12 ชั่วโมงแล้วที่ฝนยังตกลงมาไม่ขาดสาย น้ำที่ไต้หวันไม่หมดฟ้าหรืออย่างไร

​5 ทุ่ม ฉันกับเพื่อนอีกสอง (ชาย 1 หญิง 1) นั่งดื่มเบียร์ชิงเต่าในล็อบบี้ที่พัก เพลง ‘No Woman, No Cry’ ของบ็อบ มาร์ลีย์ (Bob Marley) ดังคลอไปทั่วห้อง น่าจะเป็นเพลย์ลิสต์ของฝรั่งสองคนที่นั่งดื่มเบียร์อยู่เหมือนกัน พวกเราทั้งหมดดูเงียบสงบกันดี ผิดกับฝนด้านนอกที่ตกอย่างโกรธเกรี้ยว คิดย้อนไปว่าทั้งวันเจออะไรบ้างก็ช่างเหน็ดเหนื่อย แต่ก็สะใจชีวิตดีเหมือนกัน

 

​ได้ยินกิตติศัพท์มาก็นานที่บอกว่าประเทศหมู่เกาะมีฝนตกเป็นเรื่องปกติ เหมือนที่ประเทศไทยแดดออก แต่ตกขนาดนี้มันเกินไป

ฉันและเพื่อนมาถึงไทเปตอนตี 5 ท้องฟ้าเป็นสีเทาทะมึน ไม่มีแสงแดดมาต้อนรับให้ชื่นใจอะไรทั้งนั้น ขอเล่าย้อนถึงนาทีชีวิตสักหน่อย ตอนที่กัปตันประกาศว่าเครื่องกำลังจะแลนดิ้งลงสนามบินเถาหยวน ท้องฟ้าข้างนอกมืดดำ เห็นฟ้าแลบแปลบปลาบ ตอนนั้นหูอื้อไม่ได้ยินอะไร มองไปรอบข้าง ทุกคนตื่นเต็มตา แต่เสียงเงียบสนิททั้งลำ

​ไม่แน่ใจว่าในความเป็นจริง เรานั่งโยกอยู่บนเครื่องกี่นาที แต่ที่ฉันรู้สึก มันเหมือนยาวนานเป็นปี เครื่องบินโดนเหวี่ยงไปซ้ายทีขวาที ขึ้นลง ขึ้นลง เหมือนนั่งเรือไวกิ้งที่ดรีมเวิลด์ แต่มันไม่สนุกแบบนั้นหรอก เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้น มีแต่ผืนฟ้ากับท้องน้ำที่รองรับอยู่เท่านั้น ก้อนอ้วกขึ้นมาจุกที่คอ ฉันพยายามกลืนและภาวนาถึงพ่อแม่ให้ช่วยส่งจิตมาคุ้มครองลูกด้วย

​คิดภาพว่ากัปตันก็คงทำหน้าที่ของตัวเองอย่างถึงที่สุด พยายามเอาเครื่องลงให้ได้อย่างปลอดภัยและนิ่มนวล ฉันนั่งจิกมือตัวเองอยู่ประมาณปีครึ่งได้ ก่อนที่เครื่องจะลงจอดอย่างทุลักทุเล แต่ถือว่าดีเยี่ยมสำหรับสภาพอากาศแบบนี้

​“มรสุมใหญ่ในรอบ 20 ปีของไต้หวัน ต้อนรับกันแบบนี้เลยเหรอ” ฉันพูดกับเพื่อนเพื่อพยายามปลอบประโลมกันเอง ใครจะหาว่ามาเที่ยวทำไมไม่ดูฤดูกาล ใครเขาเที่ยวกันหน้าฝน ฉันขอบอกตรงนี้เลยว่า ตอนจองตั๋วต้นปี รู้ดีว่ามิถุนายนคือฤดูฝน แต่พยากรณ์อากาศยังไม่บอกว่าจะโหดร้ายทารุณเช่นนี้ แต่เอาเถอะ ไหนๆ ก็มาแล้ว ขอเจอไต้หวันสีเทาซะหน่อย อยากเปียก

บรรยากาศข้างทางตอนนั่งรถบัสออกจากสนามบิน

​หอบกระเป๋ามาคนละใบสองใบ เดินออกมานั่งรถบัสเข้าเมือง ปลายทางคือ Taipei Main Station ศูนย์กลางการเดินทางของไทเป มีรถไฟและรถบัสเพื่อต่อไปที่อื่นได้หมด เรียกว่าถ้ามาเที่ยวไทเป อยู่ใกล้ๆ แถวนี้ไว้ไม่มีหลง ค่ารถตกคนละ 125 NT$ (1 NT$ = 1.15 BHT ค่าเงินวันที่ 1 มิถุนายน 2560) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาที รถก็จอดเทียบท่าเมนสเตชั่น

ฝนที่เคยตกแรงเพลาลงมาแล้ว ตอนนี้ไทเปตอนเช้าเป็นสีเทาไปทั้งเมือง เทาทั้งสีท้องฟ้า สีตึก สีถนน และขอโทษที่ต้องขอแซวว่าสีหน้าผู้คนก็เทาเหมือนกัน ฉันไม่ได้หมายถึงใช้รองพื้นผิดเบอร์อะไรอย่างนั้น แต่คนที่นี่หน้านิ่ง มุ่งมั่น และมีความเรียบเฉยต่อสรรพสิ่งสุดๆ มีแต่ไท่กั๋วสามคน (ไท่กั๋ว เป็นคำเรียกคนไทยของคนจีน) ที่ตื่นเต้นกับแผ่นดินใหม่ที่ใช้ยืน

​พวกเราลากกระเป๋าผ่านฟุตปาธอย่างเรียบรื่นโดยที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน นึกสงสัยว่าปูนที่นี่เขาดีกว่าไทยหรืออย่างไร ทำไมฉาบแล้วไม่เห็นมีรูให้สะดุด หรือกับดักกระเบื้องหลวมอะไรเลย

​เดินมาได้ไม่ถึงกิโลฯ ก็ถึงที่พัก เอาของเก็บเรียบร้อย ตอนนั้นฟ้ายังใสอยู่ (ใสแบบเทาๆ) และก็เช้ามาก เลยตัดสินใจจะลุยกันเดี๋ยวนั้นเลย เดินออกมาที่สถานีเพื่อขึ้นรถไฟ (TRA) ไป Ruifang เมืองที่ออกจากไทเปไปไม่ไกล มี Old Street กับหมู่บ้านแมว เขาว่ากันว่าเราจะได้สัมผัสบรรยากาศชนบทของไต้หวัน แต่ยังมีความชิคอยู่

เอ้า ไปไหนก็ไป คึกมาก เร็วๆ ก่อนที่ฝนจะตกลงมาอีกรอบ

ไต้หวันสีเทา และฟุตปาธที่ไร้รอยตะเข็บ

ซื้อตั๋วกันเรียบร้อย จ่ายเงินกันคนละ 76 NT$ (ประมาณ 80 กว่าบาท) ก็ได้ที่นั่งบนรถไฟแอร์เย็นเฉียบ ตามบัตรบอกว่าเดินทางครึ่งชั่วโมงถึงที่หมาย รถไฟมาตรงเวลามาก ซึ่งไม่คุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง และถึงตรงเวลามากเช่นกัน

​พวกเราลงมายืดเส้นยืดสายได้ไม่ถึงห้านาที ยังไม่ทันได้รูปที่ถูกใจ และยังไม่ก้าวออกจากสถานีรถไฟด้วยซ้ำ ฟ้าที่สีเทาอยู่แล้วก็กลายเป็นสีดำ และฝนก็เทลงมาเหมือนคนยกถังราดใส่หัว จากเมืองที่เงียบอยู่แล้วก็กลายเป็นเมืองที่ไม่มีผู้คนสัญจรบนถนนเลย

​บ้านเรือนตั้งเรียงอยู่เชิงเขา มีร้านไอศกรีมน่ารักอยู่ติดสถานีรถไฟ แต่นาทีนี้ การกินไอศกรีมคงไม่ใช่กิจกรรมที่ควรทำเท่าไรนัก พวกเราเก็บกล้องไว้ใต้เสื้อคลุม ที่เหลือคือตัวสดๆ ไม่มีร่ม ใส่รองเท้าหนังและผ้าใบ สภาพเหมือนจะไปเที่ยวเมืองหนาวมากกว่าพร้อมดวลฝนตก อย่างไรก็ตาม พวกเราไม่เคยกลัว วิ่งไปหาลุงที่เปิดร้านขายร่มอยู่ข้างทาง มีตู้เบียร์และเครื่องดื่มตั้งอยู่ด้านหลัง ใจหนึ่งก็อยากกินเบียร์ไต้หวันเร็วๆ อีกใจก็บอกว่าควรหาที่หลบฝนก่อนจะเมา ดังนั้นจึงได้ร่มสีขาวมาในราคา 60 NT$ ซึ่งกว่าจะซื้อเสร็จ หัวก็เปียกลีบเละเทะหมดแล้ว

มองหาร้านอาหารที่พอจะกินได้ แล้วก็พบว่าเขาคงนอนดูทีวีสบายใจ ไม่ออกมาขายในวันที่ไม่มีคนแบบนี้ คำว่าไม่มีคนคือไม่มีจริงๆ แบบ ไม่มีใครเลยยยยย มีแต่ไท่กั๋ว 3 คน ที่มาเดินเปียกอะไรตรงนี้ เราจึงซมซานไปหาร้านขายขนมหวาน ได้ Tofu Pudding มาถ้วยนึง มีถั่วกับเครื่องหวานกับพุดดิ้งใส่ในน้ำเชื่อม อร่อยงดงามมาก

บรรยากาศข้างทางตอนนั่งรถไฟออกนอกเมือง

​กินยังไม่อิ่ม และฝนก็ยังไม่หยุดตก และไม่รู้จะไปที่ไหนต่อ มองเห็นร้านสะดวกซื้ออยู่ใกล้ๆ และเห็นแววว่าจะมีร้านขายซาลาเปาอยู่ข้างๆ เลยเดินฝ่าฝนไปหาอย่างรวดเร็ว

​สภาพร้านเหมือนร้านขายก๋วยเตี๋ยวบ้านเรา ข้างในมีโต๊ะเก่าๆ อยู่ 1 โต๊ะถ้วน และมีป้าท่าทางใจดีชี้ชวนให้กินซาลาเปาที่วางในตู้ เราพยายามหาภาษาอังกฤษเพื่อจะสื่อสาร แต่ไม่มีเลย

“Pork one” เพื่อนฉันชี้ไปที่ตู้ แล้วยกนิ้วชี้ขึ้น 1 นิ้ว เพื่อบอกป้าว่าอยากได้ซาลาเปาไส้หมู 1 ชิ้นจ้า ป้ายังคงยิ้ม แต่ทำหน้างง

“Pigๆ” ฉันลองเปลี่ยนศัพท์ให้ง่ายขึ้น ป้ายังยิ้มและงงอยู่ ก่อนวิ่งเข้าไปในร้านหาปากกาและกระดาษ เห็นตั้งอกตั้งใจเขียนอะไรอยู่สักพัก ก่อนจะวิ่งออกมาด้วยความภาคภูมิใจ กระตือรือร้นชี้ให้เราดูที่กระดาษ

​ภาพที่เห็นเป็นภาพน่ารักมาก รูปวาดหมูหน้าตาน่าชัง ฝีมือจากปลายปากกาของป้าเจ้าของร้าน ลายเส้นคมชัด จังหวะโค้งเว้ารู้เลยว่าเป็นเส้นที่มั่นใจ พร้อมรอยยิ้มจริงใจของป้า (ยิ้มแบบคนไต้หวัน จะไม่ใช่การฉีกยิ้มตาใสเหมือนคนไทย แต่เป็นยิ้มเรียบๆ แต่น้อย) ด้วยความเป็นกันเอง พวกเราเลยซื้อซาลาเปาหมูอู๊ดๆ มา 2 ชิ้น และหมั่นโถวอีก 1 ชิ้น ราคาไม่แพงมาก ประมาณชิ้นละ 10 บาท ว่าแล้วก็หาที่นั่งกินตรงเก้าอี้หน้ามินิมาร์ทนั่นแหละ

ร้านไอศกรีมข้างสถานีรถไฟ Ruifang

​กัดไปคำแรก ไม่อร่อยเลย เย็นชืด หมูไร้รสชาติเหมือนไม่ถูกปรุง แต่ด้วยแววตาลุ้นของป้าที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ทำให้ฉันต้องทำทีเหมือนอร่อยมาก ซึ่งอันที่จริงอาจจะเป็นรสชาติซาลาเปาที่ถูกต้องแล้ว แต่ซาลาเปาแบบไทยๆ มันถูกเติมรสจนเราชินปาก พอมาเจอแบบนี้เลยไปไม่เป็น ที่แย่ไปกว่านั้นคือหลังคารั่ว ฝนตกลงมาใส่ซาลาเปาเกือบเต็มลูก ที่เย็นชืดอยู่แล้วยิ่งชุ่มฉ่ำไปอีก เอาเข้าไปชีวิต

​กินซาลาเปากันไปคนละครึ่งลูก กับน้ำเปล่า 2 ขวด ก็ยังไม่มีท่าทีว่าฝนจะหยุดตก พลันก็คิดปรัชญาชีวิตขึ้นมาได้ว่า ถ้าเรามัวแต่รอฝนหยุดตก เราก็กำหนดชีวิตตัวเองไม่ได้ ดังนั้น เราควรออกลุยตามแพลนที่วางไว้ นั่นคือไปจิ่วเฟิ่น (Jiufen) เมืองเชิงเขาที่ว่ากันว่าเป็นแรงบันดาลใจของเรื่อง Spirited Away

​ฝนมันไม่สนใจหรอกว่าเราจะเปียกปอน กระเป๋าตังค์บวม หรืออยากออกไปเที่ยวไหนต่อ แต่ตัวเราเองนี่แหละพร้อมที่จะลุยฝนไหม พอตอบตัวเองได้ชัดเจน และโชคดีที่เพื่อนร่วมทางก็ไม่มีใครกลัวฝน เราจึงตัดสินใจลุยต่อไปจิ่วเฟิ่นทันที โดยที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องขึ้นรถบัสที่ป้ายไหน

​หลังจากพวกเราเปียกปอนที่สุดในชีวิต ยืนรอรถเมล์ไปจิ่วเฟิ่น รู้สายรถเมล์ชัดเจน แต่ไม่แน่ใจทิศทาง เลยถามป้าที่ยืนอยู่ตรงนั้น เป็นตัวละครป้าคนที่สองที่ช่วยชีวิตพวกเราไว้อีกครั้ง ก่อนที่พวกเราจะได้เจอจิ่วเฟิ่น เมืองสีเทาสลับสีแดงที่งดงามมากเมืองหนึ่งเท่าที่เคยเจอ

Ruifang ที่ไร้ผู้คน​

(อ่านต่อตอนที่ 2)

 

ภาพ: สิริชัยนรินทร์ สมมีชัย

 

FACT BOX:

  • ไต้หวันเป็นเกาะ มีพื้นที่ 35,980 ตารางกิโลเมตร (อันดับ 139 ของโลก – ประมาณพื้นที่ภาคตะวันออกของประเทศไทย) ถ้ามีเวลาเยอะๆ เหมาะจะไปเที่ยวมาก เพราะมีทั้งทะเล ภูเขา และเมืองที่จัดระเบียบมาแล้วอย่างดี อาคารบ้านเรือนสวยงาม การคมนาคมสะดวก
  • ที่ไต้หวันเวลาเร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมง
  • ไต้หวันใช้สกุลเงินดอลลาร์ไต้หวันใหม่ (TWD) หรือเรียก NT$ ค่าเงินใกล้เคียงไทยมาก เวลาใช้จ่ายไม่ต้องคำนวณให้ปวดหัว
  • รถไฟที่ไต้หวันมีหลักๆ อยู่ 3 แบบ คือ (1) MRT เป็นรถไฟวิ่งในเมือง มีสถานีเหมือนรถไฟฟ้าบ้านเรา แต่ขึ้นลงใต้ดินบนดินเชื่อมกันเลย ไม่ต้องซื้อบัตรใหม่ (2) TRA รถไฟธรรมดา เหมือนรถไฟไทยนี่แหละ แค่วิ่งเร็วกว่า สะอาดกว่า และตรงเวลากว่าเท่านั้นเอง (3) THSR (Taiwan High Speed Rail) รถไฟความเร็วสูง สามารถย่นเวลาการเดินทางจาก 5-6 ชั่วโมง เหลือ 1 ชั่วโมงครึ่งได้ ตั๋วแพงเท่าเครื่องบิน (ประมาณ 1,000 กว่า NT$) แต่เป็นประสบการณ์ที่ควรลิ้มลองอย่างมาก แล้วจะรู้ว่าการถ่ายรูปข้างทางไม่ทันเป็นเช่นไร
  • กับข้าวที่ไทเปไม่ค่อยอร่อย จริงๆ ก็คงแล้วแต่คน ซึ่งคงไม่นับเป็น Fact แค่อยากเล่าให้ฟังเฉยๆ
  • ที่นี่เวลาซื้อของในมินิมาร์ท พนักงานจะไม่ให้ถุง ไม่ว่าจะซื้อของเต็มมือขนาดไหน ถ้าอยากได้ต้องจ่าย 1 NT$
  • สิ่งที่ดีงามมากในการเดินทางของที่นี่ คือ easy card ซื้อได้ตามมินิมาร์ท เติมเงิน แล้วใช้แตะขึ้นรถบัส MRT รถนำเที่ยวบนเขา ได้หมด ใช้ซื้อชาเขียวยังได้ อีซี่จริงๆ
  • คนไทเปพูดอังกฤษเก่ง เท่าที่คุยด้วย ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ และเกือบทุกอาชีพ พูดอย่างคล่องแคล่ว
  • ไต้หวันเคยถูกญี่ปุ่นปกครองอยู่กว่า 50 ปี บ้านเมืองและผู้คนจึงมีระเบียบ แม้จะเป็นคนจีน แต่ก็มีวัฒนธรรมต่างจากจีนแผ่นดินใหญ่อยู่มาก

 

Tags: , , ,