วันนี้ (1 กรกฎาคม 2565 ) ที่รัฐสภา มานพ คีรีภูวดล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล พร้อมด้วย คำพอง เทพาคำ, องค์การ ชัยบุตร และประเสริฐพงษ์ ศรนุวัตร์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล แถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลรับผิดชอบและชี้แจงเหตุเครื่องบินรบ MiG-29 รุกล้ำน่านฟ้าไทย บริเวณบ้านวาเล่ย์ อำเภอพบพระ จังหวัดตาก เป็นเวลากว่า 20 นาที เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2565 ที่ผ่านมา
ตัวแทนพรรคก้าวไกลตั้งคำถามว่า รัฐบาลไทยมีส่วนรู้เห็นกับการรุกล้ำอำนาจอธิปไตยของกองทัพเมียนมาหรือไม่ เนื่องจากมีการบินรุกล้ำมากถึง 3 ครั้ง กินเวลากว่า 20 นาที แต่กลับไม่มีการปฏิบัติการอย่างทันท่วงที ก่อนจะเปรียบเทียบกรณีประชาชนและนักศึกษาที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลกลับถูกจับกุมอย่างรวดเร็ว ซ้ำยังถูกมองว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ
มานพกล่าวว่า กรณีนี้มีประเด็นสำคัญ 3 ข้อ ที่รัฐบาลและกองทัพไทยต้องให้ความสำคัญและจำเป็นต้องตอบคำถามต่อประชาชน ประการแรก การบินเข้ามารุกล้ำอธิปไตยและน่านฟ้าไทย 3 รอบ ใช้เวลารวมกันนานถึง 20 นาที ต่างจากที่กองทัพอากาศชี้แจงว่าส่งเครื่องบินไปลาดตระเวนตอบโต้อย่างรวดเร็ว ทั้งที่กองทัพมักประกาศตนเสมอว่ามีแสนยานุภาพและมีศักยภาพในการป้องกันความมั่นคงของประเทศเพื่อความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน แต่กลับปล่อยให้เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างไร ซึ่งเหตุการณ์การรุกล้ำของกองทัพเมียนมาส่งผลให้ต้องมีการอพยพนักเรียนและประชาชนในพื้นที่เข้าหลุมหลบภัย นั่นหมายความว่ากองทัพได้ปล่อยให้ประชาชนตกอยู่ในความเสี่ยงและอันตราย
ต่อมามีการชี้แจงจากกองทัพไทยว่า การรุกล้ำน่านฟ้าของกองทัพเมียนมามีเหตุผลมาจากเขาไม่สามารถบินในพื้นที่เมียนมาได้ เนื่องจากติดภูเขาและสภาพภูมิศาสตร์ จึงต้องบินอ้อมผ่านเข้ามาในประเทศไทย คำถามสำคัญที่มีต่อเหตุการณ์นี้ คือกองทัพไทยเปิดโอกาสให้กองทัพเมียนมาบินเข้ามาเพื่อโจมตีกลุ่มผู้ต่อต้านโดยรุกล้ำน่านฟ้าไทยได้ถึง 3 ครั้งได้อย่างไร
ประการที่ 2 มีข้อสังเกตว่า ก่อนมีการโจมตีดังกล่าว 1 วัน มีภาพของแม่ทัพภาคที่ 3 ประชุมพูดคุยเกี่ยวกับการบริหารจัดการชายแดนร่วมกับ มิน อ่อง หล่าย (Min Aung Hlaing) ผู้นำรัฐบาลเมียนมา ที่กรุงเนปิดอว์ ประเทศเมียนมา เหตุการณ์นี้ชวนให้ตั้งข้อสงสัยว่า กระบวนการบริหารจัดการร่วมครั้งนี้มีการรู้เห็นเป็นใจให้เครื่องบินของประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาในเขตน่านฟ้าไทย รุกล้ำอธิปไตยหรือไม่ ทั้งที่กองทัพมีหน้าที่ปกป้องอธิปไตยและปกป้องประชาชน แต่กลับไม่มีการตอบโต้อย่างทันท่วงที ปล่อยให้เครื่องบินรุกล้ำถึง 3 ครั้ง และใช้น่านฟ้าไทยปฏิบัติการทางทหารจนเสร็จสิ้นภารกิจ
“เวลาพูดถึงภัยความมั่นคง รัฐบาลกับกองทัพไทยมักนำไปอ้างเพื่อจับกุมนักศึกษาและประชาชนที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล จัดการอย่างรวดเร็วด้วย แต่พอเวลาที่มีเหตุการณ์ซึ่งเป็นภัยความมั่นคงจริงๆ กลับล่าช้าและไม่มีท่าทีที่เหมาะสม นอกจากนี้ น่าสงสัยว่าจะใช้เหตุนี้เป็นเหตุผลเพื่อซื้อเครื่องบินรบใหม่หรือไม่”
ประเด็นสุดท้าย ในฐานะที่ไทยและเมียนมาเป็นประเทศสมาชิกอาเซียน ไทยควรมีบทบาทในการเสนอแนวทางยุติความรุนแรงผ่านเวทีอาเซียน เพราะตลอดระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2564 ที่รัฐบาลมิน อ่อง หล่าย ยึดอำนาจจากพลเรือน เกิดความรุนแรงมาโดยตลอดและลุกลามมาถึงแนวชายแดนไทย ตั้งแต่เชียงราย แม่ฮ่องสอน ไปจนถึงระนอง ส่งผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนไทยในบริเวณนั้นอย่างมาก ทำให้ต้องเสี่ยงกับความไม่ปลอดภัยและอยู่อย่างวิตกกังวลเรื่อยมา
การล่วงล้ำอำนาจอธิปไตยไทยแบบนี้ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งแรก ก่อนหน้านี้ก็เคยมีกระสุนที่ยิงตกมายังฝั่งไทยเช่นกัน แต่ที่ผ่านมากลับยังไม่เห็นท่าทีที่เหมาะสมในการปกป้องชีวิต ทรัพย์สิน และอธิปไตยจากรัฐบาลไทย นอกจากนี้ การใช้ความรุนแรงของรัฐบาลทหารเมียนมายังส่งผลให้เกิดผู้ลี้ภัยสงครามจำนวนมากอพยพมายังประเทศไทย ส่วนใหญ่เป็นเด็ก สตรี และผู้สูงอายุ ซึ่งจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม จึงขอเรียกร้องให้กระทรวงมหาดไทยเปิดทางให้องค์กรต่างๆ เข้าช่วยเหลือได้ตามหลักสิทธิมนุษยชน
ด้าน พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีเครื่องบินรบของเมียนมารุกล้ำน่านฟ้าไทยว่า ได้ทำการประสานงานติดต่อไปเรียบร้อย ทางเมียนมาเอ่ยขอโทษและไม่ได้มีเจตนาไม่ดี การรุกล้ำดังกล่าวเป็นการตีวงเลี้ยวเข้ามาในประเทศไทยนิดหน่อย ซึ่งหลายคนอาจมองว่าเป็นเรื่องใหญ่ แต่ขึ้นอยู่กับว่าจะทำให้เรื่องมันใหญ่โตกว่าเดิมไหม ณ ขณะนี้ไทยกับเมียนมามีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน มีอะไรสามารถพูดคุยหารือกันได้
Tags: Report, ประยุทธ์ จันทร์โอชา, เมียนมา, พรรคก้าวไกล, มินอ่องหล่าย