วันนี้ (30 กันยายน 2568) ณ อาคารรัฐสภา เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล
เอกนิติระบุว่า รัฐสภาให้ข้อคิดเห็นมากมาย โดยชื่นชมคำเปรียบเปรยของฝ่ายค้านที่มองว่า เศรษฐกิจไทยเปรียบเสมือนรถยนต์ที่เติบโตช้ากว่าประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งในฐานะนักเศรษฐศาสตร์ก็มองในทิศทางเดียวกัน และเห็นว่าประเทศไทยเหมือนรถยนต์ที่กำลังวิ่งลงเหว
โดยชี้ว่า การส่งออก การบริโภค และการลงทุนจากภาคเอกชน เปรียบเสมือนเครื่องยนต์ที่กำลังจะดับหรือดับไปแล้ว เนื่องจากอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยในปีนี้มีการคาดการณ์ว่า จะโตร้อยละ 1.7 ในไตรมาส 3 อาจจะโตเพียงร้อยละ 0.3 ในไตรมาส 4 ฉะนั้นจึงเหลือเพียงการใช้จ่ายของภาครัฐที่เป็นเครื่องยนต์ตัวสุดท้ายที่ยังคงทำงานอยู่
สำหรับการแก้ปัญหาดังกล่าว เอกนิติระบุว่า จะใช้หลักคิด ‘กระตุ้นสั้น ได้ยาว กระจายตัว’ ผ่านนโยบาย Big Quick Win ซึ่งเป็นการลงมือทำอย่างรวดเร็วเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ และให้ประชาชนกับผู้ประกอบการได้รับประโยชน์อย่างทั่วถึง ประกอบด้วย 5 เสาหลัก และ 1 ฐานรากที่แข็งแกร่ง
เสาหลักที่ 1 คือการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว นำร่องด้วยโครงการ ‘คนละครึ่งพลัส’ ที่รัฐบาลจะร่วมจ่ายค่าครองชีพให้ประชาชนครึ่งหนึ่ง โดยมุ่งเป้าไปที่ผู้ประกอบการรายย่อยและประชาชนทั่วไป สำหรับผู้ที่อยู่ในระบบภาษีจะได้รับวงเงิน 2,400 บาท ขณะที่ผู้ที่ยังไม่อยู่ในระบบจะได้รับ 2,000 บาท เพื่อสร้างแรงจูงใจให้เข้าสู่ระบบภาษีมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง โดยผู้ประกอบการโรงแรมในเมืองรองสามารถนำค่าใช้จ่ายในการพัฒนาและปรับปรุงโรงแรมมาหักลดหย่อนภาษีได้ถึง 2 เท่า
เสาหลักที่ 2 คือลดภาระหนี้สินภาคประชาชน จัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์เพื่อรับซื้อหนี้ของประชาชนมาปรับปรุงโครงสร้าง ลดภาระดอกเบี้ย เพื่อให้ประชาชนหายใจได้คล่องขึ้น พร้อมทั้งช่วยเหลือประชาชนกลุ่มอื่นๆ เพื่อป้องกันการเข้าสู่วงจรหนี้นอกระบบ
เสาหลักที่ 3 คือเพิ่มสภาพคล่องให้ SMEs ใช้กลไกของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เข้ามาค้ำประกันสินเชื่อ โดยเตรียมวงเงินไว้ขั้นต่ำ 5 หมื่นล้านบาท พร้อมดำเนินโครงการ ‘พี่ช่วยน้อง’ ที่ให้ผู้ประกอบการรายใหญ่สามารถนำค่าใช้จ่ายในการช่วยเหลือรายย่อยมาหักลดหย่อนภาษีได้ นอกจากนี้กรมสรรพากรจะเร่งคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs วงเงินรวม 1.6 แสนล้านบาท เพื่อให้เงินเข้าสู่ระบบโดยเร็วที่สุด
เสาหลักที่ 4 คือเพิ่มการออมของประชาชน จะมีการปรับรูปแบบการซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาล โดยเงินส่วนหนึ่งจากการซื้อสลากในแต่ละงวดจะจัดสรรเข้าบัญชีเงินออมของประชาชนโดยอัตโนมัติ ซึ่งต้องถือครองไว้เป็นเวลา 5 ปี จึงจะสามารถนำออกมาใช้ได้ นอกจากนี้จะเพิ่มโอกาสให้รายย่อยสามารถเข้าถึงการซื้อพันธบัตรออมทรัพย์ และผู้สูงอายุที่ออมเงินจะได้รับอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น
เสาหลักที่ 5 คือการลงทุนเพื่ออนาคตและเพิ่มทักษะแรงงาน โดยร่วมมือกับคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เพื่อเชื่อมโยงภาคธุรกิจที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนกับสถาบันการศึกษา ในการผลิตแรงงานที่มีทักษะตรงตามความต้องการของตลาด พร้อมกันนี้จะปลดล็อกโครงการที่ได้รับอนุมัติ BOI ไปแล้วในช่วงปี 2566-2567 แต่ยังติดขัดเรื่องสาธารณูปโภคและแรงงาน ซึ่งมีเม็ดเงินคงค้างอยู่ 4.7 แสนล้านบาท ผ่านนโยบาย Fast Pass เพื่อเร่งรัดกระบวนการอนุมัติต่างๆ ให้เงินลงทุนกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจภายใน 4 เดือน
เอกนิติเน้นย้ำว่า เสาทั้ง 5 หลักจะตั้งอยู่ไม่ได้หากไม่มีฐานรากที่เข้มแข็ง นั่นคือ การรักษาวินัยและเสถียรภาพทางการคลัง โดยในเดือนพฤศจิกายนนี้ กระทรวงการคลังจะจัดทำกรอบวินัยการคลังระยะปานกลาง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนและสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ว่ารัฐบาลมีแผนการคลังที่ชัดเจน โปร่งใส และมีธรรมาภิบาล
“ผมไม่ได้ใช้เงินใหม่ แต่ใช้กรอบงบประมาณที่ได้รับอนุมัติโดยรัฐบาลที่แล้ว ไม่ได้กู้เพิ่ม แต่ใช้งบกระตุ้นเศรษฐกิจ 2.5 หมื่นล้านบาท บวกกับ 9,000 ล้านบาทจากงบกลาง ซึ่งทั้งหมดอยู่ในกรอบงบประมาณที่รัฐสภาอนุมัติแล้ว” เอกนิติกล่าว
รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังทิ้งท้ายว่า เป้าหมายที่ชัดเจนคือการทำให้เศรษฐกิจของประเทศไม่ติดหล่ม โดยอัตราการเติบโตของ GDP จะต้องสูงกว่าร้อยละ 0.3 ที่คาดการณ์ไว้ พร้อมกับลดระดับหนี้ครัวเรือน และเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินในระบบเศรษฐกิจให้มากขึ้น
Tags: แถลงนโยบาย, เอกนิติ, รองนายกรัฐมนตรี, ประชุมสภา