพราะต้องการหาสัมปทานอำนาจรัฐใช้เงินมหาศาลในการเลือกตั้ง และเข้ามาหาเงินทอนในการเป็นนักการเมืองเพื่อเอาเงินไปใช้ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป ก็จะเป็นการเมืองวนลูปกลับไปกลับมาทำให้ประชาชนเบื่อ
ทั้งนี้แม้พลังการเมืองกลุ่มใหม่จะถูกสนธิกำลังโดยชนชั้นนำ ไม่ให้เข้ามามีอำนาจทางการเมือง อย่างการใช้นิติสงครามยุบพรรค ปิยบุตรยังมองว่า ความเปลี่ยนแปลงยังคงเดินหน้าต่อไปได้เรื่อยๆ ถึงแม้จะเลื่อนการเลือกตั้งออกไปให้เกิดขึ้นช้า เพราะมองว่าหากเกิดการเลือกตั้งขึ้นในเวลานี้พลังการเมืองที่ตนต่อต้านจะชนะ แต่ท้ายที่สุดเมื่อการเลือกตั้งเกิดขึ้น พวกเขาก็จะชนะอยู่ดี และความเปลี่ยนแปลงก็จะเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ
ปิยบุตรทิ้งท้ายว่า การจัดวางอำนาจใหม่เพื่อไม่ให้การเมืองวนลูปอาจจะต้องใช้เวลาอีก 20-25 ปี ให้สำเร็จ ซึ่งตนคงเข้าสู่บั้นปลายของชีวิตจะเป็นการเซตระบบให้ประชาธิปไตย ระบบรัฐสภา และระบบผู้แทนราษฎรให้มั่นคง พร้อมที่จะให้คนเจเนอร์เรชันใหม่ได้ขบคิดกันในโจทย์ใหม่ๆ ได้
“ปีนี้ผมอายุ 45 ปี อีก 20-25 ปี น่าจะแก้เรื่องพวกนี้ได้ หลังจากนั้นเจเนอเรชันใหม่ๆ ก็จะได้มานั่งคุยกันเรื่องเทคโนโลยี เรื่องอะไรต่างๆ พวกนี้กำลังจะเซตระบบให้เข้าที่ สร้างสนามกติกาที่เป็นกลาง แล้วหลังจากนั้นแต่ละคนก็จะได้มาเสนอว่า ฉันคิดว่าลัทธินี้ตอนนี้ดีกว่า ฉันคิดว่าโลกไปไกลแล้ว มีตัวแบบใหม่ๆ ไหมในการออกแบบสถาบันการเมือง สถาบันทางเศรษฐกิจต่างๆ”
Tags: การเมือง, กองสลากกินแบ่งรัฐบาล, ชนชั้นนำ, ปิยบุตร, นิติสงคราม