ไม่กี่วันก่อน รัฐบาลเกาหลีเหนือออกแถลงการณ์ว่า “สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี เป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่ครอบครองนิวเคลียร์และขีปนาวุธทันสมัยที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมา”
ก่อนหน้านี้ วันที่ 7 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สำนักข่าว BBC เปิดเผยข้อมูลที่ได้จากองค์การสหประชาชาติ (UN) ระบุว่าระหว่างปี 2020-2021 เกาหลีเหนือได้กระทำการโจรกรรมทางไซเบอร์ ขโมยสินทรัพย์ดิจิทัลมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยเฉพาะคริปโตเคอร์เรนซีมูลค่า 50 ล้านดอลลาร์ฯ (ประมาณ 1,650 ล้านบาท) เพื่อนำเงินที่ได้มาลงทุนในกองทัพกับโครงการพัฒนาขีปนาวุธและนิวเคลียร์ ทำให้อาจเชื่อได้ว่า แหล่งรายได้ที่มีบทบาทต่อเกาหลีเหนืออย่างมากในเวลานี้ คือการลอบขโมยเงินดิจิทัลในตลาดแลกเปลี่ยนของชาติอื่น ทั้งสหรัฐอเมริกา ประเทศในยุโรป และเอเชีย
UN ยังระบุอีกว่า ในปี 2019 เกาหลีเหนือสามารถสะสมเงินได้ 2 พันล้านดอลลาร์ฯ ด้วยการโจมตีทางไซเบอร์ ขโมยข้อมูลขององค์กรระหว่างประเทศอื่นๆ ควบคู่กับการแฮกเหรียญดิจิทัล นอกจากนี้ ข้อมูลจากเชนาไลซิส (Chainalysis) บริษัทรักษาความปลอดภัย คาดการณ์ว่าในปี 2021 เกาหลีเหนืออาจมีรายได้จากการโจรกรรมสกุลเงินดิจิทัลที่อยู่ในสหรัฐฯ ได้มากถึง 400 ล้านดอลลาร์ฯ ทำให้มีเงินทุนมากขึ้น แม้จะยังถูกประชาคมโลกคว่ำบาตรเพราะพัฒนาโครงการอาวุธนิวเคลียร์ แต่ก็ยังคงมีเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงที่ไม่ออกตัวชัดเจน เพราะวันที่ 4 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา จีนและรัสเซียได้ปฏิเสธการลงนามแถลงการณ์ประณามการยิงขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ
เมื่อเดือนที่แล้ว เกาหลีเหนือทดสอบขีปนาวุธมากถึง 9 ครั้ง แสดงให้เห็นว่ายังคงพยายามแสวงหาเทคโนโลยี ความรู้ และเงินทุนเรื่อยมา เพื่อทำให้อาวุธของประเทศตัวเองทรงพลังมากที่สุด ก่อนวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2022 รัฐบาลเกาหลีเหนือจะยืนยันสิ่งที่ทั่วโลกคาดการณ์ด้วยการออกมาแจ้งด้วยตัวเองว่า “ทุกวันนี้โลกมัวแต่หวาดกลัว มัวแต่ก้มหัว หลับหูหลับตาทำตามความต้องการของสหรัฐฯ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี เป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่ครอบครองนิวเคลียร์และขีปนาวุธทันสมัยที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมา และเป็นเพียงชาติเดียวที่กล้ายืนหยัดต่อสู้กับสหรัฐอเมริกา มีเพียงเราเท่านั้นที่จะทำให้โลกนี้สั่นสะเทือนได้”
การยืนหยัดต่อสู้ที่ว่าหมายถึงการนำอาวุธออกมาทดสอบอยู่บ่อยครั้ง เพราะเกาหลีเหนือเชื่อว่าการซ้อมรบ ซ้อมยิงอาวุธหนัก ถือเป็นภาพสะท้อนความสำเร็จและความมั่นคงทางทหาร โดยนำเสนอว่าขีปนาวุธที่ยิงไปมากกว่า 9 ครั้งเมื่อเดือนมกราคม เป็นขีปนาวุธทันสมัยที่มีชื่อว่า ‘ไฮเปอร์โซนิก’ ที่เดินทางเร็วกว่าเสียง 5 เท่า รวมถึงขีปนาวุธพิสัยกลาง ‘ฮวาซอง 12’ ที่ยิงได้ไกลถึงสหรัฐฯ ถือเป็นขีปนาวุธที่มีอานุภาพร้ายแรงที่สุดเท่าที่เกาหลีเหนือเคยมีมา และตอนนี้รัฐบาลกำลังพัฒนาขีปนาวุธ ‘ฮวาซอง 15’ ที่จะกลายเป็นอาวุธที่ยิงข้ามทวีปได้ และสามารถยิงไปทุกพื้นที่บนโลกได้ตามต้องการ
เวลานี้สหรัฐฯ ยังไม่มีท่าทีตอบโต้แถลงการณ์ของเกาหลีเหนือแบบรุนแรง เจ้าหน้าที่รัฐยืนยันว่าสหรัฐฯ ไม่ได้มีเจตนาร้ายกับเกาหลีเหนือ สิ่งที่พยายามทำมาหลายต่อหลายครั้งคือการนำเกาหลีเหนือกลับสู่พื้นที่เจรจาเรื่องนิวเคลียร์ แต่หลายครั้งเกาหลีเหนือได้ทำตัวเป็นภัยคุกคามต่อสันติภาพโลก สหรัฐฯ เคยขอให้รัฐบาลเกาหลีเหนือหยุดพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ หยุดพัฒนาขีปนาวุธ และหันมาสนใจประเด็นสิทธิมนุษยชนมากขึ้น เพราะหลังจากเกาหลีเหนือปิดพรมแดน มีรายงานว่าตัวเลขการละเมิดสิทธิมนุษยชนเพิ่มสูงขึ้นกว่าช่วงก่อนเกิดโรคระบาด
แม้รัฐบาลสหรัฐฯ จะยังไม่ออกมาพูดอะไรมาก แต่ เจนนี ทาวน์ (Jenny Town) ผู้อำนวยการกลุ่มคลังสมอง (Think Tank) 38 นอร์ท (38 North) ที่ศึกษาเกี่ยวกับเกาหลีเหนือ ระบุว่าแถลงการณ์ของเกาหลีเหนือเป็นแค่การโอ้อวดในสิ่งที่ตัวเองยังไม่สามารถจะเป็นได้