วันนี้ (12 พฤษภาคม 2566) ที่อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย-ญี่ปุ่น) หรือสนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่นดินแดง กองคาราวานลงพื้นที่หาเสียงทั้ง 5 สาย ของพรรคก้าวไกลมาบรรจบที่เวทีปราศรัยใหญ่ครั้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งในชื่อ ‘คำตอบสุดท้าย #ก้าวไกลทั้งแผ่นดิน’ ไฮไลต์คือการปราศรัยของ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยการปราศรัยจากอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคก้าวไกล เช่น อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล, ศิริกัญญา ตันสกุล, ชัยธวัช ตุลาธน และผู้ช่วยหาเสียงอย่าง ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ, ปิยบุตร แสงกนกกุล และพรรณิการ์ วานิช
พิธากล่าวตอนหนึ่งในการปราศรัยใหญ่ครั้งสุดท้ายในการเลือกตั้ง 2566 ว่า วันนี้พร้อมแล้วที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีของคนไทยทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนที่เห็นด้วยกับแนวทางของพรรคก้าวไกล หรือคนที่เห็นต่างก็ตาม
“ผมยืนยัน พร้อมเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป ไม่ว่าท่านจะเห็นด้วยหรือไม่ ไม่ว่าจะเลือกหรือไม่เลือกผม แต่ผมพร้อมจะรับใช้ท่าน โดยเฉพาะคนที่คิดต่างจากผม ผมจะฟังท่านและผมจะเป็นนายกฯ ที่ดีขึ้นก็เพราะท่าน
“สิ่งที่ทำให้พรรคอนาคตใหม่จนถึงพรรคก้าวไกลสามารถรวมตัวกันได้ นั่นคือทุกคนมีความฝันเหมือนกัน และความฝันดังกล่าวคือสิ่งเรียบง่ายที่เรียกว่า ‘หวังเห็นประเทศไทยดีขึ้น’ หากเป็นคนรุ่นใหม่ก็พร้อมจุดไฟแห่งความหวังของประเทศขึ้นมาอีกครั้ง ส่วนคนรุ่นใหญ่หลังเกษียณมีชีวิตบั้นปลายที่ดี ที่มากกว่าการมีไข่ต้มเพียง 1 ฟองรับประทาน ส่วนในคนรุ่นวัยกลางคนนั้น มีเพียงอยากให้ปัญหาของประเทศ ‘จบในรุ่นเรา’
“เราแค่หวังเห็นรัฐธรรมนูญใหม่ โดยประชาชน ของประชาชน และเพื่อ ประชาชน เราต้องการเห็นการกระจายอำนาจ ที่หวังให้ทุกจังหวัดเลือกผู้ว่าฯด้วยตัวเอง ส่วนหลายคนอยากยกเลิกเกณท์หาร อยากเอาอำนาจนิยมออกจากการศึกษาไทย คืนครูสู่ห้องเรียน”
พิธากล่าวเพิ่มเติมว่า การจะนำพาประเทศเดินหน้าไปได้ ผู้นำต้องพร้อมแก้ปัญหาเก่า เผชิญหน้าปัญหาใหม่ และเดินหน้าประเทศไทย โดยเฉพาะปัญหาที่หมักหมมก่อร่างในอดีตที่ผ่านมา เช่น ความขัดแย้งทางการเมืองที่กัดกินบ่อนทำลายประเทศมานานกว่า 17 ปี ซึ่งวิธีแก้ไขที่ต้องทำอย่างเร่งด่วน คือ ‘หยุดวงจรรัฐประหารชั่วนิรันดร์’ ด้วยการปฏิรูปกองทัพ ให้อยู่ใต้รัฐบาลพลเรือน มีสวัสดิภาพ มีความก้าวหน้าและทันสมัย และหยุดให้ทหารแทรกแซงอำนาจประชาชน ขณะเดียวกัน ต้องคืนศรัทธาให้ระบบรัฐสภาและระบอบประชาธิปไตย
“หลายคนไม่ไว้ใจนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง เพราะคิดว่านักการเมืองเต็มไปด้วยคอร์รัปชัน ต้องปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง แต่ 8 ปีที่ผ่านมา เราได้บทเรียนเหล่านี้พร้อมกันว่า ระบอบประชาธิปไตยไม่มีทางลัด การเอาเผด็จการเข้ามาไม่มีการตรวจสอบเพื่อหวังจะปฏิรูป แต่สิ่งที่ได้กลับแย่ลงในทุกทาง”
ขณะเดียวกัน ก็ตั้งคำถามไปยังสังคมว่า ปัจจุบันสังคมมีพลวัตที่เปลี่ยนแปลงไป นำมาสู่การปะทะกับความเชื่อแบบเก่า ดังนั้น สิ่งที่สังคมจะโอบรับ คือการสร้างกำแพงที่ต่อต้านการเปลี่ยนแปลง หรือสร้างกังหันลมที่เปลี่ยนเป็นสายลมให้กลายเป็นคุณประโยชน์ได้มากมาย
“ในขณะที่เรากำลังปราศรัย หยก เยาวชน 15 ปี โดนจับขังในสถานพินิจ จากประมวลกฎหมายมาตรา 112 และเป็นบุคคลที่อายุน้อยที่สุดในประเทศไทย ที่โดนคดีความจากฎหมายดังกล่าว สิ่งที่ผมอยากจะพูดบนเวทีนี้อย่างมีวุฒิภาวะ อย่างมีสติ ด้วยน้ำเสียงที่ประณีต ไม่ได้ต้องการให้เรามาตัดสินกันว่าการกระทำของหยกเหมาะสมหรือไม่ หรือแม้แต่แก้ไข ม.112 อย่างไร แต่ผมต้องการส่งคำถามไปถึงคนที่เห็นต่างว่า ในเมื่อความรู้สึกของยุคสมัยกำลังเปลี่ยนไป พวกเรากำลังตั้งกำแพงหรือกังหันลม และในขณะนี้ เรากำลังแก้ไขปัญหากันที่ปลายเหตุอยู่ ยอมรับหรือไม่ สิ่งที่คนรุ่นใหม่กำลังเเผชิญอยู่ขณะนี้ เกิดจากมรดกตกทอดจากคนรุ่นเก่าแทบทั้งสิ้น
“ทั้งๆ ที่พระราชสถานะและพระราชอำนาจควรอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ ซึ่งสิ่งที่คุณหยกเผชิญอยู่ เป็นเพราะคนรุ่นเราไม่ใช่หรือ ที่นำเรื่องสถาบันฯ ลงมาโจมตีกันตลอดเวลา และยัดคดี ม. 112 ให้กับคนที่เห็นต่าง ถ้าใครที่เห็นแล้วรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ รู้สึกโกรธ รู้สึกเกลียดกับสิ่งที่คนรุ่นใหม่แสดงออกมา ลองกลับมาตั้งสติ พร้อมคิดอย่างมีวุฒิภาวะว่า สิ่งที่พวกเขาเผชิญเป็นเพราะคนในรุ่นเราในสมัยก่อนที่ดึงสถาบันฯ ลงมาโจมตีกันและกัน”
ดังนั้น นายกฯ คนถัดไปต้องเป็นนายกรัฐมนตรีในระบอบประชาธิปไตยที่พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข สามารถที่จะวางพระราชอำนาจและพระราชฐานะอย่างประณีตสมพระเกียรติ เพื่อให้ความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์กับประชาชนดีขึ้น
พิธายังกล่าวปิดท้ายอีกว่า เราจะก่ออิฐรัฐสวัสดิการก้อนแรกลงใจกลางประเทศไทย ทำให้อนาคตเศรษฐกิจโตขึ้นเพื่อคนทุกคน ไม่ใช่เพื่อคนข้างบน 1% แก้ปัญหาเรื่องที่ดิน จัดการคดีความในยุคคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กว่า 8 หมื่นคดี แล้วเริ่มต้นใหม่กับการปฏิรูปการศึกษา เพื่อให้คนรุ่นใหม่จบออกมามีงานทำ มาสร้างงาน ซ่อมประเทศ เอาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ปักใจกลางโลก เอาเศรษฐกิจดิจิทัล ลดความเหลื่อมล้ำ และเพิ่มอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไปพร้อมกัน
“แต่เราจะไม่สามารถทำได้เลยหากไม่แก้ปัญหาเก่าอย่างชัดเจนและตรงไปตรงมา อย่างไรก็ดี ไม่เคยลืมว่าผู้ที่จุดไฟให้พรรคก้าวไกลเดินมาได้ถึงขนาดนี้คือสามใบเถาของพรรคอนาคตใหม่อย่าง ปิยบุตร แสงกนกกุล, พรรณิการ์ วานิช และธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ พรรคก้าวไกลยังรอคอยการกลับมาของทั้ง 3 คนเสมอ และจะทำตามสัญญาให้ได้ คือการเป็นนายกฯ 2 สมัยให้สำเร็จเพื่อรอต้อนรับการกลับมา”
ทั้งนี้ ในระหว่างการปราศรัย ได้มีผู้ฟังจำนวนมากตะโกนขึ้นมาว่า “ส้มรักพ่อ” และพิธาได้ตอบกลับไปว่า “พ่อก็รักส้ม รักฟ้า และรักประชาชนทุกคน” ซึ่งเรียกเสียงจากกองเชียร์อย่างถล่มทลาย
ด้าน ปิยบุตร แสงกนกกุล ผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล เผยว่า การเลือกตั้งในครั้งนี้จำเป็นต้องเลือกด้วยความหวัง ไม่ใช่ความกลัว สานต่ออุดมการณ์การต่อสู้ของประชาชนให้ผู้มีอำนาจได้เห็น และพวกเขาต่างหากคือคนที่กลัวความเปลี่ยนแปลง เวลานี้ก้าวไกลกำลังเคลื่อนเข็มนาฬิกาของประเทศให้เดินอีกครั้ง หมดเวลากักขังความทรงจำ และนำความผิดหวังในอดีตมากักขังประเทศไทย ตอนนี้สายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงได้มาถึง และเมล็ดพันธ์ุแห่งความหวังได้งอกเงยในหัวใจเป็นที่เรียบร้อย
ขณะที่ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกลและอดีตแคนดิเดตนายกฯ พรรคอนาคตใหม่ กล่าวว่า พรรคก้าวไกลไม่ใช่อื่นใด นอกจากผู้คนและการเดินทาง โดยอดีตสมาชิกพรรคอนาคตใหม่และสมาชิกของพรรคก้าวไกลในปัจจุบัน ล้วนทำหน้าที่ของตนอย่างสมบูรณ์แบบในฐานะฝ่ายค้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเปิดโปงขบวนการค้ายาเสพติด การค้ามนุษย์ การชนทุนใหญ่ และต่อสู้กับทุนผูกขาดที่หวังควบรวมเศรษฐกิจอย่างไม่ลดละ และอีกมากมาย ทั้งหมดล้วนแสดงให้เห็นว่า พรรคก้าวไกลคือพรรคที่กล้าชนกับอำนาจเดิม เพราะเราเชื่อว่าพวกเขาไม่ใช่นายของเรา และนายของเราคือประชาชน
ต่อมา ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกลและผู้สมัคร ส.ส.พรรคก้าวไกล กล่าวว่า ในแต่ละยุคสมัย ประเทศล้วนมีปัญหาแตกต่างกันไป ซึ่งโจทย์การเมืองในวันนี้ คือการตั้งคำถามว่า ‘อำนาจ’ ที่สูงสุดเป็นของใคร ระหว่าง ประชาชนกับเครือข่ายกองทัพและบรรดาขุนศึกศักดินาทั้งหลาย การเมืองแบบอนาคตใหม่หรือก้าวไกลเกิดขึ้นได้ เพราะการเมืองเดิมล้วนอยากชนะเพื่ออำนาจ แต่ก้าวไกลมาเพื่อเปลี่ยนประเทศ ไม่ต่างจากห้วงเวลาของสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลง
สำหรับบรรยากาศการปราศรัย มีประชาชนจำนวนมากให้ความสนใจมานั่งรอเพื่อเข้าไปภายในอาคารตั้งแต่เวลา 13.00 น. ซึ่งเป็นเวลาก่อนเริ่มงานปราศรัยกว่า 5 ชั่วโมง และเมื่อเริ่มเปิดอาคาร ประชาชนจึงทยอยเข้าไปจับจองที่นั่งจนเต็มและบางส่วนฟังการปราศรัยจากในสนามฟุตบอล ซึ่งพรรคมีการจัดเตรียมสถานที่ให้ประชาชนอย่างทั่วถึง และคาดว่า จำนวนประชาชนที่เข้าร่วมงานปราศรัยครั้งนี้ทั้งในและนอกอาคารอยู่ที่ราว 5 หมื่นคน ซึ่งมากกว่าครั้งที่ พรรคอนาคตใหม่เคยใช้สถานที่แห่งนี้ในอดีต ในการปราศรัยใหญ่ครั้งสุดท้ายในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2562
เมื่อเสร็จสิ้นการปราศรัย ประชาชนต่างออกมาถ่ายรูปและพบปะบรรดาผู้สมัคร ส.ส.พรรคก้าวไกล ที่เข้าร่วมงานและนั่งฟังการปราศรัยอยู่ในสนามฟุตบอล นอกจากนี้ ประชาชนส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมการปราศรัยเรียกตัวเองว่า ‘ด้อมส้ม’ ซึ่งเป็นคำที่ใช้เรียกแฟนคลับและผู้สนับสนุน